ข้อความโดย: admin
« เมื่อ: 25/10/18 »วิธีขายหุ้นยังไง ไม่ขายหมู
ส่วนใหญ่คนเล่นหุ้นมักจะไม่รู้ว่จะขายตอนไหนดี กลัวขายไปแล้วหุ้นขึ้นต่อ หรือขายหมูนั่นเอง บางคนอาจจะปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน เพราะคิดว่าจะไปต่อแค่ลงมาพักฐาน แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นขาลงซะงั้น แล้วจะขายหุ้นยังไง ตอนไหน ราคาเท่าไหร่ดีล่ะ ตอนซื้อยังไม่ยากเท่านี้เลย จริงๆ ก็มีวิธีการแก้ปัญหานี้อยู่หลายวิธี ที่จะช่วยให้เราไม่ต้องมาเครียดหรือปวดหัวกับการขายหุ้น เพียงแต่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนจะซื้อหุ้นว่าจะขายตอนไหน เท่าไหร่ อย่างไร แล้วทำตามแผนให้ได้เท่านี้ก็สบายใจได้แล้ว
วิธีการขายหุ้นที่จะช่วยให้เราไม่เครียดว่าจะขายหมู หรือขาดทุนหนัก
1. ตั้งราคาขายไว้ล่วงหน้า เช่น ขายเมื่อกำไร 1 บาท ขายเมื่อกำไร 3 ช่อง หรือ ขายเมื่อกำไร 10% เป็นต้น คือเมื่อเราจะซื้อหุ้นเราจะต้องพิจารณามาแล้วว่าหุ้นนี้จะขึ้น โดยที่คาดว่าจะขึ้นไปที่ราคาเท่านั้นเท่านี้ เราก็วางแผนก่อนเลยว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้ ที่ราคาเท่านี้ และจะขายราคาเท่านี้ ตัวอย่างเช่น ต้องการซื้อหุ้น ABC ราคาปัจจุบันอยุ่ที่ 50 บาท คาดว่าราคาจะไปถึง 60 บาท (ตรงนี้อาจได้มาจากโบรกเกอร์บอกมา หรือวิเคราะห์หุ้นเองทั้งจากพื้นฐานหรือเทคนิคก็ตาม ซึ่งต้องวิเคราะห์มาอย่างอีแล้ว) เราก็วางแผนว่า เมื่อซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาทมา แล้วจะขายที่ราคา 60 บาท เมื่อราคาวิ่งไปถึง 60 บาทก็ขายหุ้นนั้นออกมา โดยไม่ต้องลังเลอีกว่าหุ้นนั้นจะไปต่อหรือไม่ เป็นต้น วิธีนี้อาจทำให้เสียกำไรที่อาจจะทำได้มากกว่านั้นไปได้ แต่ก้จะต้องถือคติพอเพียงว่าได้กำไรมาพอสมควรแล้ว
2. ทยอยขายเป็นงวดๆ หรือขายแบบพีระมิด วิธีนี้เป็นการลดจุดด้อยของข้อแรกที่เมื่อขายหุ้นไปแล้ว ราคาอาจไปต่อคือวิเคราะห์ผิดพลาดไปบ้าง หรือมีการปรับราคาเป้าหมายใหม่ให้สูงขึ้น วิธีนี้เราจะแบ่งขายหุ้นที่ซื้อมาออกเป็นงวดๆ แล้วแต่ว่เราจะแบ่งเป็นกี่งวดก็ได้ เช่น ซื้อหุ้น ABC มา 50,000 หุ้น เมื่อหุ้นมาถึงระดับราคาที่กำหนด เช่น 5% อาจจะแบ่งขายหุ้นออกมา 10,000 หุ้น เมือราคาวิ่งขึ้นไปอีก 5% ก็อาจจะขายออกอีก 10,000 หุ้น เช่นนี้เรื่อยไปจนหมด เป็นต้น ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นจากวิธีแรก
3. ขายออกไปให้เหลือหุ้นฟรี กรณีนี้ต้องกำไรมากกว่า 50% และหุ้นนั้นมีปันผล จึงจะได้ประโยชน์ คือเมื่อเราซื้อหุ้นมา และหุ้นนั้นมีเงินนโยบายจ่ายเงินปันผลเป็นประจำทุกปี เมื่อเราซื้อมาแล้วได้กำไรมาระดับหนึ่ง ซึ่งควรจะมากกว่า 50% เพื่อเวลาขายหุ้นออกไปแล้วยังเหลือหุ้นในจำนวนที่มากพอจะได้เงินปันผลมาในจำนวนที่เราพอใจ เช่น หุ้น ABC มีนดยบายจ่ายเงินปันผล .25 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นขณะนั้นคือ 50 บาท คาดว่าราคาน่าจะขึ้นไปที่ 80 บาท หากเราซื้อหุ้นมา 100,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 50 บาท ด้วยเงิน 5,000,000 บาท เมื่อราคาขึ้นมาที่ระดับ 50% คือ 75 บาท เราอาจจะขายหุ้นออกไปโดยที่ให้ต้นทุนกลายเป็น 0 บาท นั่นคือ ขายหุ้นออกมาให้ได้เงิน 5,000,000 บาท จะได้ 5,000,000 / 75 = 66,667 หุ้น เราอาจจะขายหุ้นออกมา 57,000 หุ้น จะได้เงินต้นทุนและกำไรออกมา ที่เหลือ 43,000 หุ้นเป็นหุ้นฟรี (เพราะเอาทุนออกมาแล้ว) เมื่อบริษัทจ่ายเงินปันผล เราก็จะได้เงินปันผลมาด้วยเช่นกัน ส่วนเงินที่ขายหุ้นออกไปเราก็สามารถนำไปเล่นตัวอื่นได้ (ส่วนตัวชอบวิธีการนี้มากที่สุด)
4. เทคนิคก้นกรอง เป็นวิธีการกำนดอัตราที่ตนเองสามารถทำกำไรได้ หรือกำหนดเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นตัวนั้นที่ขึ้นไปแล้วตกลงมา เช่น หากขึ้นไปแล้วตกลงมา 10% จะขายหุ้นนั้นออกมา มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพ หากเราต้องการซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 50 บาท เมื่อหุ้นขึ้นไปถึง 60 บาท แล้วตกลงมา 10% ของกำไร คือ 60-50 = 10 บาท 10% ของ 10 บาทคือ 1 บาท ดังนั้น เมือราคาตกลงมาจาก 60 บาทเหลือ 59 บาท ก็จะขายหุ้นออกมา เป็นต้น ก็เป็นการปลอดภัยกว่าเราไม่มีแผนการขาย เพราะตอนนั้นเราอาจจะคิดว่า เดี่ยวก็ขึ้นใหม่ ไม่ขายออกไป แต่ปรากฏว่าหุ้นตกลงไปอีก จนอาจกำไรน้อยกว่านี้หรืออาจไม่ได้กำไรเลยก็ได้
5. Short against port หรือ SAP เป็นการขายทำกำไรเมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง เพื่อเอากำไรออกมาส่วนหนึ่ง แล้วเมื่อราคาย่อลงมาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นกลับคืนมา ทำให้ได้จำนวนหุ้นมากกว่าเดิม เพื่อถือต่อในระยะยาว เป็นการลดคามเสี่ยงสำหรับคนที่เล่นแบบระยะยาว โดยที่หุ้นนั้นจะต้องมีพื้นฐานที่ดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีการเติบโตทางธุรกิจ
6. Stop Loss เป็นการจำกัดการขาดทุนเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เช่น ขายหุ้นเมื่อหุ้นตกลงมาได้ 5% เป็นต้น การ stop loss นั้นจะช่วยไม่ให้ขาดทุนนั้นลุกลามมากเกินไป วิธีการ Stop Loss มีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีการและรายละเอียดปลีกย่อยจะอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้งในบทความ วิธีการตั้ง Stop Loss Let Profit Run
Credit:Invest For Dummy
ส่วนใหญ่คนเล่นหุ้นมักจะไม่รู้ว่จะขายตอนไหนดี กลัวขายไปแล้วหุ้นขึ้นต่อ หรือขายหมูนั่นเอง บางคนอาจจะปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน เพราะคิดว่าจะไปต่อแค่ลงมาพักฐาน แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นขาลงซะงั้น แล้วจะขายหุ้นยังไง ตอนไหน ราคาเท่าไหร่ดีล่ะ ตอนซื้อยังไม่ยากเท่านี้เลย จริงๆ ก็มีวิธีการแก้ปัญหานี้อยู่หลายวิธี ที่จะช่วยให้เราไม่ต้องมาเครียดหรือปวดหัวกับการขายหุ้น เพียงแต่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนจะซื้อหุ้นว่าจะขายตอนไหน เท่าไหร่ อย่างไร แล้วทำตามแผนให้ได้เท่านี้ก็สบายใจได้แล้ว
วิธีการขายหุ้นที่จะช่วยให้เราไม่เครียดว่าจะขายหมู หรือขาดทุนหนัก
1. ตั้งราคาขายไว้ล่วงหน้า เช่น ขายเมื่อกำไร 1 บาท ขายเมื่อกำไร 3 ช่อง หรือ ขายเมื่อกำไร 10% เป็นต้น คือเมื่อเราจะซื้อหุ้นเราจะต้องพิจารณามาแล้วว่าหุ้นนี้จะขึ้น โดยที่คาดว่าจะขึ้นไปที่ราคาเท่านั้นเท่านี้ เราก็วางแผนก่อนเลยว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้ ที่ราคาเท่านี้ และจะขายราคาเท่านี้ ตัวอย่างเช่น ต้องการซื้อหุ้น ABC ราคาปัจจุบันอยุ่ที่ 50 บาท คาดว่าราคาจะไปถึง 60 บาท (ตรงนี้อาจได้มาจากโบรกเกอร์บอกมา หรือวิเคราะห์หุ้นเองทั้งจากพื้นฐานหรือเทคนิคก็ตาม ซึ่งต้องวิเคราะห์มาอย่างอีแล้ว) เราก็วางแผนว่า เมื่อซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาทมา แล้วจะขายที่ราคา 60 บาท เมื่อราคาวิ่งไปถึง 60 บาทก็ขายหุ้นนั้นออกมา โดยไม่ต้องลังเลอีกว่าหุ้นนั้นจะไปต่อหรือไม่ เป็นต้น วิธีนี้อาจทำให้เสียกำไรที่อาจจะทำได้มากกว่านั้นไปได้ แต่ก้จะต้องถือคติพอเพียงว่าได้กำไรมาพอสมควรแล้ว
2. ทยอยขายเป็นงวดๆ หรือขายแบบพีระมิด วิธีนี้เป็นการลดจุดด้อยของข้อแรกที่เมื่อขายหุ้นไปแล้ว ราคาอาจไปต่อคือวิเคราะห์ผิดพลาดไปบ้าง หรือมีการปรับราคาเป้าหมายใหม่ให้สูงขึ้น วิธีนี้เราจะแบ่งขายหุ้นที่ซื้อมาออกเป็นงวดๆ แล้วแต่ว่เราจะแบ่งเป็นกี่งวดก็ได้ เช่น ซื้อหุ้น ABC มา 50,000 หุ้น เมื่อหุ้นมาถึงระดับราคาที่กำหนด เช่น 5% อาจจะแบ่งขายหุ้นออกมา 10,000 หุ้น เมือราคาวิ่งขึ้นไปอีก 5% ก็อาจจะขายออกอีก 10,000 หุ้น เช่นนี้เรื่อยไปจนหมด เป็นต้น ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นจากวิธีแรก
3. ขายออกไปให้เหลือหุ้นฟรี กรณีนี้ต้องกำไรมากกว่า 50% และหุ้นนั้นมีปันผล จึงจะได้ประโยชน์ คือเมื่อเราซื้อหุ้นมา และหุ้นนั้นมีเงินนโยบายจ่ายเงินปันผลเป็นประจำทุกปี เมื่อเราซื้อมาแล้วได้กำไรมาระดับหนึ่ง ซึ่งควรจะมากกว่า 50% เพื่อเวลาขายหุ้นออกไปแล้วยังเหลือหุ้นในจำนวนที่มากพอจะได้เงินปันผลมาในจำนวนที่เราพอใจ เช่น หุ้น ABC มีนดยบายจ่ายเงินปันผล .25 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นขณะนั้นคือ 50 บาท คาดว่าราคาน่าจะขึ้นไปที่ 80 บาท หากเราซื้อหุ้นมา 100,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 50 บาท ด้วยเงิน 5,000,000 บาท เมื่อราคาขึ้นมาที่ระดับ 50% คือ 75 บาท เราอาจจะขายหุ้นออกไปโดยที่ให้ต้นทุนกลายเป็น 0 บาท นั่นคือ ขายหุ้นออกมาให้ได้เงิน 5,000,000 บาท จะได้ 5,000,000 / 75 = 66,667 หุ้น เราอาจจะขายหุ้นออกมา 57,000 หุ้น จะได้เงินต้นทุนและกำไรออกมา ที่เหลือ 43,000 หุ้นเป็นหุ้นฟรี (เพราะเอาทุนออกมาแล้ว) เมื่อบริษัทจ่ายเงินปันผล เราก็จะได้เงินปันผลมาด้วยเช่นกัน ส่วนเงินที่ขายหุ้นออกไปเราก็สามารถนำไปเล่นตัวอื่นได้ (ส่วนตัวชอบวิธีการนี้มากที่สุด)
4. เทคนิคก้นกรอง เป็นวิธีการกำนดอัตราที่ตนเองสามารถทำกำไรได้ หรือกำหนดเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นตัวนั้นที่ขึ้นไปแล้วตกลงมา เช่น หากขึ้นไปแล้วตกลงมา 10% จะขายหุ้นนั้นออกมา มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพ หากเราต้องการซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 50 บาท เมื่อหุ้นขึ้นไปถึง 60 บาท แล้วตกลงมา 10% ของกำไร คือ 60-50 = 10 บาท 10% ของ 10 บาทคือ 1 บาท ดังนั้น เมือราคาตกลงมาจาก 60 บาทเหลือ 59 บาท ก็จะขายหุ้นออกมา เป็นต้น ก็เป็นการปลอดภัยกว่าเราไม่มีแผนการขาย เพราะตอนนั้นเราอาจจะคิดว่า เดี่ยวก็ขึ้นใหม่ ไม่ขายออกไป แต่ปรากฏว่าหุ้นตกลงไปอีก จนอาจกำไรน้อยกว่านี้หรืออาจไม่ได้กำไรเลยก็ได้
5. Short against port หรือ SAP เป็นการขายทำกำไรเมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง เพื่อเอากำไรออกมาส่วนหนึ่ง แล้วเมื่อราคาย่อลงมาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นกลับคืนมา ทำให้ได้จำนวนหุ้นมากกว่าเดิม เพื่อถือต่อในระยะยาว เป็นการลดคามเสี่ยงสำหรับคนที่เล่นแบบระยะยาว โดยที่หุ้นนั้นจะต้องมีพื้นฐานที่ดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีการเติบโตทางธุรกิจ
6. Stop Loss เป็นการจำกัดการขาดทุนเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เช่น ขายหุ้นเมื่อหุ้นตกลงมาได้ 5% เป็นต้น การ stop loss นั้นจะช่วยไม่ให้ขาดทุนนั้นลุกลามมากเกินไป วิธีการ Stop Loss มีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีการและรายละเอียดปลีกย่อยจะอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้งในบทความ วิธีการตั้ง Stop Loss Let Profit Run
Credit:Invest For Dummy