แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - admin

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
การแก้ไขปัญหา MySQL shutdown unexpectedly ใน XAMPP

บ่อยครั้งที่นักพัฒนาเว็บไซต์ซึ่งทำงานอยู่บน localhost และจำลองเครื่องแม่ข่ายด้วย XAMPP มักจะเจอเหตุการณ์ MySQL ฟ้อง error แจ้งปัญหาการทำงานผิดพลาดดังเช่นในภาพ



ปัญหา MySQL shutdown unexpectedly ใน XAMPP นั้นเกิดขึ้นได้บ่อยและมีสาเหตุหลายประการ สรุปสาเหตุหลัก ๆ มาจาก

Port ถูกใช้งานอยู่แล้ว: MySQL ใช้ port 3306 เป็นค่าเริ่มต้น หากมีโปรแกรมอื่นใช้ port นี้อยู่ MySQL จะไม่สามารถเริ่มทำงานได้
ไฟล์ข้อมูลเสียหาย: ไฟล์ในโฟลเดอร์ data ของ MySQL อาจเสียหายจากการปิดเครื่องไม่ถูกต้อง หรือปัญหาอื่น ๆ
การตั้งค่าไม่ถูกต้อง: ไฟล์ my.ini ซึ่งเป็นไฟล์ตั้งค่าของ MySQL อาจมีการตั้งค่าที่ไม่ถูกต้อง
สิทธิ์การเข้าถึงไม่ถูกต้อง: ผู้ใช้งานที่รัน XAMPP อาจไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่จำเป็น
วิธีแก้ไขปัญหาตามสาเหตุที่ว่าไว้คือ

     1. ตรวจสอบ Port:

ระบบปฏิบัติการ Windows: เปิด Command Prompt และพิมพ์ netstat -ano | findstr :3306 เพื่อดูว่ามีโปรแกรมใดใช้ port 3306 อยู่ หากมี ให้ปิดโปรแกรมนั้นหรือเปลี่ยน port ที่ MySQL ใช้ในไฟล์ my.ini
ระบบปฏิบัติการ macOS/Linux: เปิด Terminal และพิมพ์ sudo lsof -i :3306 เพื่อดูว่ามีโปรแกรมใดใช้ port 3306 อยู่ หากมี ให้ปิดโปรแกรมนั้นหรือเปลี่ยน port ที่ MySQL ใช้ในไฟล์ my.ini
     2. ซ่อมแซมไฟล์ข้อมูล:

     1. เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ mysql/data เป็น mysql/data_old

     - ขั้นตอนนี้เป็นการสำรองข้อมูลเดิมไว้ โดยเปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ที่มีปัญหาเพื่อให้สามารถสร้างโฟลเดอร์ใหม่ได้

     2. ทำสำเนาของโฟลเดอร์ mysql/backup และตั้งชื่อเป็น mysql/data

     - XAMPP จะมีโฟลเดอร์สำรองที่มีโครงสร้างฐานข้อมูลพื้นฐาน เราจะใช้โฟลเดอร์นี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่

     3. คัดลอกโฟลเดอร์ฐานข้อมูลทั้งหมดของคุณจาก mysql/data_old ไปยัง mysql/data

     - ย้ายข้อมูลฐานข้อมูลทั้งหมดที่เคยมีกลับเข้าไปในโฟลเดอร์ใหม่ ยกเว้นโฟลเดอร์ระบบ (mysql, performance_schema, phpmyadmin) เพราะเราต้องการใช้เวอร์ชันใหม่ของโฟลเดอร์เหล่านี้

     4. คัดลอกไฟล์ mysql/data_old/ibdata1 ไปยังโฟลเดอร์ mysql/data

     - ไฟล์ ibdata1 เป็นไฟล์สำคัญที่เก็บข้อมูล InnoDB ซึ่งเป็นระบบจัดการฐานข้อมูลหลักของ MySQL การคัดลอกไฟล์นี้ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลของคุณ

     5. เริ่มการทำงานของ MySQL ใหม่จากแผงควบคุม XAMPP

     - หลังจากทำตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว ให้เปิด XAMPP Control Panel และลองเริ่มการทำงานของ MySQL อีกครั้ง

     3. ตรวจสอบและแก้ไขไฟล์ my.ini:

ตรวจสอบว่าการตั้งค่าต่าง ๆ เช่น port, datadir, innodb_log_file_size ถูกต้อง
     4. ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง:

ตรวจสอบว่าผู้ใช้ที่รัน XAMPP มีสิทธิ์ในการอ่านและเขียนไฟล์และโฟลเดอร์ในไดเร็กทอรี XAMPP
จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา พบว่าวิธีที่ 2 มักจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ดีที่สุดครับ ยังไงก็ลองนำไปปรับใช้กันดูได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือวิธีแก้ไขในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างถาวร หลังจากที่เราสามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาได้แล้ว แนะนำให้สำรองข้อมูลออกมาแล้วติดตั้ง XAMPP ใหม่ เพราะการติดตั้งใหม่จะช่วยแก้ปัญหาที่อาจเกิดจากไฟล์ระบบที่เสียหายหรือการตั้งค่าที่ผิดพลาดใน XAMPP ได้ดีที่สุดนั่นเองครับ



2
Tip Service / หมวด AI
« เมื่อ: 08/08/25 »
1. **DeepSeek** – ค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
2. **Gemini** – AI ของ Google, ทำโค้ด-สร้างภาพ-วิเคราะห์ข้อมูล
3. **Perplexity** – Chatbot+Search, ค้นข้อมูลพร้อมอ้างอิง
4. **Xmind AI** – ทำ Mind Map อัตโนมัติ
5. **Mapify** – วางแผน/จัดระเบียบแผนที่และเส้นทาง
6. **Felo** – ค้นหาข้อมูลเรียลไทม์
7. **Claude** – AI ปลอดภัย, เขียนและวิเคราะห์ดี
8. **Qwen** – AI ของ Alibaba, แปลภาษาและวิเคราะห์ข้อมูล
9. **Adverra Voice AI** – ประมวลผลเสียง, Text-to-Speech
10. **Work360** – วิเคราะห์งานและติดตามโปรเจกต์องค์กร
11. **NotebookLM** – อ่าน/สรุปเอกสารอัตโนมัติ
12. **ChatGPT** – ตอบคำถาม, เขียนคอนเทนต์, วิเคราะห์โค้ด
13. **Freepik** – ดาวน์โหลดภาพและสร้างรูปด้วย AI
14. **AI Video Generator** – แปลงข้อความเป็นวิดีโอ
15. **OpenAI.fm** – ทดสอบ AI ด้านเสียงและมัลติมีเดีย
---
### **หมวด AI Graphic**
* เครื่องมือสร้าง/แก้ไขภาพ เช่น MidJourney, DALL·E, Runway, Leonardo, Canva AI
---
### **หมวด AI HUB**
1. **Botnoi Voice** – แปลงข้อความเป็นเสียงไทยหลายอารมณ์
2. **Sign in-Napkin** – Brainstorm ทำสไลด์ไอเดียเร็ว
3. **Gammas** – สร้าง Presentation อัตโนมัติ
4. **Grok** – Chatbot ของ X, ดึงข้อมูลเรียลไทม์และวิเคราะห์เทรนด์

3
 บทบรรยายวิดีโอ: ประวัติศาลยุติธรรมไทย

เสียงบรรยายพร้อมภาพประกอบ: รูปภาพเก่า, พระราชกรณียกิจ, อาคารศาล, พิพิธภัณฑ์ศาลไทย ฯลฯ

[ช่วงที่ 1: จุดเริ่มต้นของระบบศาลไทย]

ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ศาลไทยยังไม่มีรูปแบบชัดเจน การพิจารณาคดีต่างๆ กระจายอยู่ตามกระทรวงและกรมต่างๆ โดยศาลเหล่านี้ทำหน้าที่แทนพระมหากษัตริย์ในการตัดสินคดี

แต่เมื่อสังคมไทยเริ่มเปิดรับอิทธิพลตะวันตก และมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น ระบบศาลไทยจึงจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศ

[ช่วงที่ 2: การปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5]

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานระบบศาลยุติธรรมสมัยใหม่ โดยรวมศาลที่กระจัดกระจายมาอยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน เพื่อความเป็นธรรม รวดเร็ว และเหมาะสมในการพิจารณาคดี

ในโอกาสครบรอบ 100 ปีกรุงเทพฯ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2425 พระองค์ทรงเสด็จวางศิลาฤกษ์ “ศาลสถิตย์ยุติธรรม” พร้อมจารึกพระราชดำรัสลงในแผ่นเงินที่เรียกว่า “หิรัญบัตร” เพื่อแสดงพระราชประสงค์ในการตั้งศาลให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นหลักประกันความสงบสุขของแผ่นดิน

[ช่วงที่ 3: การพัฒนาต่อเนื่อง และการกำหนดวันศาลยุติธรรม]

นับแต่นั้นมา ศาลยุติธรรมได้ทำหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และในโอกาสกรุงเทพฯ ครบรอบ 220 ปี ซึ่งตรงกับศาลยุติธรรมครบรอบ 120 ปีในปี พ.ศ. 2545 สำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ศาลไทยและหอจดหมายเหตุ เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์

และกำหนดให้วันที่ 21 เมษายนของทุกปี เป็น “วันศาลยุติธรรม”

[ช่วงที่ 4: การแยกอำนาจตุลาการให้เป็นอิสระ]

ในปี พ.ศ. 2478 มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม แยกงานออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ งานธุรการที่อยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม และงานตุลาการซึ่งเป็นอำนาจของผู้พิพากษา

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้บัญญัติให้แยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุติธรรมอย่างชัดเจน โดยมีสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานอิสระขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา และในปี พ.ศ. 2543 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมได้ให้สถานะนิติบุคคลแก่สำนักงานศาลยุติธรรม

นับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ศาลยุติธรรมไทยจึงมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง

[ช่วงสรุป: ความสำคัญของศาลยุติธรรม]

จากวันวางรากฐานสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ศาลยุติธรรมไทยได้ยืนหยัดเป็นเสาหลักแห่งความยุติธรรม รับใช้ประชาชน ด้วยความซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม และเป็นอิสระ เพื่อให้สังคมไทยดำรงอยู่ด้วยความสงบสุข มั่นคง และน่าเชื่อถือ สืบไป

 (ขึ้นข้อความท้ายคลิป)
21 เมษายน
"วันศาลยุติธรรม"
วันแห่งการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
และตระหนักถึงคุณค่าของความยุติธรรมในสังคมไทย

4
ศาลจังหวัดสงขลา เดิมมีฐานะเป็น “ศาลมณฑลนครศรีธรรมราช” จัดตั้งขึ้นตามพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2439) เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลในขณะนั้น โดยแบ่งศาลยุติธรรมในหัวเมืองออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ศาลมณฑล ศาลเมือง และศาลแขวง

มณฑลนครศรีธรรมราชมีศาลาว่าการตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา จึงได้จัดตั้งศาลมณฑล ณ จังหวัดสงขลา เปิดทำการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 116 โดยมีพระยาพิทักษ์เทพธานีเป็นอธิบดีผู้พิพากษาคนแรก ใช้สถานที่ร่วมกับที่ว่าการมณฑลในจวนเมืองเก่า ซึ่งเป็นอาคารแบบจีน (ปัจจุบันเป็นที่ทำการโทรศัพท์กลางและร้านค้า)

ต่อมา มีการปรับปรุงระบบศาลให้เหมาะสมกับการปกครองแบบใหม่ โดยยกเลิกอำนาจของศาลมณฑลในการพิจารณาคดีอุทธรณ์ และให้ส่งคำอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ที่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งมีประกาศกระทรวงมหาดไทยใน พ.ศ. 2459 ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" และเปลี่ยนชื่อ “ศาลเมือง” เป็น “ศาลจังหวัด” โดยยังคงอำนาจหน้าที่เช่นเดิม

ใน พ.ศ. 2473 มีการแก้ไขพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้ศาลจังหวัดต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนในการพิจารณาคดี และภายหลังการยุบเลิกมณฑลใน พ.ศ. 2476 ศาลมณฑลนครศรีธรรมราชจึงเปลี่ยนสถานะเป็น “ศาลจังหวัดสงขลา” โดยยังมีอำนาจหน้าที่เช่นเดิม

ที่ทำการเดิมของศาลอยู่ติดกับเรือนจำสงขลาและไม่สามารถขยายได้ จึงมีการย้ายสถานที่ตั้งใหม่ โดยหลวงจำรูญเนติศาสตร์ ข้าหลวงยุติธรรมภาคใต้ ได้เลือกที่ดินทางทิศตะวันออกของวัดสระเกษ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารใหม่ เริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน พ.ศ. 2480 แล้วเสร็จในวันที่ 21 พฤษภาคม 2484 และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484 โดยพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น
(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9)

ต่อมา เมื่อมีคดีความเพิ่มขึ้น อาคารศาลจึงถูกแบ่งใช้เป็นที่ทำการของศาลแขวงสงขลา และสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 9 ทำให้ไม่สะดวกในการปฏิบัติงาน กระทรวงยุติธรรมจึงจัดสรรงบประมาณจำนวน 57,363,700 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2528 เพื่อก่อสร้างอาคารศาลจังหวัดสงขลาหลังใหม่

นายเธียร เจริญวัฒนา ปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลป์การช่าง เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2528 เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารขนาด 20 บัลลังก์ พร้อมบ้านพักผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ โรงอาหาร ลานจอดรถ และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ มีกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 6 ธันวาคม 2530

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2529 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดอาคารศาลอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2530

อาคารศาลจังหวัดสงขลาหลังใหม่นี้เริ่มเปิดทำการตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2531 จนถึงปัจจุบัน

5
ประวัติศาลจังหวัดสงขลา
ศาลจังหวัดสงขลา เดิมมีฐานะเป็น “ศาลมณฑลนครศรีธรรมราช” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2439) เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการปกครองเทศาภิบาลในขณะนั้น โดยแบ่งศาลยุติธรรมในหัวเมืองออกเป็น 3 ระดับ คือ ศาลมณฑล ศาลเมือง และศาลแขวง

มณฑลนครศรีธรรมราชมีศาลาว่าการตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา จึงได้จัดตั้งศาลมณฑล ณ จังหวัดสงขลา และเริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 116 โดยมี พระยาพิทักษ์เทพธานี ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาคนแรก ใช้สถานที่ทำการร่วมกับที่ว่าการมณฑลในจวนเมืองเก่า ซึ่งเป็นอาคารแบบจีน (ปัจจุบันเป็นที่ทำการโทรศัพท์กลางและร้านค้า)

ต่อมา มีการปรับปรุงระบบศาลให้เหมาะสมกับรูปแบบการปกครอง และได้ยกเลิกอำนาจศาลมณฑลในการพิจารณาคดีอุทธรณ์ โดยให้ส่งต่อศาลอุทธรณ์ที่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งมีประกาศกระทรวงมหาดไทยใน พ.ศ. 2459 ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" และเปลี่ยนชื่อศาลเมืองเป็น “ศาลจังหวัด” โดยยังคงอำนาจหน้าที่เดิมทุกประการ

ใน พ.ศ. 2473 ได้มีการแก้ไขพระธรรมนูญศาลยุติธรรมให้ศาลจังหวัดต้องมีผู้พิพากษาสองคนขึ้นไปในการพิจารณาพิพากษาคดี และเมื่อมีการยุบเลิกมณฑลใน พ.ศ. 2476 ศาลมณฑลนครศรีธรรมราชจึงเปลี่ยนสถานะเป็น “ศาลจังหวัดสงขลา” โดยคงอำนาจหน้าที่เช่นเดิม

ต่อมา ที่ทำการเดิมของศาลอยู่ติดกับเรือนจำสงขลาและชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถขยายได้ จึงมีการดำเนินการย้ายที่ทำการใหม่ โดย หลวงจำรูญเนติศาสตร์ ข้าหลวงยุติธรรมภาคใต้ ได้เลือกที่ดินทางทิศตะวันออกของวัดสระเกษ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารศาลแห่งใหม่ เริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน พ.ศ. 2480 แล้วเสร็จวันที่ 21 พฤษภาคม 2484 และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484 โดย พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น
(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9)

อาคารหลังดังกล่าวเคยเป็นสถานที่ราชการขนาดใหญ่ที่โดดเด่นในจังหวัดสงขลาและภาคใต้ แต่เมื่อมีคดีความเพิ่มขึ้น จึงถูกแบ่งใช้เป็นที่ทำการของศาลแขวงสงขลา และสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 9 ส่งผลให้เกิดความคับแคบในการปฏิบัติราชการ

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2528 กระทรวงยุติธรรมได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 57,363,700 บาท เพื่อก่อสร้างอาคารศาลจังหวัดสงขลาหลังใหม่ โดยมี นายเธียร เจริญวัฒนา ปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามในสัญญาก่อสร้าง เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2528 โดยบริษัทผู้รับจ้างคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลป์การช่าง

อาคารใหม่ประกอบด้วยห้องพิจารณาคดี 20 บัลลังก์ บ้านพักผู้พิพากษาหัวหน้าศาล บ้านพักผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น โรงอาหาร ลานจอดรถ และระบบระบายน้ำ โดยกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 6 ธันวาคม 2530

ต่อมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2529 และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดอาคารศาลจังหวัดสงขลาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2530

ศาลจังหวัดสงขลาแห่งใหม่นี้เริ่มเปิดทำการตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2531 จนถึงปัจจุบัน


6
วงจรการเทรด 4 ขั้นตอน (เข้าใจง่ายๆ)

สมมติว่าคุณกำลังดูราคาสินค้าหรือหุ้นตัวหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในตลาด มันจะมีอยู่ 4 จังหวะหลักๆ วนไปมาแบบนี้ครับ:

เกิด Sig (เกิดสัญญาณ):

ง่ายๆ คือ: เหมือนกับการที่ "ไฟเขียวขึ้น" หรือ "มีสัญญาณบ่งบอก" ว่าราคากำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน (เช่น กำลังจะขึ้น หรือกำลังจะลง) นี่คือจังหวะที่คุณต้องสังเกตดีๆ ครับ

วิ่งครบรอบ Sig (วิ่งตามสัญญาณ):

ง่ายๆ คือ: พอมีสัญญาณแล้ว ราคามันก็จะเริ่ม "วิ่งตามทิศทางที่สัญญาณบอก" ไปเรื่อยๆ เป็นระยะทางหนึ่ง เหมือนรถที่ออกตัวไปแล้ววิ่งไปตามถนน

ตัวเลขที่เห็น (H1 1,000, H4 1,500-3,000, Day 2,500-5,000, Week 10,000-15,000, MN 15,000-30,000) คือ ระยะทางที่ราคาวิ่งไปได้ ในแต่ละ "กรอบเวลา" (Timeframe)

H1 (1 ชั่วโมง) วิ่งได้ 1,000 จุด

H4 (4 ชั่วโมง) วิ่งได้ 1,500-3,000 จุด

Day (1 วัน) วิ่งได้ 2,500-5,000 จุด

Week (1 สัปดาห์) วิ่งได้ 10,000-15,000 จุด

MN (1 เดือน) วิ่งได้ 15,000-30,000 จุด

ยิ่งกรอบเวลานานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งวิ่งได้ระยะทางเยอะขึ้นเท่านั้น เพราะมันมีเวลาเคลื่อนไหวมากกว่า

พักตัว:

ง่ายๆ คือ: หลังจากที่ราคาวิ่งมาได้สักพัก มันก็จะ "เหนื่อย" และ "พักหายใจ" ไม่ได้วิ่งไปในทิศทางเดิมอย่างรวดเร็วอีกต่อไป เหมือนรถที่วิ่งมาไกลๆ ก็ต้องจอดแวะพักบ้าง

การพักตัวมีหลายแบบ:

พักตัวครบรอบ Sig: พักจนหมดแรงที่วิ่งมา เหมือนพักจนครบระยะทางที่ควรจะพัก

พักครึ่ง: พักแค่ครึ่งทางที่วิ่งมา

พักสวิง: พักแบบแกว่งไปแกว่งมา ไม่ได้ขึ้นหรือลงชัดเจน แต่เป็นการทรงตัว

Sideway (ออกข้าง):

ง่ายๆ คือ: หลังจากพักตัวแล้ว ราคามันก็ยังไม่ไปไหนชัดเจน "วิ่งอยู่กับที่" หรือ "วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ในกรอบแคบๆ" เหมือนรถที่ติดไฟแดง ขยับไปนิดหน่อยแต่ไม่ได้ไปไหนไกลๆ นี่คือช่วงที่ตลาดไม่ไปไหน เป็นช่วงที่นักเทรดมักจะรอดูสัญญาณใหม่

ข้อสำคัญ: "การพักตัว" และ "Sideway" สามารถเกิดขึ้นสลับกันไปมาได้ ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเป๊ะๆ บางทีพักแล้วพักอีก หรือ Sideway แล้ว Sideway อีกก็ได้ ไม่ได้ตายตัว

สรุปภาพรวม:

จินตนาการว่าราคาคือรถยนต์คันหนึ่ง:

เกิด Sig: มีคนสตาร์ทรถ (เริ่มมีสัญญาณ)

วิ่งครบรอบ Sig: รถเริ่มวิ่งออกไปตามถนน (ราคาเคลื่อนไหวตามเทรนด์)

พักตัว: รถแวะปั๊ม เติมน้ำมัน พักคนขับ (ราคาเริ่มชะลอตัว ไม่ไปไหนแรงๆ)

Sideway: รถจอดติดไฟแดง หรือวนอยู่ในลานจอดรถ (ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางชัดเจน)

จากนั้น วงจรก็จะวนกลับไปที่ข้อ 1 คือรอสัญญาณใหม่ เพื่อให้รถออกตัววิ่งไปอีกครั้งครับ

7
"เงื่อนไขการเข้าออเดอร์" ในระบบ "แม่เปลาะปากกาเขียว" โดยเน้นที่การ "เข้าด้วย SIG+กรอบ" ซึ่งหมายถึงการใช้สัญญาณ (Signal) ร่วมกับหลักการกรอบราคา

มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกันนะคะ:

หัวข้อ: เข้าด้วย SIG+กรอบ

นี่คือเงื่อนไขการเข้าออเดอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นการใช้สัญญาณควบคู่ไปกับกรอบราคา

รายละเอียดและเงื่อนไข:

เกิด Sig TF. H1 H4 D1 W1 MN

"Sig": ย่อมาจาก Signal (สัญญาณ) ซึ่งในบริบทของการเทรด มักจะหมายถึงสัญญาณการซื้อขายที่เกิดจากอินดิเคเตอร์บางตัว หรือจากรูปแบบราคา/แท่งเทียนที่ระบบกำหนดไว้

"TF. H1 H4 D1 W1 MN": หมายถึง สัญญาณนี้จะต้องเกิดขึ้นใน Timeframe (กรอบเวลา) ที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่:

H1 (1 ชั่วโมง)

H4 (4 ชั่วโมง)

D1 (1 วัน)

W1 (1 สัปดาห์)

MN (1 เดือน)

ความหมาย: ระบบนี้ไม่ได้ใช้แค่กราฟเล็กๆ อย่าง M5 ในการเข้าออเดอร์ แต่ยังต้องใช้สัญญาณจากกราฟ Timeframe ใหญ่ๆ มายืนยันด้วย เพื่อให้สัญญาณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ถ้ายังเกิด Sig เหมือนกันตั้งแต่ 2 TF โอกาสกราฟวิ่งถึง TP 100%

"ถ้ายังเกิด Sig เหมือนกันตั้งแต่ 2 TF": นี่คือการยืนยันสัญญาณที่สำคัญมาก หากพบสัญญาณเดียวกัน (เช่น สัญญาณ Buy) เกิดขึ้นพร้อมกันใน Timeframe ใหญ่ 2 กรอบขึ้นไป (เช่น เห็นสัญญาณ Buy ทั้งใน H1 และ H4 พร้อมกัน)

"โอกาสกราฟวิ่งถึง TP 100%": หมายความว่า หากสัญญาณได้รับการยืนยันจาก Timeframe ใหญ่หลายๆ Timeframe จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาจะวิ่งไปถึงจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

ภาพประกอบด้านซ้าย (XAUUSD, H1): จะเห็นว่ามีจุด "P2" (ซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสัญญาณ) เกิดขึ้นในกราฟ H1 ทั้งในจุดที่ราคากลับตัวขึ้นและกลับตัวลง แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น

เมื่อเมื่อเกิด Sig Buy ไปเข้าออเดอร์ M5 เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งยืนกรอบได้

"เมื่อเกิด Sig Buy": เมื่อเราเห็นสัญญาณ Buy ใน Timeframe ใหญ่แล้ว (ตามเงื่อนไขด้านบน)

"ไปเข้าออเดอร์ M5": ให้เปลี่ยนไปดูที่กราฟ M5 (กราฟ 5 นาที) เพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่แม่นยำ

"เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งยืนกรอบได้": และให้เข้า Buy เมื่อเห็นแท่งเทียน M5 ที่:

"เบรคราคา": คือทะลุแนวต้านหรือกรอบขึ้นไป

"แท่งยืนกรอบ": คือแท่งเทียนที่แสดงการยืนยันว่าจะไม่หลุดกรอบลงไป (เช่น เป็นแท่งเทียนที่กลับตัวขึ้นมาจากกรอบล่าง)

เมื่อเกิด Sig Sell ไปเข้าออเดอร์ M5 เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งหลุดกรอบ

"เมื่อเกิด Sig Sell": เมื่อเราเห็นสัญญาณ Sell ใน Timeframe ใหญ่แล้ว

"ไปเข้าออเดอร์ M5": ให้เปลี่ยนไปดูที่กราฟ M5 เพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่แม่นยำ

"เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งหลุดกรอบ": และให้เข้า Sell เมื่อเห็นแท่งเทียน M5 ที่:

"เบรคราคา": คือทะลุแนวรับหรือกรอบลงไป

"แท่งหลุดกรอบ": คือแท่งเทียนที่แสดงการยืนยันว่าจะไม่เด้งกลับขึ้นไป (เช่น เป็นแท่งเทียนที่ทะลุกรอบบนลงมาอย่างชัดเจน)

ภาพประกอบด้านขวา (XAUUSD, M5):
ภาพนี้เป็นตัวอย่างของกราฟ M5 ที่แสดงให้เห็นการเกิด "แท่งเบรคราคา/เบรคกรอบ" และ "แท่งยืนกรอบ" ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดจะเข้าออเดอร์ตามสัญญาณที่ได้จาก Timeframe ใหญ่

สรุปเงื่อนไข "เข้าด้วย SIG+กรอบ" แบบง่ายๆ:

เป็นกลยุทธ์การเข้าออเดอร์ที่เน้นการผสมผสานระหว่าง:

สัญญาณ (Sig) ที่แข็งแกร่ง: โดยดูสัญญาณที่เกิดขึ้นใน Timeframe ใหญ่ (H1, H4, D1, W1, MN) หากมีสัญญาณเดียวกันในหลาย Timeframe ยิ่งดี เพราะจะเพิ่มโอกาสสำเร็จ

การหาจุดเข้าที่แม่นยำใน M5: เมื่อได้สัญญาณจาก Timeframe ใหญ่แล้ว ให้เปลี่ยนไปดูกราฟ M5 เพื่อหาจังหวะเข้าออเดอร์ที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้หลักการของ "แท่งเบรคราคา" (ทะลุกรอบ) หรือ "แท่งยืนกรอบ" (กลับตัวจากกรอบ) ที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้

การรวมกันของสัญญาณจาก Timeframe ใหญ่และการหาจุดเข้าที่ละเอียดใน Timeframe เล็ก จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเข้าซื้อขายในระบบ "แม่เปลาะปากกาเขียว" นี้ค่ะ

8
 "เข้าด้วย OVL (แคดแดด)" ซึ่งเป็นการอธิบายเงื่อนไขการเข้าออเดอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะใช้ร่วมกับหลักการตีกรอบราคาที่อธิบายไปก่อนหน้า

มาดูกันว่า OVL (โอเวอร์แลป หรือ แคดแดด) คืออะไร และใช้งานอย่างไรค่ะ:

หัวข้อ: เข้าด้วย OVL (แคดแดด)

หลักการหลัก:

เมื่อมีแท่งราคาเลย แนวรับ แนวต้านได้ แต่ไม่เกิน 200 จุด (OVL แคดแดด) แล้วทำค่า PA Sig ตามรูปแบบให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอผ่านแนวรับ-แนวต้าน

มาแยกอธิบายทีละส่วนนะคะ:

"เมื่อมีแท่งราคาเลย แนวรับ แนวต้านได้": หมายถึง กราฟราคาได้มีการเคลื่อนที่ผ่าน (ทะลุ) แนวรับหรือแนวต้านที่เราตีเส้นไว้ (จากสไลด์แรกๆ ที่มีการตีกรอบและแนวรับ-แนวต้านย่อย)

"แต่ไม่เกิน 200 จุด (OVL แคดแดด)": ตรงนี้สำคัญมากค่ะ! การที่ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านนั้น จะต้องทะลุไป "ไม่เกิน 200 จุด" ถ้าทะลุไปไกลกว่า 200 จุด จะไม่เข้าเงื่อนไขนี้

"OVL แคดแดด": คำว่า OVL ย่อมาจาก "Overlap" ซึ่งหมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่เหลื่อมล้ำหรือทับซ้อนกันเล็กน้อยบริเวณแนวรับ/แนวต้าน คือทะลุไปนิดเดียว ไม่ได้พุ่งทะลุไปไกล

เปรียบเทียบกับ "แคดแดด": คำว่า "แคดแดด" อาจจะเป็นคำที่ผู้พัฒนาระบบใช้เรียกเฉพาะสถานการณ์ที่ราคาทะลุไปนิดเดียวแล้วเกิดสัญญาณกลับตัว เหมือนกับว่ามันแค่ "แหย่ๆ" ออกไปแล้วก็กลับเข้ามา หรือพร้อมที่จะกลับตัว

"แล้วทำค่า PA Sig ตามรูปแบบให้เข้าออเดอร์ได้เลย":

"PA Sig": PA ย่อมาจาก Price Action (พฤติกรรมราคา) และ Sig ย่อมาจาก Signal (สัญญาณ) ดังนั้น PA Sig คือ "สัญญาณพฤติกรรมราคา" ซึ่งหมายถึงรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัวหรือไปต่อของราคา เช่น แท่งเทียนกลืนกิน (Engulfing bar), แท่งเทียนค้อน (Hammer), แท่งเทียนดาวตก (Shooting star) เป็นต้น

"ตามรูปแบบ": หมายถึง สัญญาณ PA ที่ปรากฏขึ้นนั้นจะต้องเป็นไปตามรูปแบบที่ระบบกำหนดไว้ว่าเป็นสัญญาณที่เชื่อถือได้

"ให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอผ่านแนวรับ-แนวต้าน": นี่คือข้อดีของเงื่อนไข OVL นี้ คือเราสามารถเข้าออเดอร์ได้ทันทีที่เห็นสัญญาณ PA หลังจากที่ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านไปไม่เกิน 200 จุด โดยไม่ต้องรอให้ราคากลับมายืนยันบน/ล่างแนวรับ/แนวต้านเดิมอีกครั้ง

ภาพประกอบในสไลด์:

ภาพทางขวาแสดงกราฟ XAUUSD (ทองคำ) ใน Timeframe M5 (กราฟ 5 นาที) และมีการตีเส้นแนวรับ/แนวต้าน (เส้นสีม่วง) และเส้นกรอบราคา (เส้นสีฟ้า)

กรอบสีน้ำเงินทางซ้ายมือ: จะเห็นว่ามีแท่งเทียนสีแดง (แท่งขาลง) ทะลุเส้นแนวรับสีม่วงลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลงไปไกลมากนัก หลังจากนั้นก็มีแท่งเทียนสีเขียว (แท่งขาขึ้น) ตามขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณ PA ที่บอกให้เข้า Buy (ซื้อ)

กรอบสีน้ำเงินทางขวามือ: คล้ายกันกับด้านซ้าย แต่เป็นสถานการณ์ที่ราคาขึ้นไปชนแนวต้านสีม่วง แล้วมีแท่งเทียนสีแดงลงมาเล็กน้อย หลังจากนั้นมีแท่งเทียนสีเขียวพยายามขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้ทะลุไปไกล และสุดท้ายมีแท่งเทียนสีแดงที่บ่งบอกถึงการกลับตัวลง ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณ PA ที่บอกให้เข้า Sell (ขาย)

สรุปเงื่อนไขการเข้าออเดอร์ด้วย OVL (แคดแดด) แบบง่ายๆ:

เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อ:

ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ที่เราตีไว้ (ไม่ว่าจะเป็นกรอบหลัก หรือแนวรับ-แนวต้านย่อย)

การทะลุนั้นต้องไม่ไกลมากนัก "ไม่เกิน 200 จุด" (นี่คือลักษณะของ OVL หรือแคดแดด)

จากนั้นปรากฏ "สัญญาณ PA" (รูปแบบแท่งเทียน) ที่บอกถึงการกลับตัว หรือไปต่อตามรูปแบบที่กำหนดไว้

เมื่อครบเงื่อนไข ให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอให้ราคายืนยันการทะลุแนวรับ/แนวต้านอย่างเต็มตัว

กลยุทธ์นี้เหมือนเป็นการ "ดัก" หรือ "หาจังหวะ" เข้าเทรดในบริเวณที่ราคาเกิดการทดสอบแนวรับ/แนวต้านแล้วมีการกลับตัวเกิดขึ้น โดยที่การทะลุแนวรับ/แนวต้านนั้นเป็นการทะลุแบบเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่การทะลุที่รุนแรงและมีโมเมนตัมสูง

9
วิธีการเข้าซื้อขาย (ออเดอร์) โดยใช้หลักการของระบบนี้ ค่ะ

มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกันแบบง่ายๆ นะคะ:

หัวข้อ: เงื่อนไขการเข้าออเดอร์

จุดเน้น: เข้าด้วยกรอบ
นี่คือหลักการสำคัญของระบบนี้ คือการใช้ "กรอบราคา" ที่สร้างขึ้นมาเป็นตัวตัดสินใจในการเข้าซื้อขาย

รายละเอียดและเงื่อนไขการเข้าออเดอร์:

ชิดกรอบก็มีแท่ง M5 เบรค:

"ชิดกรอบ": หมายถึง ราคามีการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้กับเส้นกรอบราคาที่เราตีไว้ (จากสไลด์ก่อนหน้านี้)

"มีแท่ง M5 เบรค": เมื่อราคาชิดกรอบแล้ว ให้รอดูแท่งเทียนใน Timeframe M5 (กราฟ 5 นาที) ถ้ามีแท่งเทียนที่เบรค (ทะลุ) ออกจากกรอบนั้น (อาจจะเบรคขึ้นหรือเบรคลงก็ได้) นั่นคือสัญญาณแรก

ภาพประกอบ: ในกราฟด้านซ้าย (XAUUSD, M5) จะเห็นว่ามีคำว่า "แท่งเบรคราคา/เบรคกรอบ" ชี้ไปที่แท่งเทียนแท่งหนึ่งที่กำลังจะพุ่งออกจากกรอบล่าง นั่นคือลักษณะที่บอกว่า "มีแท่ง M5 เบรค"

SL 300 จุดจากกรอบ:

SL (Stop Loss): คือ จุดที่เราจะตั้งค่าหยุดขาดทุน ถ้าหากราคาเคลื่อนไหวผิดทางไปจากที่เราคาดการณ์ไว้ เพื่อจำกัดความเสียหาย

"300 จุดจากกรอบ": หมายความว่า ให้ตั้งจุด Stop Loss ห่างจากเส้นกรอบราคาที่เราเข้าออเดอร์ไป 300 จุด (เช่น ถ้าเข้า Buy ที่กรอบล่าง ให้ตั้ง SL ต่ำกว่ากรอบล่างไป 300 จุด หรือถ้าเข้า Sell ที่กรอบบน ให้ตั้ง SL สูงกว่ากรอบบนไป 300 จุด)

TP 300 จุด 100%:

TP (Take Profit): คือ จุดที่เราจะตั้งค่าทำกำไรอัตโนมัติ เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่เราต้องการ

"300 จุด 100%": หมายความว่า ให้ตั้งจุด Take Profit ห่างจากเส้นกรอบราคาที่เราเข้าออเดอร์ไป 300 จุดเช่นกัน (ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน หรือ Risk/Reward Ratio เป็น 1:1)

TP 500 จุด (ดูตามหน้างาน):

อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับ Take Profit ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

"500 จุด": สามารถตั้ง Take Profit ที่ 500 จุดได้ด้วย

"ดูตามหน้างาน": หมายความว่า การตั้ง TP ที่ 500 จุดนี้จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดในขณะนั้น หรืออาจจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของกราฟหรือปัจจัยอื่นๆ ที่นักเทรดเห็นว่าเหมาะสมกว่าการตั้งที่ 300 จุด

จุดสังเกต (เป็นหลักการสำคัญในการตัดสินใจเข้าซื้อขาย):

ให้ผู้การณ์กรอบก็คือหลุดกรอบมีประกอบ: (ประโยคนี้อาจจะพิมพ์ผิดเล็กน้อย น่าจะหมายถึง "ให้พิจารณาว่าการหลุดกรอบมีองค์ประกอบอะไรบ้าง" หรือ "เมื่อเกิดการหลุดกรอบ ให้พิจารณาประกอบกับสิ่งอื่น")

หลักๆ คือ เมื่อเห็นราคาทะลุกรอบออกไป (หลุดกรอบ) ไม่ใช่แค่การทะลุเฉยๆ แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มาสนับสนุนด้วย เช่น แท่งเทียนที่ทรงพลัง หรือสัญญาณอื่นๆ

แท่งยืนกรอบก็ให้ Buy:

"แท่งยืนกรอบ": หมายถึง แท่งเทียนที่ปิดอยู่ "ในกรอบ" หรือ "เหนือ/ใต้กรอบเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่กรอบ" หรือเป็นแท่งเทียนที่แสดงการปฏิเสธราคาที่จะทะลุกรอบออกไป (เช่น มีไส้ยาวๆ ที่ปลายกรอบและกลับเข้ามาปิดในกรอบ)

"ให้ Buy": ถ้าเห็นสัญญาณ "แท่งยืนกรอบ" ที่บริเวณกรอบล่าง แสดงว่าราคาอาจจะไม่ทะลุลงไป แต่จะมีการเด้งขึ้น ก็ให้เข้าซื้อ (Buy)

แท่งหลุดกรอบก็ให้ Sell:

"แท่งหลุดกรอบ": หมายถึง แท่งเทียนที่ปิดตัวลง "นอกกรอบ" อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อราคาพุ่งทะลุผ่านกรอบอย่างรุนแรง

"ให้ Sell": ถ้าเห็นสัญญาณ "แท่งหลุดกรอบ" ที่บริเวณกรอบบน แสดงว่าราคาอาจจะทะลุลงไปและเริ่มแนวโน้มขาลง ก็ให้เข้าขาย (Sell)

ภาพประกอบด้านขวา (XAUUSD, M5):
ภาพนี้แสดงตัวอย่างของ "แท่งหลุดกรอบ" ที่บริเวณกรอบราคาบน โดยมีลูกศรชี้ไปที่แท่งเทียนสีแดงที่ทะลุกรอบบนลงมาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณให้เข้า Sell

สรุปโดยรวมของ "ระบบแม่เปลาะปากกาเขียว" ในส่วนนี้:

ระบบนี้เน้นการใช้ "กรอบราคา" ที่ตีไว้เป็นหลักในการเทรด โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ:

รอดูแท่งเทียน M5 ที่เบรคออกจากกรอบ หรือชิดกรอบ

ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ที่ 300 จุด (หรือ TP 500 จุดแล้วแต่สถานการณ์)

ตัดสินใจเข้าออเดอร์ (Buy/Sell) โดยพิจารณาจาก "แท่งยืนกรอบ" (สัญญาณซื้อ) หรือ "แท่งหลุดกรอบ" (สัญญาณขาย)

ระบบนี้ดูเหมือนจะเน้นการเทรดแบบตามแนวโน้ม (Trend Following) เมื่อราคาทะลุกรอบ หรือการเทรดแบบสวนแนวโน้ม (Counter-Trend) เมื่อราคาชนกรอบแล้วไม่ทะลุ (แท่งยืนกรอบ) ค่ะ

10
ระบบแม่ปลาปากกาเขียว

หัวข้อหลัก: การตีกรอบราคาหลัก (ระบบแม่เปลาะ)

เนื้อหาในสไลด์เป็นการอธิบายถึงเงื่อนไขและหลักการในการตีกรอบราคานี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

สิ่งที่ต้องทำก่อนเข้าเทรด:

เริ่มเข้าเทรดตอน 07.00 น. และจะเทรดเฉพาะในกรอบ Day (H4) H1 เท่านั้น: หมายถึง การเข้าทำการซื้อขายจะเริ่มตอนเช้า และใช้ Timeframe (กรอบเวลา) ที่ใหญ่ขึ้นคือ Day และ H4 (กราฟ 4 ชั่วโมง) และ H1 (กราฟ 1 ชั่วโมง) ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ โดยมีการระบุว่าใช้โบรกเกอร์ EXNESS เท่านั้น ซึ่งอาจหมายถึงเงื่อนไขบางอย่างที่รองรับกับระบบนี้

การตีกรอบบนและล่าง:

ตีกรอบปลายไส้ H4 (กราฟ 4 ชั่วโมง): ให้ตีกรอบโดยใช้ปลายไส้ของแท่งเทียนในกราฟ H4

กรอบบนกับกรอบล่างต้องห่างกัน 1,000 จุดขึ้นไป: จุดในที่นี้มักจะหมายถึงหน่วยของราคา (เช่น pip หรือ point) ซึ่งแสดงถึงความกว้างของกรอบราคาที่ตีขึ้นมา

ต้องมีจุดสัมผัส 7-17 จุด (ตีกรอบที่แข็งแรง): กรอบราคาที่ตีขึ้นมาจะต้องมีจุดที่กราฟราคามาสัมผัส (หรือชน) ที่เส้นกรอบบ่อยๆ ยิ่งมีจุดสัมผัสมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่ากรอบนั้นแข็งแรงและน่าเชื่อถือ

แล้ววัดระยะจากเส้นล่างไปเส้นบน 1,000 จุด: เป็นการยืนยันความกว้างของกรอบอีกครั้งว่ามีระยะห่างตามที่กำหนด

การตีแนวรับ-แนวต้านย่อย:

ตีแนวรับ-แนวต้านย่อยประมาณ 500 จุดจากปลายสุดจากปลายไส้ H1: นอกจากการตีกรอบหลักแล้ว ยังมีการตีแนวรับ-แนวต้านย่อยเพิ่มเติมโดยใช้กราฟ H1 ซึ่งมีรายละเอียดมากขึ้น

มีจุดสัมผัส 7-14 จุดเช่นกัน: แนวรับ-แนวต้านย่อยก็ควรมีจุดที่กราฟมาสัมผัสจำนวนมากเพื่อความน่าเชื่อถือ

แนวโน้มด้านบน-ด้านล่างมีกรอบ 1,000 จุดเสมอ: เป็นการเน้นย้ำว่ากรอบราคาที่สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะด้านบนหรือด้านล่างควรมีความกว้างประมาณ 1,000 จุด

คำเตือน/ข้อควรระวัง:

ลูกศรที่คิดเห็นที่เป็น sig ของระบบเราหรือในระบบไม่มี?: ไม่แน่ใจว่า "sig" หมายถึงอะไรในที่นี้ แต่อาจจะเป็นตัวบ่งชี้หรือสัญญาณบางอย่างที่ระบบอาจมีหรือไม่มี

ถ้ายังไม่มี PA ชุด sig ให้เข้าออเดอร์ก่อนกลับมาดูหลักการเข้าตามเงื่อนไขเข้าออเดอร์: "PA" น่าจะหมายถึง Price Action (พฤติกรรมราคา) และ "ชุด sig" อาจหมายถึงชุดสัญญาณที่ใช้ในการเข้าเทรด หากยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ก็อาจจะยังไม่ควรเข้าออเดอร์ หรือต้องกลับไปทบทวนหลักการเข้าออเดอร์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก่อน

การตีกรอบของคีย์พีช:

ตีกรอบทุกราคาที่ลงท้ายด้วย 0 และ 5: อันนี้เป็นส่วนที่น่าสนใจและเฉพาะเจาะจงมาก โดยระบุว่าให้ตีกรอบที่ระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 0 หรือ 5 เท่านั้น เช่น 2605, 2610, 2615, 2620 เป็นต้น ซึ่งหมายถึงการใช้ตัวเลขกลมๆ หรือครึ่งๆ ในการกำหนดระดับราคาสำคัญ

สรุปโดยรวม:

จากที่อธิบายมา สไลด์นี้เป็นการให้คำแนะนำและหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการใช้ระบบ "แม่เปลาะ" ซึ่งเป็นเทคนิคการตีกรอบราคาในการเทรด โดยเน้นการใช้ Timeframe ที่ใหญ่ (H4, H1) การกำหนดความกว้างของกรอบราคา (1,000 จุด) การหาจุดสัมผัสของราคาที่แข็งแรง และการใช้ระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 0 หรือ 5 เป็นหลักในการตีกรอบ ซึ่งทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจเข้าซื้อขายได้อย่างมีหลักการมากขึ้น

11
Forex / ระบบเรา
« เมื่อ: 27/07/25 »
หลักการพื้นฐานของระบบแม่ปลาปากกาเขียว (จากเอกสาร)
ตีกรอบราคาหลักให้ชัดเจน

เวลาเช้า ~07:00 ดูแท่ง Day, H4, H1 ให้เรียบร้อย (เฉพาะกราฟที่ H4 บริค EXNESS)


วัดกรอบบน-ล่างของราคา H4 โดยให้ระยะห่าง 1,000 จุด และปรับให้กรอบล่างมีจุดสัมผัส 7–17 จุด → คือกรอบที่แข็งแรง


ตีกรอบแนวรับ-แนวต้านย่อยใน H1

ใช้ช่วง 500 จุดจากปลายไส้แท่ง H1 ที่มีจุดสัมผัส 7–14 จุด

เส้นกรอบย่อยจะอยู่ภายในกลางกรอบใหญ่เสมอ


สัญญาณเข้า (Sig) ของระบบ

รอสัญญาณ Price Action (PA) ที่เป็น Sig ใน TF ต่าง ๆ เช่น H1, H4 (บางคนดู D1, W1 ด้วย)

เมื่อเกิด Sig บนกรอบย่อย (หรือกรอบใหญ่) ให้เข้าออเดอร์ตามกรอบนั้น (Buy เมื่อปักกรอบบน และ Sell เมื่อหลุดกรอบ)


กฎการเข้าออเดอร์ (PA Sig + กรอบ)

หาก Sig เกิดในหลาย TF เช่น H4 และ H1 พร้อมกัน โอกาสถึง TP สูง (≈ 100%)

ใช้แท่ง M5 เบรกกรอบหรือยืนกรอบเป็นจังหวะเข้าออเดอร์


การบริหาร SL/TP ตามระบบ

SL มาตรฐาน ~300 จุด (บางตลาด +300 จุด – เช่นช่วงตลาดอเมริกา)

TP โดยทั่วไป 300–500 จุด แต่ปรับตามสถานการณ์ได้

ถ้า Sig เกิดใกล้กรอบ ให้รีบเข้า (แต่ไม่ไล่ราคาห่างกรอบเกิน 300 จุด)


 วงจรการวิ่งของกราฟ (TF หลัก)
อธิบายวงจรกราฟในแต่ละ TF (H1, H4, D1 ฯลฯ):

Timeframe   ระยะวิ่ง   พักตัว
H1   1,000 จุด   300–500 จุด
H4   1,500 จุด   300–500 จุด
D1   5,000 จุด   2,500 จุด
W1   10,000–15,000 จุด   –
MN   ~100,000 จุด   –

Sig ต้องเกิดใกล้กรอบ เพื่อให้กรอบรับ/ต้านไม่หลุด และสามารถวิ่งตามได้ต่อเนื่อง
FlipHTML5

สรุปขั้นตอนแบบระบบ
เช้า 07:00 วิเคราะห์กรอบ H4 และทำกรอบ H1

รอ PA Sig (H1/H4) เช่นแท่งเบรคกรอบ หรือแท่งยืนกรอบ

เข้าออเดอร์ตาม Sig และกรอบ:

Buy หากยืนกรอบบนหรือให้แท่งเบรคกลับ

Sell หากหลุดกรอบล่างแล้วเจอแท่งเบรคกลับ

ใช้ SL = ~300 จุด / TP = ~300–500 จุด (หรือเพิ่มขึ้นตามโอกาส)

ไม่เข้าออเดอร์กลางกรอบ (ต้องเข้าเฉพาะขอบกรอบเท่านั้น)

ห้ามไล่ราคาเกิน 300 จุดจากกรอบ → เสี่ยงมากขึ้น
FlipHTML5

 ตัวอย่างการเทรดจริง
ตีกรอบใหญ่ H4 เช่น ระหว่าง 2600–3600 (1,000 จุด)

ตีกรอบย่อย H1 ภายในกลางกรอบใหญ่ (500 จุด)

รอให้เกิดแท่งเบรค หรือแท่งยืนกรอบ (Sig)

ถ้าเกิด Sig + Breakout หรือยืนกรอบ → เข้าออเดอร์ตามสถานการณ์

ตั้ง SL ตามกฎ (~300 จุด) และ TP ตามเป้าหมาย (~300–500 จุด)

 ข้อควรระวัง
Sig ต้องเกิดใกล้กรอบจริง ๆ ไม่ใช่กลางช่วง

จำกัด SL ไม่เกิน 300 จุด (ยกเว้นบางช่วงตลาด)

ห้ามเข้าออเดอร์กลางกรอบ

SL / TP ต้องทำตามกรอบระบบ และไม่ขยับเป็นอารมณ์

ต้องมีวินัยสูง ใช้แค่ H4 / H1 เท่านั้น

หากคุณอยากได้:

 แผนภาพอินโฟกราฟิกระบบนี้

 Google Sheet บันทึกการเทรดตาม Sig และคำนวณ TP/SL

 ตัวอย่าง EA แชร์ Sig + Breakout ช่วยแนะนำ

แค่พิมพ์ว่า “ขอภาพ” หรือ “ขอ Sheet” หรือ “ขอ EA”
ผมจัดให้ได้ครบระบบเลยครับ

12
3 ขั้นตอน ทำวิดีโอง่ายๆ ด้วย AI
3 ขั้นตอน ทำวิดีโอง่ายๆ ด้วย AI
 ขั้นตอนง่ายๆ ใครก็ทำได้วิธีการสร้าง
1️⃣ เข้า #hailuoai video
2️⃣ เลือก IV2 เพิ่มรูปภาพของเราลงไป
3️⃣พิมพ์คำสั่งสร้างภาพ : A young man walking down a small hill and kicking a soccer ball. He wears a casual t-shirt and jeans, captured mid-action as his foot strikes the ball. The setting is an open grassy field under a bright sky, with motion blur emphasizing the dynamic movement. Shot in high resolution, natural lighting[Truck left,Pan right,Tracking shot]
ภาษาไทย “ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงเนินเขาเล็ก ๆ และเตะลูกฟุตบอล เขาสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนส์แบบสบาย ๆ ถูกจับกลางการกระทําขณะที่เท้าของเขาตีลูกบอล การตั้งค่าเป็นทุ่งหญ้าโล่งภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไสว โดยมีการเคลื่อนไหวเบลอที่เน้นการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก ถ่ายด้วยความละเอียดสูง แสงธรรมชาติ [ แพนขวา ติดตามช็อต]”
 เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถทำวิดีโอตัวเองแบบเท่ห์ได้เลย
#enjoylife #foryou #AI #ปัญญาประดิษฐ์ #Aiเปิดค่าการมองเห็น

13
ลองทำดูครับ
✅Prompt :  > ครูสาวไทยสาวสวยน่ารัก หน้าอกใหญ่ อายุประมาณ 25 ปี สวมชุดครูไทยสีกากีแขนยาว เธอยิ้มแย้มแจ่มใสและถือซองเงินเดือนในมือขวา การจัดตั้งเป็นสํานักงานครูที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวาพร้อมโต๊ะทํางาน เก้าอี้ สมุดธนาคารแบบไทย และอุปกรณ์สํานักงานทั่วไป
เธอหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดเป็นภาษาไทยว่า:
"วันนี้เงินเดือนออกแล้ว ถ้าถามว่าทุกวันนี้เงินเดือนพอใช้ไหม ตอบได้เลยว่าพอ…พอเข้าปุ๊บก็ออกปั๊ป"
สไตล์: สไตล์กึ่งสมจริงหรือการ์ตูน อารมณ์อบอุ่นและร่าเริง
#AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง


แจก prompt Veo3 : เมื่อต้องเจอกับแฟนเก่า
✅Prompt :
[วิดีโอสั้น/ตลกเสียดสี]:
การตรวจสุขภาพที่อนามัยพร้อมบทสนทนาที่คาดไม่ถึง, สไตล์สมจริง,บรรยากาศคลินิกชนบท, ให้ความรู้สึกเริ่มจริงจังแต่จบลงด้วยความตลกขบขันและเสียดสีเล็กน้อย.
[รายละเอียดเฉพาะของภาพ/ฉากสำคัญ]:
คนไข้ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หน้าหมอผู้หญิงสวมเสื้อกาวน์สีขาว
หมอกำลังใช้หูฟังทางการแพทย์ตรวจหน้าอกคนไข้
ฉากหลังเป็นห้องตรวจของอนามัยที่มีโปสเตอร์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์เรียบง่าย
เน้นการแสดงออกทางสีหน้าของคนไข้ที่งงงวยและหมอที่ดูจริงจังแต่แฝงอารมณ์ขัน.
[ซาวด์ประกอบ]:
เสียงบรรยากาศภายในคลินิก (เช่น เสียงกระดาษ, เสียงไอเบาๆ),เสียงเครื่องมือแพทย์เล็กน้อย (เช่น เสียงหูฟังแตะหน้าอก), พร้อมเพลงประกอบแนวตลกขบขันและมีจังหวะเบาๆ
ที่บ่งบอกถึงความพลิกผันของสถานการณ์เมื่อบทสนทนาเข้าสู่ช่วงท้าย.
[เสียงพูดภาษาไทย (Voiceover)]:
- หมอ (ผู้หญิงคนไทยหน้าตาสวย, อายุ 30-40ปี, น้ำเสียงจริงจังในช่วงแรกและแฝงความขบขันในช่วงท้าย,พูดภาษาไทย): "สบายดีมั้ย ดีขึ้นมั้ย"
- คนไข้ (ผู้ชายคนไทย, อายุ 30-50ปี, น้ำเสียงงงงวยและตอบตรงไปตรงมา,พูดภาษาไทย): "คุณหมอถามอาการป่วยผมหรอ"
- หมอ (ผู้หญิงคนไทยหน้าตาสวย, อายุ 30-40ปี, น้ำเสียงแฝงความขบขัน, พูดภาษาไทย):
"ไม่ใช่ ฉันถามนิสัยเธอ"
#AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง

14
แน่นอนครับ ในฐานะนักเขียน Prompt มืออาชีพ ผมจะช่วยคุณสร้าง Prompt คุณภาพเยี่ยมสำหรับ Google Veo 3 ที่พร้อมใช้งานได้ทันที โดยคำนึงถึงการสร้างวิดีโอพร้อมซาวด์ประกอบและเสียงพูด ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
-----
✅**หลักการสำคัญในการเขียน Prompt สำหรับ Google Veo 3**
ก่อนที่เราจะไปดูตัวอย่าง Prompt ผมขออธิบายหลักการสำคัญบางประการที่จะช่วยให้คุณสร้าง Prompt ที่มีประสิทธิภาพสำหรับ Veo 3:
1️⃣ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงที่สุด:** แทนที่จะบอกว่า "คนกำลังเดิน" ให้บอกว่า "หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงกำลังเดินเล่นอย่างสบายๆ ริมชายหาดที่มีคลื่นซัดเบาๆ" ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ ผลลัพธ์ยิ่งตรงใจมากขึ้น
2️⃣ใช้คำคุณศัพท์และคำกริยาที่สื่อถึงอารมณ์และบรรยากาศ:** เช่น "สดใส", "ลึกลับ", "ตื่นเต้น", "ผ่อนคลาย", "เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว", "เต้นรำอย่างสง่างาม"
3️⃣กำหนดสไตล์และโทนของวิดีโอ:** เช่น "สไตล์ภาพยนตร์", "แอนิเมชั่น 3 มิติ", "สารคดี", "มิวสิควิดีโอ", "โทนอบอุ่น", "โทนเย็นชา"
4️⃣ระบุรายละเอียดของเสียงประกอบและเสียงพูด:** นี่คือจุดสำคัญสำหรับ Veo 3\! คุณต้องบอกให้ชัดเจนว่าต้องการเสียงแบบไหน เช่น "เสียงนกร้อง", "เพลงบรรเลงแนวคลาสสิก", "เสียงเล่าเรื่องของผู้หญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน", "บทสนทนาระหว่างคนสองคน"
5️⃣พิจารณาเรื่องมุมกล้องและการเคลื่อนไหว:** เช่น "มุมกว้าง", "ซูมเข้าอย่างช้าๆ", "แพนกล้องตามตัวละคร", "กล้องเคลื่อนที่เร็ว"
6️⃣กำหนดความยาวของคลิป (ถ้าต้องการ):** แม้ว่า Veo 3 จะยังไม่เปิดเผยฟังก์ชันนี้อย่างเป็นทางการ แต่การระบุความต้องการของคุณจะช่วยให้ AI เข้าใจเจตนาได้ดีขึ้น
-----
✅**ตัวอย่าง Prompt คุณภาพสำหรับ Google Veo 3 (พร้อมใช้งาน)**
 **ตัวอย่างที่ 1: วิดีโอแนวธรรมชาติผ่อนคลาย**
```
Prompt:
Create a serene, high-definition video of a misty, ancient forest at dawn. Soft, golden sunlight filters through towering trees, illuminating patches of moss-covered ground. A gentle breeze rustles the leaves.
Sound:
Peaceful forest ambient sounds, including distant bird chirps, soft rustling leaves, and the subtle trickle of a hidden stream. No human voices. A calm, uplifting instrumental melody (acoustic guitar or piano) plays softly in the background.
```
**คำอธิบาย:**
  * **วิดีโอ:** เน้นบรรยากาศป่าไม้โบราณยามเช้า มีหมอกและแสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดลงมา รายละเอียดของต้นไม้ใหญ่และมอส
  * **เสียง:** ระบุชัดเจนว่าต้องการเสียงธรรมชาติในป่า (นกร้อง, ใบไม้ไหว, เสียงน้ำไหล) และไม่มีเสียงคน พร้อมเพลงบรรเลงแนวผ่อนคลาย
-----
 **ตัวอย่างที่ 2: วิดีโอโปรโมทสินค้า (สมมติว่าเป็นกาแฟ)**
```
Prompt:
Generate a vibrant, close-up video of a skilled barista expertly pouring latte art into a ceramic cup. The steam rises gently from the rich, dark coffee. Focus on the intricate details of the foam design and the warm glow of the cafe interior in the background, slightly blurred. The lighting is soft and inviting.
Sound:
The gentle clinking of coffee cups, the soft whirring of an espresso machine, and a subtle, upbeat jazz music track. A confident, friendly female voice narrates: "Start your day with the perfect blend. [Brand Name] – where every sip is a masterpiece."
```
**คำอธิบาย:**
  * **วิดีโอ:** เน้นรายละเอียดการทำลาเต้อาร์ต แสงและบรรยากาศในร้านกาแฟ
  * **เสียง:** ระบุเสียงประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านกาแฟ (แก้วชนกัน, เครื่องชงกาแฟ) และเพลงแจ๊สเบาๆ พร้อมเสียงผู้หญิงบรรยายสคริปต์สั้นๆ
-----
 **ตัวอย่างที่ 3: วิดีโอแนว Sci-Fi ลึกลับ**
```
Prompt:
Produce a futuristic, wide-angle shot of a sleek, chrome spaceship landing gracefully on a desolate, red-hued alien planet. Dust kicks up gently around its landing gear. The sky is filled with swirling nebulae and distant, glowing gas giants. The overall mood is mysterious and awe-inspiring.
Sound:
Eerie, atmospheric electronic music with deep bass undertones. Robotic whirring and a soft, rhythmic hum from the spaceship. A deep, synthesized male voice narrates: "Beyond the known, lies the unknown. Prepare for discovery."
```
**คำอธิบาย:**
  * **วิดีโอ:** กำหนดฉากยานอวกาศลงจอดบนดาวเคราะห์ต่างดาวที่มีบรรยากาศลึกลับ
  * **เสียง:** เน้นเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แนวไซไฟ เสียงยานอวกาศ และเสียงผู้ชายสังเคราะห์ที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้น
-----
 **ตัวอย่างที่ 4: วิดีโอสั้นสำหรับ Social Media (แนวตลกขบขัน)**
```
Prompt:
Create a short, humorous video of a grumpy-looking cat reluctantly wearing a tiny chef hat, swatting playfully at a rolling cucumber on a clean kitchen counter. The cat's expressions are key to the humor. Bright, well-lit kitchen setting.
Sound:
Playful, lighthearted, bouncy cartoon-style music. Exaggerated "boing" sound effects when the cucumber rolls and soft "purrs" and "meows" from the cat. A high-pitched, cheerful voiceover (male or female): "Even master chefs have their off days!"
```
**คำอธิบาย:**
  * **วิดีโอ:** เน้นความขบขันจากท่าทางของแมวและแตงกวา
  * **เสียง:** ใช้เพลงสไตล์การ์ตูน เสียงเอฟเฟกต์ตลกๆ และเสียงแมว พร้อมเสียงผู้บรรยายที่สดใสและตลก
-----
✅ **เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับ Prompt ของคุณ**
  * **ทดลองและปรับปรุง:** อย่ากลัวที่จะลอง Prompt ที่แตกต่างกันและปรับปรุงจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ
  * **ใช้คำที่หลากหลาย:** หากคุณไม่พอใจผลลัพธ์แรก ลองเปลี่ยนคำศัพท์หรือโครงสร้างประโยค
  * **คำนึงถึง "ความรู้สึก" (Feeling):** นอกจากภาพและเสียงแล้ว ให้ลองอธิบายความรู้สึกหรืออารมณ์ที่คุณต้องการให้ผู้ชมได้รับ
  * **จำกัดความยาว (ถ้าจำเป็น):** หากคุณต้องการวิดีโอสั้นๆ ให้ระบุใน Prompt ว่า "short clip" หรือ "10-second video"
หวังว่า Prompt และคำแนะนำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการสร้างวิดีโอที่ยอดเยี่ยมด้วย Google Veo 3 นะครับ\! หากคุณมีแนวคิดเฉพาะเจาะจงที่ต้องการให้ช่วยเขียน Prompt เพิ่มเติม โปรดบอกได้เลยครับ\!
 #AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง

15
แจก Prompt ไปฝึกทำให้เป็นเรื่องเป็นราว
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็อย่างที่เห็นครับ
✅Prompt : Create a realistic video. A beautiful 21-year-old Japanese woman with long gray hair smiles happily. She is slowly walking out of the hot spring bath. She raises both arms to cover her chest. Above her chest is a tattoo with the words "AILIFE". She slowly puts on a sarong. The background is a rice field, buffaloes are grazing, an old hut, and the wind blows.
เธอพูดเป็นภาษาไทย ว่า "ทำมะชาดจะเยี่ยวยาทุกอย่าง สนใจทำคลิป ติตตาม เอไอไลฟ์ไว้นะคะ บายบาย"
- Atmosphere in Nyuto Onsen in Akita Prefecture in the morning
- No subtitles or text in the video
- The mouth must move 100% in line with the script.
- Natural lighting

16
มาเจาะลึก **"วิธีทำ (How-To) Voice Clone"**
บน Minimax กันแบบละเอียดเป็นขั้นตอน
เพื่อให้คุณสามารถสร้างเสียงโคลนของคุณเองได้อย่างง่ายดายครับ
✅วิธีทำ (How-To) Voice Clone บน Minimax
ฟีเจอร์ Voice Clone ของ Minimax ช่วยให้คุณสามารถสร้างเสียงสังเคราะห์ที่เหมือนกับเสียงต้นฉบับที่คุณป้อนเข้าไปได้ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้ครับ
**ข้อควรรู้ก่อนเริ่ม:**
* **คุณภาพของไฟล์เสียง:** นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด! เสียงที่ถูกโคลนจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไฟล์เสียงต้นฉบับที่คุณอัปโหลด
* **ความยาวของไฟล์เสียง:** แนะนำให้ใช้ไฟล์เสียงที่มีความยาว **อย่างน้อย 10 วินาทีถึง 5 นาที** เพื่อให้ AI มีข้อมูลเพียงพอในการเรียนรู้ลักษณะเสียงของคุณได้อย่างละเอียด
* **รูปแบบไฟล์:** โดยทั่วไป Minimax รองรับไฟล์เสียงสกุล **MP3, M4A, หรือ WAV**
* **สภาพแวดล้อมการบันทึก:** ควรบันทึกเสียงในสถานที่ที่ **เงียบสงบที่สุด** เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนภายนอก (เช่น เสียงพัดลม, เสียงแอร์, เสียงคนคุยกัน) ซึ่งอาจทำให้ AI เรียนรู้เสียงผิดเพี้ยน
---
ขั้นตอนที่ 1️⃣เตรียมไฟล์เสียงต้นฉบับของคุณ**
1️⃣ **เลือกเนื้อหา:** เตรียมข้อความที่คุณจะพูดสำหรับไฟล์เสียงต้นฉบับ อาจจะเป็นการอ่านบทความ, เล่าเรื่องสั้นๆ, หรือพูดประโยคอะไรก็ได้ที่หลากหลายและเป็นธรรมชาติ
2️⃣ **บันทึกเสียง:** ใช้ไมโครโฟนที่มีคุณภาพดี (ไมค์ของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ก็ใช้ได้ดีครับ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบ) บันทึกเสียงของคุณเอง พูดเนื้อหาที่คุณเตรียมไว้
    * **เน้นความชัดเจน:** พูดให้ชัดเจน ออกเสียงให้ครบถ้วน
    * **หลากหลายโทน:** พยายามพูดด้วยโทนเสียงและอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติของคุณ อาจจะมีการขึ้นเสียง-ลงเสียง หรือหยุดพักตามปกติ
    * **ความยาวที่เหมาะสม:** ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์เสียงมีความยาวอย่างน้อย 10 วินาที และไม่ควรเกิน 5 นาที
    * **ลดเสียงรบกวน:** บันทึกในห้องที่เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปิดพัดลม แอร์ ทีวี หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดเสียงรบกวน
---
**ขั้นตอนที่ 2️⃣เข้าสู่แพลตฟอร์ม Minimax และส่วน Voice Clone**
1️⃣ **เข้าสู่เว็บไซต์ Minimax:** เปิดเว็บเบราว์เซอร์แล้วไปที่เว็บไซต์ของ Minimax (minimax.io/audio หรือแพลตฟอร์ม Minimax ที่คุณใช้งานอยู่)
2️⃣  **เข้าสู่ระบบ/สมัครสมาชิก:** หากยังไม่มีบัญชี ให้ทำการสมัครสมาชิกและเข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย
3️⃣  **ไปยังเมนู Voice Clone:** โดยปกติแล้ว คุณจะหาฟีเจอร์ Voice Clone ได้จากเมนูนำทางด้านข้าง หรือด้านบนของหน้าจอ อาจจะใช้ชื่อว่า "Voices," "Voice Cloning," "Clone Your Voice" หรือ "Create Voice Clone" (อ้างอิงตามข้อมูลล่าสุด มักจะอยู่ในแท็บ **"Voices"** ทางด้านซ้ายมือ)
---
**ขั้นตอนที่ 3️⃣ อัปโหลดและตั้งชื่อเสียงโคลนของคุณ**
1️⃣**คลิก "Create your Voice Clone":** บนหน้า Voice Clone คุณจะเห็นปุ่มหรือตัวเลือกสำหรับสร้างเสียงโคลนใหม่ ให้คลิกที่ปุ่มนั้น
2️⃣ **อัปโหลดไฟล์เสียง:** ระบบจะขึ้นหน้าจอให้อัปโหลดไฟล์เสียงต้นฉบับที่คุณเตรียมไว้
    * คลิกที่ปุ่ม "Upload" หรือ "Choose File" เพื่อเลือกไฟล์เสียงจากคอมพิวเตอร์ของคุณ
    * หรืออาจจะมีตัวเลือกให้ **"Record your voice directly"** ซึ่งคุณสามารถบันทึกเสียงสดๆ ผ่านไมโครโฟนของคอมพิวเตอร์ได้เลย (สะดวกหากต้องการทำแบบรวดเร็ว แต่คุณภาพอาจไม่เท่าการอัดแยก)
3️⃣ **รอการประมวลผล:** เมื่ออัปโหลดไฟล์แล้ว Minimax AI จะเริ่มวิเคราะห์และประมวลผลเสียงของคุณ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาสักครู่ (ประมาณไม่กี่วินาทีไปจนถึง 30 วินาที) ขึ้นอยู่กับความยาวและคุณภาพของไฟล์
4️⃣ **ตั้งชื่อเสียงโคลน:** เมื่อการประมวลผลเสร็จสิ้น ระบบจะให้คุณตั้งชื่อสำหรับเสียงโคลนนี้ (เช่น "เสียงของฉัน", "เสียงคุณป้าใจดี") เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ได้ง่ายในภายหลัง
5️⃣**ยืนยันสิทธิ์:** Minimax (และแพลตฟอร์ม AI อื่นๆ) มักจะมีการให้คุณยืนยันว่าคุณมีสิทธิ์และได้รับอนุญาตในการอัปโหลดไฟล์เสียงนี้เพื่อสร้างเนื้อหา AI โปรดอ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข (Terms of Service)
6️⃣  **กด "Convert" หรือ "ยืนยัน":** เมื่อตั้งชื่อและยืนยันสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ให้กดปุ่มเพื่อยืนยันการสร้างเสียงโคลน
---
**ขั้นตอนที่ 4️⃣นำเสียงโคลนไปใช้งาน (Text-to-Speech)**
เมื่อเสียงของคุณถูกโคลนเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถนำไปใช้สร้างเสียงพูดจากข้อความได้ทันที:
1️⃣  **ไปยังส่วน Text-to-Speech:** กลับไปที่เมนูหลัก แล้วเลือก "Text-to-Speech" หรือ "Generate Speech"
2️⃣ **ป้อนข้อความ:** พิมพ์หรือวางข้อความที่คุณต้องการให้ AI อ่านออกเสียง (ไม่ว่าจะ **ภาษาไทย** หรือภาษาอื่นๆ ที่รองรับ)
3️⃣  **เลือกเสียงที่โคลนไว้:** ในส่วนของการเลือกเสียง (Voice Selection) คุณจะเห็น "เสียงที่คุณโคลนไว้" ปรากฏเป็นตัวเลือกหนึ่ง ให้เลือกเสียงนั้น
4️⃣ **ปรับแต่งการพูด (ตามต้องการ):** คุณยังสามารถปรับแต่งคุณสมบัติอื่นๆ ได้ เช่น:
    * **ความเร็ว (Speed):** ปรับให้พูดเร็วขึ้นหรือช้าลง
    * **ระดับเสียง (Pitch):** ปรับให้เสียงสูงขึ้นหรือต่ำลง
    * **อารมณ์ (Emotion):** หาก Minimax มีฟังก์ชันนี้ คุณสามารถเลือกอารมณ์ที่ต้องการให้เสียงพูดสื่อออกมาได้ (เช่น Happy, Sad, Neutral)
5️⃣ **กด "Generate" หรือ "สร้าง":** AI จะประมวลผลข้อความของคุณและสร้างไฟล์เสียงโดยใช้เสียงที่คุณโคลนไว้
6️⃣  **ฟังตัวอย่างและดาวน์โหลด:** คุณสามารถฟังตัวอย่างเสียงที่สร้างขึ้นมาได้ หากพอใจแล้ว ก็กดดาวน์โหลดไฟล์เสียง (เช่น MP3, WAV) ไปใช้งานได้เลย!
---
✅ตัวอย่างการนำไปใช้งาน Voice Clone:**
* **พอดแคสต์ส่วนตัว:** อัดเสียงพูดของคุณสำหรับ intro/outro หรือบางช่วงของพอดแคสต์ จากนั้นโคลนเสียงตัวเองเพื่อสร้างเนื้อหาหลักได้รวดเร็วขึ้น
* **e-learning/Audiobook:** สร้างบทเรียนหรือหนังสือเสียงที่ใช้เสียงของคุณเอง
* **การตลาดเฉพาะบุคคล:** สร้างข้อความเสียงสำหรับลูกค้าแต่ละรายด้วยเสียงที่คุ้นเคย
* **ผู้ช่วยเสียงส่วนตัว:** หากคุณเป็นนักพัฒนา สามารถใช้เสียงโคลนเพื่อสร้างผู้ช่วย AI ที่มีเสียงเฉพาะตัวคุณ
Voice Clone เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและสนุกมากในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ครับ ขอให้สนุกกับการทดลองใช้งานนะครับ!
 #AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #chatgpt #canva #enjoylife #Aiเปิดค่าการมองเห็น #AI #มาแรง #minimax

17
ทำไมใช้ AI สร้างภาพกี่ทีก็ยัง “ไม่ตรงใจ”?
เปลี่ยนคำ เปลี่ยนสไตล์ กี่รอบภาพก็ยังไม่ใช่…
ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ AI
แต่อยู่ที่ “คำสั่ง” ที่เราส่งไป
หลายคนที่ลองใช้ AI สร้างภาพ
มักเจออาการคล้าย ๆ กัน…
ภาพไม่ตรงกับที่คิด
เปลี่ยนคำก็ยังไม่ดีขึ้น
บางทีต้องลอง 10 รอบกว่าจะใช้ได้ 1 ภาพ
ซึ่งเรื่องนี้มีคำตอบชัด ๆ อยู่ตรงนี้
เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้ AI “หลงทาง”
ก็คือ การเขียน Prompt ที่ยังไม่ชัดเจนพอ

วันนี้เลยอยากชวนทุกคน
ลองใช้สูตร 4 ส่วนง่าย ๆ
ที่จะช่วยให้ AI เข้าใจสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น

✅ 1. วัตถุหลักคืออะไร?
สิ่งแรกที่ต้องบอกให้ชัด คือภาพต้องมีอะไร
เช่น
“สาวญี่ปุ่นนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นซากุระ”
“ลูกหมา 3 ตัวนอนกลางสนามหญ้า”

✅ 2. ใส่รายละเอียดที่สำคัญ
อย่าปล่อยให้ AI เดา
ลองเติมสิ่งที่เห็นภาพได้ทันที เช่น
“ชุดกิโมโนลายดอกซากุระ สีแดงสด”
“พันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ขนสีน้ำตาลอ่อน”

✅ 3. สไตล์ภาพแบบไหน?
เพื่อให้ AI ไปในทิศทางที่ถูก
เราควรบอกว่าอยากได้
“ภาพวาดสีน้ำ”
“การ์ตูนอนิเมะ”
“ภาพถ่ายเสมือนจริง (Realistic Photo)”

✅ 4. บรรยากาศหรืออารมณ์
อยากให้คนดูภาพรู้สึกยังไง?
ให้ใส่อารมณ์เข้าไปใน Prompt ด้วย เช่น
“โทนอบอุ่น สดใส สงบ”
“บรรยากาศฟ้าครึ้ม ฝนกำลังตกเบา ๆ”

 ยกตัวอย่าง Prompt ที่เวิร์กขึ้น
“สาวญี่ปุ่นนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นซากุระ สวมกิโมโนลายดอกซากุระสีแดงสด ฉากกลางคืนมีไฟนีออน โทนอบอุ่น สไตล์ภาพวาดสีน้ำ”

 อีกทริคที่มืออาชีพใช้บ่อย:
เพิ่มคำว่า --no text, no logo
เพื่อให้ AI ตัดสิ่งที่เรา ไม่ต้องการ ออกไป
จะช่วยให้ภาพดู “สะอาด” และ “เนียน” ขึ้นมาก

 หรือจะลอง
หาภาพ Reference จาก Pinterest หรือ Google
แล้วเอาสี องค์ประกอบ หรือมู้ดมาใส่ใน Prompt
ก็ช่วยให้เข้าเป้ามากขึ้นอีกขั้น

บางครั้ง Prompt ที่ดี
อาจต้องลองผิดลองถูกอยู่บ้าง
แต่ถ้าเขียนครบทั้ง 4 ส่วน
และรู้จักใช้ทริคเสริม
โอกาสที่ “สร้างรอบเดียว แล้วจบงานได้เลย”
ก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

 เพราะเวลาเราเขียน Prompt ได้แม่น
เราจะไม่ต้องเสียเวลาสร้างภาพซ้ำ ๆ
…แต่จะได้ภาพที่ “ใกล้จินตนาการ”
ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที

#นึกถึงaiนึกถึงailife #Aiเปิดค่าการมองเห็น #sunoai #chatgpt #ของฟรีมีอยู่จริง #มาแรง #AILIFE #Gemini #enjoylife #AI

18
AI / Re: SUNO คืออะไร?
« เมื่อ: 07/07/25 »
Suno แต่งเพลงไปทำไม?
 "ทำเพลงกับ AI แล้วจะได้เงินจากตรงไหน?"
หลายคนสงสัย… ทำไมช่วงนี้คนแห่แต่งเพลงกับ AI เยอะจัง?
โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Suno ซึ่งตอนนี้กำลังมาแรงสุดๆ
.
แต่คำถามที่ตามมาคือ
> "แค่แต่งเพลง… แล้วได้เงินจากตรงไหน?"
> "จะทำให้ปังได้ยังไง ถ้าเราไม่ได้เป็นนักร้อง?"
วันนี้ **AILIFE** จะพาคุณไปรู้จัก
**“4 ช่องทางหารายได้ จากเพลงที่สร้างด้วย Suno”**
ที่คุณเริ่มได้ทันทีแบบไม่ต้องออกกล้อง ไม่ต้องมีค่าย ไม่ต้องลงทุน!
---
 ก่อนอื่น: Suno คืออะไร?
**Suno ([https://suno.com](https://suno.com))**
คือ AI ที่ช่วยให้คุณแต่งเพลงได้ **ครบทั้งเนื้อร้อง + ทำนอง + ร้อง + ดนตรี**
✅ แค่ใส่คำบรรยาย หรือเนื้อเพลงคร่าวๆ
✅ AI จะสร้างเป็นเพลงเต็มให้ในไม่กี่นาที
✅ มีหลายแนว เช่น Pop, Rock, Lofi, EDM, เพลงเด็ก ฯลฯ
.
ไม่ต้องร้องเอง เล่นดนตรีไม่เป็นก็ทำได้
---
 แล้วเพลงจาก Suno สร้างรายได้อย่างไร?
1️⃣ **สร้างช่อง YouTube เพลงของคุณเอง (แนวใดก็ได้)**
* ลงเพลงที่ได้จาก Suno เป็น MV, Audio หรือ Lyrics Video
* ใช้ภาพประกอบจาก AI เช่น Pika Labs, Runway หรือ Canva
* เปิดสร้างรายได้ (เมื่อถึงเกณฑ์ 1,000 sub + 4,000 watch hours)
   ยิ่งเพลงปัง → ยิ่งดูซ้ำ → ยิ่งรายได้ต่อเดือนเพิ่ม
> **ตัวอย่าง**: ช่องรวมเพลง Lofi AI, เพลงกล่อมเด็ก AI, เพลงบำบัด ฯลฯ
> **รายได้**: CPM 1–5 USD แล้วแต่ประเทศผู้ฟัง
---
 2️⃣ **ลง TikTok/Facebook Reels เพื่อให้ไวรัล แล้วแปะ Link เพลง**
* ตัดเพลงจาก Suno เป็นคลิปสั้น (ใช้ CapCut/Canva ก็ได้)
* ใส่เนื้อร้อง, mood & tone ให้น่าสนใจ
* แปะลิงก์ YouTube / Spotify / Ko-fi / Affiliate ใต้โพสต์
>  จุดแข็ง: เพลงที่แปลกใหม่ มี Hook เจ๋งๆ → มีโอกาสขึ้นไวรัลสูง
> ✅ แนบ QR หรือ Bio link ให้คนฟังไปสนับสนุนหรือโหลดเพลงได้
---
 3️⃣ **ขายเพลงบนแพลตฟอร์ม Digital Music (เช่น Spotify, Apple Music)**
* ดาวน์โหลดไฟล์จาก Suno
* ใช้บริการอย่าง **DistroKid, Tunecore, Amuse** เพื่อแจกจ่ายเพลง
* ได้ส่วนแบ่งจากการฟัง / ดาวน์โหลด
> **เกณฑ์รายได้**: ประมาณ \$3–5 ต่อ 1,000 ฟัง
> ทำเยอะไว้หลายเพลงก็เป็น passive income ได้เลย
---
 4️⃣ **ใช้เพลง AI เป็นสินทรัพย์ขายใน Marketplace (NFT หรือ License)**
* หากคุณแต่งเพลงแนวเฉพาะ เช่น เพลงเกม, เพลงหนัง, เพลง podcast
* สามารถนำไปลงขายในเว็บเช่น AudioJungle, Pond5, BeatStars
* หรือทำ NFT เพลงขายแบบมีสิทธิ์ใช้งาน (Licensing)
>  เพลงที่ใช้เฉพาะในเกม, สารคดี, motion graphic ยังขาดแคลนมาก
> หากคุณวางแนวให้ชัด → มีคนซื้อใช้แน่นอน
---
  แล้วเรื่องลิขสิทธิ์ล่ะ? ใช้ Suno ได้ไหม?
✅ **Suno เวอร์ชัน PRO (เสียเงินรายเดือน)** → คุณได้สิทธิ์ครอบครอง 100%
✅ เวอร์ชันฟรี → ใช้ส่วนตัวได้ แต่มีข้อจำกัดในการค้า (ควรอัปเกรดหากจะสร้างรายได้)
 อ่าน TOS ที่ [https://suno.com/terms](https://suno.com/terms) ก่อนใช้เพื่อความมั่นใจ
---
  เคล็ดลับจาก AILIFE:
* สร้างเพลง AI แบบมี “ธีมชัดเจน” เช่น เพลงแมว, เพลงอาหาร, เพลงความรัก
* เน้นสั้นๆ ติดหู 30 วินาที เพื่อใช้ลง Shorts ได้
* ใช้ ChatGPT ช่วยแต่งเนื้อเพลง + Pika/Runway สร้างภาพประกอบ
---
#AILIFE #AIสร้างรายได้ #SunoAI #ทำเพลงไม่ต้องร้องเอง

19
AI / SUNO คืออะไร?
« เมื่อ: 07/07/25 »
SUNO คืออะไร?
Suno AI ([https://suno.com](https://suno.com))
คือเครื่องมือ AI ที่สามารถแต่งเพลงให้คุณได้แบบครบชุดในไม่กี่นาที
 ทั้งเนื้อร้อง / ทำนอง / ร้องเพลง / ดนตรี ครบจบในคลิกเดียว
เหมาะมากสำหรับ…
* คนที่อยากทำเพลงแต่ร้องไม่เป็น
* ครีเอเตอร์ที่อยากลงคลิป YouTube Shorts, TikTok
* คนที่อยากสร้างรายได้จาก Spotify, Apple Music หรือแม้แต่ NFT
---
 ✅ จุดเด่นของ SUNO
* ใช้งาน **ฟรีวันละ 10 เพลง** (สมัครก็ได้เครดิตเลย)
* มี **แนวเพลงให้เลือกหลายแบบ** เช่น Pop, Lofi, EDM, Rock
* เลือกได้ทั้ง “เนื้อร้องภาษาไทย” หรือให้ AI เขียนเนื้อให้เลยก็ได้
* ดาวน์โหลดเพลงได้ในรูปแบบ .mp3 พร้อมปก
---
 ขั้นตอนใช้งาน SUNO เบื้องต้น (ฉบับง่าย)
1. สมัครใช้งานฟรีที่ [suno.com](https://suno.com)
 แนะนำสมัครด้วยบัญชี Gmail หรือ Discord
 2. ไปที่หน้า “Create”
* พิมพ์เนื้อเพลง หรือคำอธิบายแนวเพลงที่อยากได้ (Prompt)
  เช่น
  > "เพลงรักหวานๆ แนว Lofi พูดถึงแมวที่อยู่ไกลแต่คิดถึงทุกวัน"
* เลือก “Custom Mode” หรือ “Fast Mode” แล้วแต่ความเร็วและคุณภาพที่ต้องการ
 3. รอไม่กี่นาที เพลงจะถูก Generate มาให้ 2 เวอร์ชัน
* ฟังตัวอย่างได้ทันที
* ถ้าชอบ → กด “Download”
* ถ้าไม่ชอบ → กด “Regenerate” เพื่อให้ AI สร้างใหม่
---
  เคล็ดลับ: ถ้าอยากได้เพลงดี + สร้างรายได้ได้จริง
1. ใช้ **Prompt ชัดเจน** เช่น
   “เพลงกล่อมเด็ก ใช้เสียงร้องผู้หญิง แนวดนตรีเบาๆ มีเสียงน้ำหยดประกอบ”
2. ถ้าใช้ SUNO แบบ Pro → จะได้ลิขสิทธิ์เต็ม 100%
   สามารถเอาเพลงไปทำเงินได้ทุกช่องทาง (แนะนำสำหรับคนจะทำจริงจัง)
3. เอาเพลงไป:
   * ลง **YouTube Shorts** หรือทำ MV ง่ายๆ ด้วย Canva
   * ลง **Spotify, Apple Music** ผ่าน DistroKid / Amuse
   * ทำคลิปเพลงเด็ก, เพลงกล่อม, เพลงไวรัลแบบเสียงร้อง AI ลง TikTok
   * ใช้ในวิดีโอประกอบสินค้า / คลิปขายของ ฯลฯ
---
  SUNO สร้างรายได้ได้อย่างไร?
| ช่องทาง         | รายได้จาก          | หมายเหตุ                             |
| --------------- | ------------------ | ------------------------------------ |
| YouTube         | ค่าโฆษณา (AdSense) | ทำช่องเพลง AI เช่น เพลงเด็ก, Lofi    |
| TikTok / Reels  | ยอดวิว + affiliate | แปะลิงก์สินค้า, เพลง, NFT            |
| Spotify / Apple | ค่าฟังต่อเพลง      | ผ่านตัวแทนจำหน่ายเพลง เช่น DistroKid |
| Marketplace     | ขาย license เพลง   | เหมาะสำหรับเพลงธีมเฉพาะ เช่น BGM     |
---
 พร้อมจะเปลี่ยน “เสียงเพลง” ให้กลายเป็น “เงิน” แล้วหรือยัง?
\#AILIFE #SunoAI #ทำเพลงด้วยAI #หาเงินจากเพลง #AIStarterPack


ของจริงไม่ต้องพูดเยอะ
เนื้อหาขั้นตอนการทำ
1️⃣ สร้างภาพและข้อความจาก ChatGPT
2️⃣ สร้างเสียงจาก Google Ai Studio
3️⃣ สร้างลิปซิงค์ด้วย https://app.dupdub.com/login?status=signUp...
4️⃣ใส่ข้อความที่ Canva


20
สำหรับคนที่อยากเริ่มทำ **ช่อง YouTube แบบ Faceless + เสียง AI**
ไม่ต้องออกกล้อง ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีทีม
ไม่รู้จะเริ่มจากตรงใหน
  วิธีเริ่มช่อง Faceless ด้วย AI (Step-by-Step ฉบับ AILIFE)
  เหมาะกับใคร?
* คนที่อยากเริ่มทำ YouTube แต่ไม่อยากออกกล้อง
* ไม่มีทีม ไม่มีทุน แต่อยากเริ่มต้นตอนนี้เลย
* ถนัดเขียน คิดคอนเทนต์ หรือชอบค้นหาข้อมูล
---
 ✅ ขั้นตอนที่ 1: เลือก “แนวช่อง” ที่คุณชอบ
แนว Faceless ที่ทำได้ดี:
*  สรุปหนัง / ซีรีส์
*  จิตวิทยา / พัฒนาตัวเอง
*  คดีดัง / ปริศนา / เรื่องเล่า
*  ความรู้รอบตัว / ประวัติศาสตร์ / ปรัชญา
*  3 นาทีเข้าใจโลก
**Tip:** เลือกแนวที่เราสนใจจริง จะทำต่อเนื่องได้ง่ายกว่า
---
 ขั้นตอนที่ 2: ให้ AI ช่วยเขียนสคริปต์วิดีโอ
ใช้ ChatGPT, Claude หรือ Gemini โดยพิมพ์แบบนี้:
> “ช่วยเขียนสคริปต์ YouTube ความยาว 2 นาที เรื่อง 3 เทคนิคสร้างนิสัยคนสำเร็จ”
**เคล็ดลับ:** เขียนให้เหมือน “เล่าให้เพื่อนฟัง” สั้น กระชับ เข้าใจง่าย
---
  ขั้นตอนที่ 3: แปลงสคริปต์เป็นเสียงพูด (Text-to-Speech)
AI เสียงคุณภาพสูง:
* [ElevenLabs.io](https://elevenlabs.io) (เสียงสมจริงมาก)
* [Narakeet.com](https://www.narakeet.com)
* [Google AI Studio / Cloud TTS](https://aistudio.google.com/) (ใช้งานฟรีเบื้องต้น)
**เลือกเสียงที่น่าเชื่อถือ + ฟังสบาย**
มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้เลือกเยอะมาก!
---
  ขั้นตอนที่ 4: สร้างวิดีโอแบบไม่ต้องถ่ายเอง
**แนวทาง:**
* ใช้คลิปฟรีจาก [Pexels](https://www.pexels.com), [Pixabay](https://pixabay.com)
* สร้างภาพสไลด์ + ใส่ข้อความใน Canva
* หรือใช้ AI Video Generator เช่น [Pictory](https://pictory.ai), InVideo
ขอแค่มี **ภาพเคลื่อนไหวสลับกับเสียง** ก็พอ
ไม่ต้องสวยมาก แต่อย่าให้ “น่าเบื่อ”
---
  ขั้นตอนที่ 5: ตัดต่อแบบมือใหม่ก็ทำได้
**แอปแนะนำ:**
* [CapCut](https://www.capcut.com) (ฟรี + มีเทมเพลต Faceless สำเร็จรูป)
* [VN Video Editor](https://www.vlognow.me)
* หรือ Canva ก็ทำวิดีโอได้ง่ายแบบลากวาง
---
 ⬆️ ขั้นตอนที่ 6: อัปโหลดลง YouTube
**อย่าลืม!**
* ตั้งชื่อให้น่าสนใจ เช่น
  > “3 สิ่งที่คนฉลาดทำทุกวัน”
  > “ถ้าขงเบ้งอยู่ยุคนี้…เขาจะสอนอะไรเรา?”
* ใส่คำอธิบายดี ๆ + Hashtag
* ทำปกคลิป (Thumbnail) ให้น่าคลิกด้วย Canva
---
  ขั้นตอนที่ 7: เปิดสร้างรายได้ YouTube Partner Program
**เงื่อนไข:**
* ผู้ติดตามครบ 1,000 คน
* เวลารวมผู้ชม 4,000 ชม. ใน 12 เดือน
  **หรือ**
* Shorts ยอดวิวรวม 10 ล้านวิว ภายใน 90 วัน
**เริ่มรับเงินจาก AdSense ได้ทันที!**
---
  เคล็ดลับความสำเร็จ
* โพสต์สม่ำเสมอ (2–3 คลิป / สัปดาห์)
* ปั้น Shorts ควบคู่ (โตเร็วกว่า)
* อ่านคอมเมนต์ – ปรับเนื้อหาตามเสียงคนดู
* โฟกัสที่คุณภาพใน 30 วินาทีแรกของคลิป
* **อย่าเพิ่งคิดถึงเงินในเดือนแรก**
  ให้คิดถึง “จังหวะการทำคลิปให้รอด” ก่อน
\#AILIFE #YouTubeFaceless #ทำช่องด้วยAI #ไม่ต้องออกกล้องก็ทำได้ #YouTubeAI

21
“5 ปีข้างหน้า ไม่มีบริษัทไหนไม่ใช้ AI”
แล้ววันนี้...คุณยังจะรออะไรอยู่?
---
  โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนไปแบบไม่หันหลังกลับ
AI ไม่ใช่ของเล่นอีกต่อไป — มันกลายเป็น **เครื่องมือทำงานจริง**
ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และขยายศักยภาพได้มากกว่าที่มนุษย์ทำคนเดียว
> ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่
> แต่ **คนธรรมดา** ก็ใช้ได้
> แถมฟรีด้วยซ้ำ!
---
  อย่ารอให้บริษัทมี AI...
**ให้คุณมี "เลขาส่วนตัว" ก่อนใคร**
วันนี้คุณสามารถมี "เลขา AI" ที่ทำงานให้คุณได้ 24 ชั่วโมง
โดยไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องพัก ไม่ต้องบ่น
ตัวอย่างงานที่ AI ทำแทนได้วันนี้เลย:
*  สรุปอีเมล – ChatGPT
*  เขียนรายงาน / สร้าง Presentation – Microsoft Copilot
*  วิเคราะห์ข้อมูล – Gemini หรือ Excel + AI
*  ตัดต่อวิดีโอ – CapCut / Runway
*  สร้างภาพ – Ideogram / Canva / DALL·E
*  แปลงข้อความเป็นเสียง – Google AI Studio / ElevenLabs
---
 มี AI เท่ากับมี “ทีมงานล่องหน” ข้างตัว
ลองคิดภาพตามนี้:
> คนอื่นมีเวลา 24 ชม.เท่ากัน
> แต่คุณมีทีม AI ทำงานพร้อมกัน 4-5 งานในเวลาเดียวกัน
คุณจะ:
✅ ทำงานเสร็จก่อน
✅ เหนื่อยน้อยกว่า
✅ และมีเวลาไปโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริง ๆ
---
  สรุปให้: เริ่มใช้ AI วันนี้ เหมือนมีหัวหน้าให้โบนัสล่วงหน้า
“เลขา AI” ไม่ใช่เรื่องอนาคตอีกต่อไป
มันคือ **ปัจจุบัน** ที่ใครใช้ก่อน ก็วิ่งนำหน้าทุกวัน
--
 ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
พิมพ์เลยว่า **“ขอคู่มือใช้เลขา AI”**
แล้ว AILIFE จะจัดให้ครบ ทั้งมือใหม่และมือโปร! ในโพสต์ถัดไป
\#AILIFE #AIเลขาส่วนตัว #ทำงานด้วยAI #ไม่ต้องรออนาคต #ใช้AIวันนี้นำหน้าทุกวัน

22
นี่คือ คู่มือใช้ “เลขา AI” สำหรับทุกสายงาน — ฉบับ AILIFE
เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง ตั้งแต่วันแรก
 คู่มือใช้ “เลขา AI”
ให้คุณมีผู้ช่วยส่วนตัวแบบไม่ต้องจ้าง
ไม่ต้องมีพื้นฐาน
ไม่ต้องเสียเงิน (เริ่มฟรีได้ทันที)
แต่ได้งานไวกว่าเดิมหลายเท่า
 บทที่ 1: เลือกเลขาให้เหมาะกับงาน
| งานที่ต้องทำ          | เลขา AI ที่แนะนำ                   | ใช้งานฟรียังไง           |
| --------------------- | ---------------------------------- | ------------------------ |
| เขียน/สรุป/แปลภาษา    | **ChatGPT**, Claude, Gemini        | ใช้ผ่านเว็บฟรี           |
| วิเคราะห์ข้อมูล Excel | **Microsoft Copilot**, Gemini      | บน Excel + Google Sheets |
| ทำสไลด์นำเสนอ         | **Gamma App**, Canva               | มีแผนฟรีใช้งานง่าย       |
| สร้างภาพ/อินโฟกราฟิก  | **Canva AI**, Ideogram, Freepik AI | ใช้งานฟรีต่อวัน          |
| ตัดต่อวิดีโอแบบง่ายๆ  | **CapCut**, Runway ML              | เว็บ+แอปฟรี              |
| แปลงข้อความเป็นเสียง  | **Google AI Studio**, ElevenLabs   | ใส่ข้อความ กดพูดเลย      |
| ช่วยตอบแชท/เขียนโพสต์ | **GPTs AI Social Writer**          | ใช้บน ChatGPT หรือ Poe   |
 บทที่ 2: วิธีใช้งานเลขา AI เบื้องต้น
✅ ตัวอย่างคำสั่งที่คุณพูดกับเลขา AI ได้ทันที:
 “ช่วยเขียนโพสต์ Facebook แนะนำสินค้าใหม่ให้หน่อย”
เลขาจะเขียนโพสต์ขายให้ พร้อมคำโดนใจและอีโมจิ
 “ช่วยสรุปรายงานประชุมเป็น bullet 5 ข้อ”
เอาข้อมูลดิบแปะให้เลย มันสรุปให้ภายในวินาที
 “ช่วยวางโครงสคริปต์ YouTube ความยาว 2 นาที”
บอกหัวข้อ เช่น “เทคนิคสร้างรายได้จาก AI” แล้วมันเขียนบทให้ทันที
 “ช่วยแปลงสคริปต์นี้เป็นเสียงพากย์หญิงไทย”
ใช้ Google AI Studio → วางข้อความ → เลือกเสียง → ได้ไฟล์เสียงเลย
 บทที่ 3: เคล็ดลับใช้ “เลขา AI” ให้เก่งขึ้น
✅ 1. เจาะจง ให้มากที่สุด เช่น:
 เขียนโพสต์โปรโมตสินค้า
✅ เขียนโพสต์ Facebook โปรโมตเสื้อยืดลายแมว สำหรับกลุ่มวัยรุ่น ให้ดูน่ารัก มีอีโมจิและแฮชแท็ก
✅ 2. ขอให้ช่วยคิดไอเดีย ได้เสมอ
เช่น “ขอ 10 ไอเดียทำคอนเทนต์ IG สำหรับร้านกาแฟ”
✅ 3. ใส่เอกลักษณ์ของเรา ลงไป
บอก AI ได้ว่า “เขียนแบบใช้ภาษาคนกันเอง” หรือ “แนวมืออาชีพ” ก็ได้
 แถม: รวมเว็บฟรีที่ใช้ได้ทันที
เครื่องมือ ลิงก์เข้าใช้งาน
ChatGPT (ฟรี) https://chat.openai.com/
Google AI Studio https://aistudio.google.com/
CapCut AI Tools https://www.capcut.com/tools
Canva Magic https://www.canva.com/magic/
Ideogram AI https://ideogram.ai
Freepik AI https://ai.freepik.com
ElevenLabs https://www.elevenlabs.io/
Runway https://app.runwayml.com/
 บทส่งท้าย: อย่ารอให้บริษัทใช้ก่อน
วันนี้คุณเริ่มใช้ AI เป็น “เลขาส่วนตัว” ได้เลย
ขอแค่เปิดใจ + ลองใช้งานวันละนิด
อีกไม่นาน คุณจะรู้สึกเหมือนมี “ทีมล่องหน” ทำงานแทนทั้งวัน
 #AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง

23
“สเปคคอมสำหรับใช้งาน AI – ปี 2025 ใช้อะไรดี?”
ถ้าคุณเริ่มสนใจงานสาย AI เช่น สร้างภาพ AI, ตัดต่อวิดีโอ, สร้างเสียง หรือฝึกโมเดล LLM แบบ local — สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ “สเปคเครื่องที่เหมาะสม” เพราะมันส่งผลกับความเร็ว งานเสร็จไว และความลื่นไหลแบบไม่ค้าง

 ต้องดูอะไรบ้างก่อนเลือก?
 1. การ์ดจอ (GPU) – สำคัญที่สุดสำหรับ AI Image/Video
 2. แรม (RAM) – AI สมัยนี้กินแรมหนักมาก
 3. ซีพียู (CPU) – ถ้ารัน LLM หรือสั่งงานหลายอย่างพร้อมกัน
 4. พื้นที่เก็บข้อมูล (SSD) – เพราะไฟล์ AI ใหญ่มาก
 5. จอภาพ – เฉพาะสายทำงานภาพ ต้องดูสีแม่น

✅ แนะนำสเปคขั้นต่ำ – สำหรับผู้เริ่มต้นใช้ AI อย่างจริงจัง
องค์ประกอบ แนะนำขั้นต่ำ หมายเหตุ
GPU RTX 3060 / 4060 หรือสูงกว่า ยิ่งสูง ประมวลผลไวขึ้น โดยเฉพาะสายสร้างภาพ AI
CPU Intel i5 Gen 12+ หรือ Ryzen 5 5600+ รองรับ multi-thread ดี
RAM 32 GB AI บางตัวใช้แรม 16–30 GB/Task
SSD 1 TB (NVMe SSD) เร็ว + เพียงพอสำหรับงาน AI/VDO
จอภาพ IPS Full HD หรือ 2K สีตรง เฉพาะสายกราฟิก-วิดีโอเท่านั้น

 ถ้าอยาก “ฝึกโมเดลเอง” หรือใช้ LLM Local (เช่น Ollama, LM Studio)
คุณต้องการมากกว่าสเปคปกติ:
สำหรับใช้ LLM แบบ Local เช่น GPT4All, Mistral
GPU: 24GB VRAM ขึ้นไป (เช่น RTX 3090, 4090)
RAM: 64 GB
SSD: 2TB ขึ้นไป

 ถ้าไม่อยากลงทุนสูง?
 • ✅ ใช้ AI ผ่านเว็บ เช่น Canva, CapCut, Google AI Studio — ใช้ได้บนโน้ตบุ๊กธรรมดา
 • ✅ ใช้ Cloud AI เช่น Runway, Suno, HeyGen, Gemini — แค่มีเน็ตดี + RAM 16 GB ก็พอ
 • ✅ ใช้ MacBook M1/M2 ก็เพียงพอสำหรับสร้างงานทั่วไป (เสียง, ภาพ, วิดีโอสั้น)

 สรุป
 • ถ้าเน้น ใช้งาน AI ทั่วไป → RAM 32GB + GPU RTX 3060 = เหลือเฟือ
 • ถ้าทำ ภาพ/วิดีโอระดับโปร → RTX 4070+ / SSD เยอะ
 • ถ้ารัน AI Local / ฝึกโมเดลเอง → อย่าต่ำกว่า RTX 3090 และ RAM 64GB
 • ถ้าไม่อยากซื้อเครื่องแรงๆ → ใช้ AI Cloud แทนได้แบบมือโปร

 AILIFE Tips:
อย่าเพิ่งรีบซื้อคอมใหม่ ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่า AI ที่จะใช้ “กินสเปคขนาดไหน”
ลองใช้เวอร์ชันออนไลน์ไปก่อน แล้วค่อยอัปเกรดเฉพาะที่จำเป็น

ถ้าต้องการ:
✅ ตารางเปรียบเทียบสเปค
✅ เช็กราคาอัปเดต
✅ หรือไกด์จัดสเปคแบบประหยัด
พิมพ์ว่า “จัดสเปค AI” แล้วเราจะส่งให้เลยครับ

24
ทุนยังไม่ถึง Veo3
ก็ใช้ Veo2 ไปก่อน  ✅
เนื้อหาขั้นตอนการสร้าง 1️⃣ สร้าง prompt ด้วย ChatGPT 2️⃣ นำ Prompt ไปสร้าง Veo2 ด้วย Google ai studio 3️⃣ สร้างเสียงด้วย Aistudio 4️⃣รวมร่างด้วย Canva  #นึกถึงaiนึกถึงailife  #Aiเปิดค่าการมองเห็น  #sunoai  #chatgpt  #ของฟรีมีอยู่จริง  #มาแรง  #AILIFE  #Gemini  #enjoylife ดูน้อยลง

25
 10 ไอเดียสร้างรายได้ ด้วย ChatGPT + Canva
> **หลายล้านคนรู้จัก ChatGPT และ Canva...**
> แต่มีแค่ไม่กี่คน ที่ใช้มันสร้างเงินได้ทุกวัน
---
1️⃣ ทำโพสต์สรุปความรู้ลงเพจ
* ใช้ ChatGPT สรุปเรื่องยากให้เข้าใจง่าย
* ใช้ Canva ทำอินโฟกราฟิกหรือโพสต์สวย ๆ
*  เหมาะกับเพจแนวสาระ / ความรู้ทั่วไป / จิตวิทยา
2️⃣ รับทำ Presentation / Resume / Portfolio
* ChatGPT ช่วยเขียนเนื้อหา / สรุปจุดเด่น
* Canva ใช้ทำเทมเพลตสวย ๆ ส่งลูกค้า
*  เหมาะกับฟรีแลนซ์สายออกแบบ / ผู้เริ่มต้น
3️⃣ สร้างสินค้าดิจิทัลขายบน Etsy / Gumroad
* ใช้ ChatGPT คิดไอเดีย + เขียนเนื้อหา
* ใช้ Canva ทำไฟล์ PDF, Planner, Template
*  รายได้แบบ Passive ถ้าทำครั้งเดียว ขายได้เรื่อย ๆ
4️⃣ ทำสื่อการสอน/แผ่นสรุป/ชีทเรียน
* ChatGPT ช่วยสรุปเนื้อหายาก ๆ ให้กระชับ
* Canva ช่วยจัดหน้าสวยงาม พร้อมภาพประกอบ
*  ครู/ติวเตอร์ ใช้ได้เลย หรือขายออนไลน์
 5️⃣ รับออกแบบคอนเทนต์โพสต์บริษัท
* ChatGPT สร้าง caption, บทความ หรือ idea
* Canva ช่วยทำคอนเทนต์ให้ดูมืออาชีพ
*  รับจ้างรายเดือนหรือรายโปรเจกต์ก็ได้
 6️⃣ ทำวิดีโอสรุปด้วยสไลด์ (YouTube Shorts / Reels)
* ChatGPT เขียนบท
* Canva ทำสไลด์ใส่เสียงประกอบ
*  ตัดต่อด้วย CapCut ได้เลย ไม่ต้องถ่ายเอง
7️⃣ ทำ Infographic หรือ E-book ขาย
* ChatGPT สร้างโครงเนื้อหา
* Canva ช่วยออกแบบสวยงาม
*  เหมาะกับการขายเป็นสินค้าดิจิทัล
8️⃣ ทำโพสต์แนวแรงบันดาลใจ / คำคม / จิตวิทยา
* ใช้ ChatGPT สร้างคำคม, ประโยคกระแทกใจ
* ใช้ Canva ทำโพสต์แนวมินิมอลหรือเท่ ๆ
*  ลง TikTok / IG / Facebook ได้หมด
9️⃣ ทำ Branding + Mood Board สำหรับลูกค้า
* ChatGPT ช่วยคิดชื่อแบรนด์, slogan, tone
* Canva ช่วยสร้าง mood board และ mockup
*  เหมาะกับสายออกแบบ / นักสร้างแบรนด์

สร้าง AI Template ขายต่อ
* ChatGPT + Canva ช่วยสร้าง Template เช่น:
  * Resume Template
  * Instagram Post Template
  * Planner Template
*  ขายผ่าน Canva Creators, Gumroad หรือ Etsy
---
  เคล็ดลับ:
* โฟกัส “สิ่งที่คุณถนัด” แล้วใช้ AI มาช่วยเร่งกระบวนการ
* อย่ารอให้รู้ทุกอย่างก่อนลงมือ → ลงมือก่อน แล้วพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
---
 **AI ไม่ได้มาแย่งงานคนเก่ง**
แต่มาช่วยให้ “คนธรรมดา” ทำงานได้ระดับโปร
สนับสนุนโดยเพจ **AILIFE**
เพจที่สอนคุณใช้ AI เพื่อหาเงินแบบง่ายที่สุดในโลก
\#AILIFE #AIหาเงิน #ChatGPT #Canva #PassiveIncome #FreelanceAI
---
 ถ้าต้องการ **เทมเพลต Canva + Prompt + ไฟล์ตัวอย่าง**
สามารถพิมพ์ว่า “ขอ Starter Pack ข้อนี้” มาได้เลยครับ!
 

26
สร้าง “ภาพสวยสมจริง” ด้วย Imagen 4 จาก Google AI Studio
*ใช้งานฟรี + ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ*
---
  Imagen 4 คืออะไร?
**Imagen 4** คือโมเดล AI สร้างภาพ (Text-to-Image) ตัวล่าสุดจาก Google
มีจุดเด่นคือ:
* ภาพคมชัดสมจริงในระดับ 4K
* สไตล์หลากหลาย ทั้งถ่ายภาพ, วาด, ภาพวินเทจ, โมเดิร์น ฯลฯ
* ใช้ภาษาไทยได้ และเข้าใจคำอธิบายซับซ้อนได้ดีมาก
---
 ✅ วิธีใช้งานฟรี บน Google AI Studio
1. เข้าไปที่เว็บ: [https://aistudio.google.com/app](https://aistudio.google.com/app)
2. สมัครด้วย Google Account ที่มี Gmail
3. เลือกแท็บ **“Image”** จากเมนูด้านซ้าย
4. ในช่อง Prompt → พิมพ์สิ่งที่อยากให้สร้าง (รองรับทั้งภาษาไทยและอังกฤษ)
   ตัวอย่าง:
   > “ห้องนั่งเล่นสไตล์มินิมอล มีแสงแดดลอดผ่านม่าน ผนังสีขาว เฟอร์นิเจอร์ไม้”
5. เลือก **Imagen 4** ในเมนูโมเดล (อยู่มุมขวา)
6. กดปุ่ม “Run” → รอไม่กี่วินาที ภาพก็จะปรากฏขึ้นมาให้เลือก!
---
  เคล็ดลับการเขียน Prompt
* ใช้คำ 7–20 คำ กำลังดี
* พยายามใส่ **รายละเอียดแสง สี องค์ประกอบ** เช่น
  “แสงแดดอ่อน”, “พื้นไม้สีเข้ม”, “กล้องมุมต่ำ”, “ถ่ายภาพสไตล์แฟชั่น”
* ลองใส่สไตล์ท้าย Prompt เช่น:
  * *“in cinematic lighting”*
  * *“photo-realistic, studio light”*
  * *“digital painting, concept art”*
---
  ตัวอย่าง Prompt ภาษาอังกฤษ
```text
A cozy coffee shop with wooden furniture, a woman reading a book, sunlight streaming through the window, cinematic lighting, ultra realistic
```
หรือ Prompt ภาษาไทย:
```text
ผู้หญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างในร้านกาแฟ ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า มีหนังสือวางอยู่บนโต๊ะ สไตล์ภาพถ่ายจริง
```
---
  ใช้ฟรีไหม?
✅ ใช้ฟรี 100% บน Google AI Studio
 มีโควต้าการใช้งานจำกัดต่อวัน (ประมาณ 30–50 Prompt แล้วแต่บัญชี)
แต่สามารถเพิ่มเครดิตได้หากคุณใช้ Google Cloud
---
  Imagen 4 เหมาะกับใคร?
* นักออกแบบกราฟิก
* ผู้ทำคอนเทนต์ (YouTube / TikTok / Facebook)
* ครู อาจารย์ที่อยากใช้ภาพสื่อการสอน
* ผู้เริ่มต้นใช้งาน AI ที่อยากได้ “ภาพที่ดูมืออาชีพ” โดยไม่ต้องเก่ง Photoshop
---
  อยากลองตอนนี้ คลิกเลย
 [https://aistudio.google.com/app](https://aistudio.google.com/app)
---
**#AILIFE #Imagen4 #GoogleAI #สร้างภาพด้วยAI #AIวาดภาพ #ภาพสวยสมจริง #TextToImage**

27
วิธีใช้ AI สร้างรูปภาพฟรี!!! แบบโครตสมจริงใน 1 นาที”** ด้วย **Google Imagen 4 + Imagen 4 Ultra** เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง พร้อมแนวทางสร้าง Prompt และเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
---
  วิธีใช้ AI สร้างรูปภาพ “ฟรี!” แบบโครตสมจริงใน 1 นาที
**Google เปิดให้ใช้ Imagen 4 แล้ว! พร้อมเวอร์ชัน Ultra รายละเอียดเหนือชั้น**
---
 **อะไรคือ Imagen 4?**
Google เปิดตัว **Imagen 4** และ **Imagen 4 Ultra** บน [AI Studio](https://aistudio.google.com) ให้ใช้งานฟรี! โดยเป็นโมเดล **Text to Image** ที่แค่พิมพ์คำอธิบาย (Prompt) ก็สร้างภาพเหมือนจริงระดับโปรได้ในเวลาไม่ถึง 1 นาที
---
 **ฟรีจริงไหม?**
✅ ใช้งานผ่าน Google AI Studio โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกแบบเสียเงิน
✅ ไม่ต้องติดตั้งแอป ใช้ได้ผ่านเบราว์เซอร์
✅ ดาวน์โหลดภาพความละเอียดสูงไปใช้ต่อได้เลย (เพื่อทำคอนเทนต์, พรีเซนต์, ออกแบบ)
---
 **จุดเด่น**
* รองรับหลายอัตราส่วนภาพ: 1:1, 16:9, 9:16, 3:4, 4:3
* แสง/เงา/พื้นผิวสมจริงเหมือนถ่ายด้วยกล้องโปร
* เวอร์ชัน **Ultra** สร้างรายละเอียดได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น แสงตกกระทบ, ใบหน้า, ผิวหนัง
---
 **เปรียบเทียบเวลาทำงาน**
| โมเดล          | เวลาเฉลี่ย | จุดเด่น                           |
| -------------- | ---------- | --------------------------------- |
| Imagen 4       | 8.5 วินาที | เร็ว เหมาะกับงานทั่วไป            |
| Imagen 4 Ultra | 15 วินาที  | รายละเอียดสูง เหมาะกับงานพรีเมียม |
---
 **วิธีใช้งาน Step-by-step**
1. ไปที่ [https://aistudio.google.com](https://aistudio.google.com)
2. คลิก “**Create**” แล้วเลือก **Text to Image**
3. พิมพ์คำสั่ง (Prompt) ที่ต้องการ เช่น
   > A futuristic Thai floating market at sunset, ultra-realistic, cinematic lighting, 8K
4. เลือกโมเดล: Imagen 4 หรือ Imagen 4 Ultra
5. เลือกขนาดภาพ เช่น 16:9 ถ้าจะใช้ทำคลิป หรือ 1:1 สำหรับโพสต์
6. รอ \~10 วินาที → ดาวน์โหลดได้ทันที
---
 **ไอเดีย Prompt แบบมือโปร**
* “A cozy wooden cafe in Chiang Mai at dawn, ultra detailed, HDR, sunlight streaming through window”
* “A Thai food stall at night market, vibrant colors, cinematic shadow, depth of field, 35mm style”
* “A magical dragon flying above Wat Arun temple, golden hour lighting, ultra realistic 3D render”
---
✅ **สรุปข้อดี**
* ใช้ฟรี! ผ่าน Google AI Studio
* ภาพเหมือนถ่ายด้วยกล้องมืออาชีพ
* มีโมเดล Ultra สำหรับภาพซับซ้อน
* ทำได้ใน 1 นาทีจริง ไม่โม้
---
 **ลองเลยตอนนี้** → [aistudio.google.com](https://aistudio.google.com)
 อยากได้ “Prompt ภาษาไทย” หรือ “คาแรกเตอร์เฉพาะ” → คอมเมนต์ไว้ เดี๋ยวจัดให้!

28
AI / Re: Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
แจก ‼ Prompt สร้างภาพ
”เหินฟ้า“
แก้ไขข้อความได้เลยครับ✅
✅ขั้นตอนวิธีทำ
1️⃣ เข้าเว็บ https://chatgpt.com หรือ แอพ Chat GPT
2️⃣ อัพโหลดภาพหน้าของเราที่ชัดเจน
3️⃣ อัพ Prompt เข้าไปด้วย
4️⃣ กดส่งภาพและ Prompt
✅ Prompt ภาษาไทย : “ใช้รูปถ่ายที่อัพโหลดของบุคคลเพื่อเก็บภาพลักษณะใบหน้าของบุคคลนั้นอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงสร้างเซลฟี่ที่ดูเหมือนจริงอย่างยิ่งและดูเป็นธรรมชาติของคนๆ นั้นที่กำลังร่วงหล่นลงมาในระหว่างการกระโดดร่ม โดยวางร่างกายในแนวนอน (คว่ำหน้าลง) แขนและขาโค้งงอเล็กน้อยและแบะออกในท่า "ธนู" แบบคลาสสิก พร้อมกับปล่อยผมปลิวตามลมและมีท่าทางตื่นเต้น กล้องถูกถือโดยเหยียดแขนออกไปเหมือนการถ่ายรูปแบบหันหน้าเข้าหากันด้วย iPhone โดยจับภาพใบหน้าของบุคคลได้อย่างคมชัดในขณะที่ลำตัวของคนๆ นั้นเอียงไปทางเลนส์เล็กน้อย รวมอุปกรณ์กระโดดร่มที่สมจริง เช่น ชุดกระโดดร่มพร้อมสายรัดที่มองเห็นได้ เครื่องวัดความสูงที่ข้อมือ หมวกกันน็อคที่ติดอยู่กับสายรัด และภาชนะร่มชูชีพที่ด้านหลัง พื้นหลังแสดงภาพมุมสูงแบบพาโนรามาของเมฆที่กระจัดกระจายและทิวทัศน์อันนุ่มนวลเบื้องล่าง โดยมีแสงธรรมชาติเน้นที่คุณลักษณะใบหน้าและภาพเบลอจากการเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนชุด เพิ่มเอฟเฟกต์แสงแฟลร์เลนส์ที่สมจริงและการบิดเบือนของกล้องด้านหน้าที่ละเอียดอ่อน ราวกับว่ารูปภาพนี้ถ่ายด้วยกล้องเซลฟี่ของ iPhone 16 Pro"
✅ Prompt อังกฤษ : Utilise une photo téléchargée d'une personne pour capturer une image précise de ses traits du visage. Il crée ensuite un selfie qui semble incroyablement réaliste et naturel pour la personne. C'est tomber pendant un saut en parachute. Le corps est positionné horizontalement (face vers le bas), les bras et les jambes légèrement pliés et écartés dans une pose classique « arc », avec les cheveux au vent et une expression excitée. L'appareil photo est tenu avec un bras tendu, comme pour prendre une photo en face à face avec un iPhone, capturant clairement le visage de la personne tandis que son torse est immobile. C'est légèrement incliné vers l'objectif. Comprend un équipement de parachutisme réaliste tel qu'une combinaison de parachutisme avec harnais visible. Altimètre de poignet Casque attaché à une sangle et le conteneur du parachute à l'arrière L'arrière-plan montre une vue panoramique à vol d'oiseau des nuages ​​épars et du paysage doux en dessous. Avec une lumière naturelle qui met en valeur les traits du visage et un léger flou de mouvement sur le costume. Ajoutez des effets de flare d'objectif réalistes et une distorsion subtile de la caméra frontale. Il semble que cette photo ait été prise avec la caméra selfie de l'iPhone 16 Pro"

29
บ้าบอ มาก!! เดือนเดียวคนซัพ 1.6 ล้านคน
รายได้จาก Youtube Shorts รั่วๆ หลักล้าน!!
ทุกรายละเอียดลงไว้ให้แล้ว!!ไปดูกันเองนะครับ^^
.
ใครยังไม่มีไอเดีย ก็ลองดูช่องนี้เอาครับ^^
เครื่องมือ Ai + Ideas ลงมือทำจริงจัง
.
ลิงค์ช่อง
https://www.youtube.com/@WhiteDogCatsss
.
คอนเซ็ปต์หลักของช่องแนวนี้
.
คลิปสั้น 30–60 วินาที
ตัวละครหลักคือ “หมา-แมว” ใช้ภาพนิ่ง AI
มีเนื้อเรื่องเล็ก ๆ เล่าเหมือนละคร นิทาน
ใช้เสียงพากย์เลียนแบบสัตว์พูด
มีคำบรรยาย (Captions) อ่านประกอบ
.
STEP 1 วางแนวทางเนื้อหาของเรื่อง Content+Story
.
สร้างจักรวาลตัวละคร เช่น หมาขาวใจดี
แมวขี้แกล้ง, ลูกหมาน้อย, แมวดำตัวร้าย
.
ตั้งธีมหลัก เช่น
มิตรภาพหมาแมว, ดราม่า–ตลก, ช่วยเหลือ,โดนแกล้ง
.
STEP 2 เครื่องมือสร้างภาพสัตว์และฉาก
ใช้ AI Image Generator ตัวฟรีมี
.
Leonardo.ai,หรือ DALL·E ChatGPT
ส่วนตัวเสียเงินแนะนำ Midjourney
.
STEP 3 เขียน Script เรื่องราว + เสียงพากย์
โครงสร้าง Script
Hook (5 วิ) “น้องหมาตัวนี้กำลังจะโดนแมวแกล้ง...”
กลางเรื่อง มีเหตุการณ์/ปฏิกิริยา
จบ มี Twist หรือข้อคิดสั้น ๆ
.
เครื่องมือสร้างเสียงพากย์
ElevenLabs (เสียงคนจริง)
เคล็ดลับ ใช้เสียงเด็ก, ผู้หญิง, เสียงแมว,หมา ตลก
ตัดเสียงเป็นช่วง ๆ แล้วจับใส่ตามรูป
.
STEP 4 ตัดต่อคลิป (Video Editing)
.
โปรแกรมแนะนำ CapCut (มือถือ/PC)
Canva Pro สำหรับภาพนิ่ง + Animation ง่าย ๆ
VN Editor, InShot, หรือ Premiere Pro
.
โครงสร้างคลิปที่เราต้องสร้าง
.
ใส่ภาพ Static หรือ Ken Burns effect
ใส่ Voiceover เพิ่ม Captions แบบใหญ่ชัดอ่านง่าย
ใส่ Sound Effect แมวร้อง, หมาหอน ฯลฯ
ใส่เพลง BGM แบบไม่ติดลิขสิทธิ์.
.
แหล่งเสียงและเพลง
Pixabay Music, Mixkit, Zapsplat
.
STEP 5
ตั้งชื่อคลิป + อัปโหลดใช้ชื่อแบบชวนคลิก เช่น
“ลูกหมาโดนแมวรังแก...แต่ดูตอนจบสิ!”
“แมวตัวนี้ทำสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง”
.
ใช้ Hashtag เช่น
#Shorts #หมาน่ารัก #แมวฮาๆ #funnycat #cutedog
.
ส่วนวิธีการดูคำวิธีใช้ชื่อคลิปแบบเต็มๆ
ผมแนะนำหนังสือ "คำทำเงิน" Keywrods Research
สนใจหนังสือ กดที่นี่ได้เลย
https://lin.ee/vjzv8kf
.
ถ้าโพสนี้มีประโยชน์ ฝากแชร์กันไปเยอะๆนะครับ
.
ต๊ะ #เปิดกระโหลกสร้างเงินล้าน
.
เข้ากลุ่ม โตทุกวันหยุด "เปลี่ยนวันว่าง สร้างรายได้" Side Hustle Thailand
.
#AiBideoBlueprint

30
AI / Re: Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
3 ขั้นตอน ทำวิดีโอง่ายๆ ด้วย AI
 ขั้นตอนง่ายๆ  ใครก็ทำได้วิธีการสร้าง
1️⃣ เข้า #hailuoai video
2️⃣ เลือก IV2 เพิ่มรูปภาพของเราลงไป
3️⃣พิมพ์คำสั่งสร้างภาพ  : A young man walking down a small hill and kicking a soccer ball. He wears a casual t-shirt and jeans, captured mid-action as his foot strikes the ball. The setting is an open grassy field under a bright sky, with motion blur emphasizing the dynamic movement. Shot in high resolution, natural lighting[Truck left,Pan right,Tracking shot]
ภาษาไทย “ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงเนินเขาเล็ก ๆ และเตะลูกฟุตบอล เขาสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนส์แบบสบาย ๆ ถูกจับกลางการกระทําขณะที่เท้าของเขาตีลูกบอล การตั้งค่าเป็นทุ่งหญ้าโล่งภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไสว โดยมีการเคลื่อนไหวเบลอที่เน้นการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก ถ่ายด้วยความละเอียดสูง แสงธรรมชาติ [ แพนขวา ติดตามช็อต]”
 เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถทำวิดีโอตัวเองแบบเท่ห์ได้เลย

31
AI / Re: Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
วันนี้เรียนรู้ AI ที่โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จ้าา
ขอบคุณ Prompt จาก เรียนรู้ AI ไปกับครูหนุ่ม

ใช้ #Copilot แนบ Prompt:
สร้างภาพตัวละครหญิงไทยสมจริง ใช้ใบหน้า ทรงผมและสีผิวตามภาพที่แนบ ใส่ชุดสูทเรียบร้อย ใส่นาฬิกา smart watch สีชมพูอ่อน ที่ข้อมือซ้าย กำลังนั่งทำงานกับเครื่อง IMac ที่โต๊ะแก้วมีแสงไฟ LED สวยงามตามขอบโต๊ะ บนโต๊ะมี แจกันดอกไม้หรูดอกไม้สวยงาม มีป้ายชื่อแบบใสสวยงามอลังการ มีข้อความเรืองแสง “Dr.Siwaporn Linthaluek” มีสมุดโน๊ตและแก้วกาแฟสีขาว สกรีนคำว่า "Jennie" ฉากหลังเป็นจอ LED แบบติดผนัง 2 จอ มีไฟ LED สวยงามตามขอบจอ

จอที่ 1 ด้านซ้ายเป็นภาพระบบ e-learning รายวิชา Special Topic in Digital Media, แสดงองค์ประกอบของ AI, Digital Media, พู่กันป้ายสี และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

จอที่ 2 ด้านขวา ใส่โลโก้ OBEC สพฐ ด้านข้าง โลโก้มีข้อความว่า “ Watkhemapirataram School“ ด้านล่างมีหน้าเว็บไซต์แสดง ขนาดภาพ 16:9

32
AI / Re: Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
สมหวัง สมปรารถนา ทุกประการ
✅Prompt ภาษาไทย : "สร้างวิดีโอความละเอียดสูงของครูชายชาวไทยวัยกลางคนถึงสูงอายุที่มีใบหน้ากลมและแก้มป่องเล็กน้อย เขายิ้มกว้างพร้อมกับรอยพับที่แก้มและริ้วรอยใต้ดวงตาที่กลม ซึ่งเอียงไปทางด้านข้างเล็กน้อย เขามีคิ้วหนาโค้งเล็กน้อย จมูกค่อนข้างใหญ่ และปากกว้างพร้อมร่องแก้มลึก ผมสั้นสีดำหวีเรียบร้อย เขามีผิวสีน้ำผึ้งและสวมเสื้อสีอ่อน (คล้ายกับสีกรมท่าอ่อน) พร้อมบ่าสีทอง ครูสวมแว่นตา เขาสวมเสื้อสีเหลืองสดใสและกางเกงขายาวสีดำ ในมือซ้าย เขาถือสมุดบันทึก และในมือขวา เขาถือ iPad สภาพแวดล้อมเป็นโรงเรียนที่สดใสและคึกคักในตอนกลางวัน โดยมีนักเรียนที่มองเห็นได้ในพื้นหลัง (เบลอเล็กน้อยเพื่อให้โฟกัสที่ครูได้) ครูมีท่าทีอ่อนโยนและให้กำลังใจ สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มกว้างของเขา
เสียง:
เสียงโรงเรียนที่แผ่วเบา รวมถึงเสียงพูดคุยของนักเรียนที่ห่างไกล เสียงกริ่งที่ดังเป็นครั้งคราว และเสียงกระดาษที่ดังกรอบแกรบ เสียงผู้ชายที่ใส อบอุ่น และให้กำลังใจ (เสียงเหมือนชายไทยวัยกลางคนถึงสูงอายุ) พูดเป็นภาษาไทยว่า "เขียนย้ายรอบนี้ขอให้สมหวังดั่งต้องการนะทุกคน"
✅Prompt ภาษาอังกฤษ : "Create a high-definition video of a kind, middle-aged to elderly Thai male teacher with a roundish face and somewhat chubby cheeks. He has a wide smile with visible cheek folds and wrinkles under his round eyes, which are glancing slightly to the side. He has thick, slightly arched eyebrows, a relatively large nose, and a wide mouth with deep nasolabial folds. His short black hair is neatly combed back. He has a honey-toned complexion and is wearing a light-colored shirt (similar to light khaki) with gold shoulder epaulets. The teacher is wearing glasses. He is dressed in a bright yellow shirt and black long pants. In his left hand, he holds a notebook, and in his right hand, he holds an iPad. The setting is a bright, bustling school environment during daytime, with students visible in the background (slightly blurred to keep focus on the teacher). The teacher has a gentle and encouraging demeanor, reflecting his wide smile.
Sound:
Soft, ambient school sounds, including distant chatter of students, occasional bell rings, and the subtle rustle of papers. A clear, warm, and encouraging male voice (sounding like a middle-aged to elderly Thai man) speaks in Thai: "เขียนย้ายรอบนี้ ขอให้สมหวัง ดั่งที่ต้องการนะทุกคน" (Kian yai rop nee, kor hai som-wang, dang tee tong-karn na took kon).


บอกวิธีการสร้างคลิปแบบง่ายๆ
1️⃣สร้างภาพนิ่งด้วย ChatGPT โดยใช้ Prompt : A cute 3D cartoon-style girl with big round eyes, tan skin, shoulder-length black hair, wearing a light pink t-shirt and shorts. She is sitting on a small wooden stool, washing dishes in a gray plastic basin filled with soap bubbles and several plates. She holds a sponge and looks focused. The background shows a rustic Thai countryside home with a wooden house, green leafy trees, and a large clay water jar nearby. The lighting is warm, resembling a late afternoon. Rendered in Pixar-style 3D. Thai text floats in the middle of the image: “ให้เขาลำบากบ้างก็ได้”.
2️⃣ สร้างเสียงพูด ด้วย https://aistudio.google.com/generate-speech
3️⃣ นำเสียงที่ได้ไปทำลิปซิงค์ที่ https://app.dupdub.com/login?status=signUp&invitation_code=nRvyheF4
4️⃣ นำมาตัดต่อด้วย Canva pro Canva
#AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง ดูน้อยลง

33
AI / Re: Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
โครงสร้าง Prompt VEO3 เป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมสำหรับการเขียนพรอมต์วิดีโอ!
มันช่วยให้เราสามารถระบุรายละเอียดที่สำคัญเพื่อให้ AI
สร้างวิดีโอได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
ผมจะขยายความและให้ตัวอย่างในแต่ละส่วนเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ:
---
โครงสร้างการเขียน Prompt VEO3 สำหรับสร้างวิดีโอด้วย AI
การใช้โครงสร้างนี้จะช่วยให้คุณสื่อสารแนวคิดวิดีโอของคุณไปยัง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการเขียนบทสรุปย่อๆ ให้ AI เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด
1️⃣ S = Subject (ใคร/อะไร)
ส่วนนี้คือการกำหนด **ตัวละครหลัก, วัตถุ, หรือแนวคิดหลัก** ที่วิดีโอจะโฟกัสไปที่ ถ้ามีหลายตัวละคร ให้ระบุความสัมพันธ์หรือบทบาทของแต่ละตัวด้วย
ตัวอย่าง:**
    * **เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง** อายุประมาณ 10 ขวบ สวมชุดนักเรียน กำลังถือหนังสือเล่มใหญ่
    * **หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารอัจฉริยะ** ขนาดเล็ก สีขาว มีไฟ LED สีฟ้า
    * **กลุ่มเพื่อนซี้ 4 คน** (ชาย 2 หญิง 2) กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
    * **เมืองแห่งอนาคต** ที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงเสียดฟ้าและยานพาหนะลอยได้
2️⃣A = Action (ทำอะไร)
ส่วนนี้คือการระบุ **การกระทำ, เหตุการณ์, หรือกิจกรรมหลัก** ที่ Subject กำลังทำ
* **ตัวอย่าง:**
    * เด็กผู้หญิง **กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในทุ่งดอกไม้**
    * หุ่นยนต์ **กำลังนำอาหารไปเสิร์ฟให้ลูกค้าในร้านอาหาร**
    * กลุ่มเพื่อนซี้ **กำลังปิกนิกริมทะเลสาบและเล่นกีตาร์ร้องเพลง**
    * ยานพาหนะลอยได้ **กำลังเคลื่อนที่ไปมาระหว่างตึกสูง**
 3️⃣M = Mood/Style (อารมณ์/โทน/สไตล์)
กำหนด **บรรยากาศโดยรวม, ความรู้สึก, หรือสไตล์ภาพ** ที่คุณต้องการให้วิดีโอสื่อออกมา
* **อารมณ์:** สนุกสนาน, เศร้า, ตื่นเต้น, ลึกลับ, สงบสุข, ตลกขบขัน
* **โทน:** สดใส, หม่นหมอง, ดุดัน, อบอุ่น, เย็นชา
* **สไตล์:** Cinematic, Documentary, Cartoon, Anime, Stop-motion, Minimalist, Sci-fi, Fantasy, Retro
* **ตัวอย่าง:**
    * **สดใสและสนุกสนาน**, มีชีวิตชีวา
    * **ลึกลับและน่าตื่นเต้น**, เหมือนหนังสืบสวน
    * **อบอุ่นและโรแมนติก**, แสงสีทองของพระอาทิตย์ตกดิน
    * **อนาคตและล้ำสมัย**, สไตล์ Cyberpunk
4️⃣E = Environment (อยู่ที่ไหน/ฉากหลัง)
ระบุ **สถานที่หรือสภาพแวดล้อม** ที่เหตุการณ์เกิดขึ้น ยิ่งละเอียดจะยิ่งดี
* **ตัวอย่าง:**
    * **ในป่าดิบชื้น** ที่มีต้นไม้สูงใหญ่และลำธารใสสะอาด
    * **บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ** ในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น
    * **ภายในห้องแล็บล้ำสมัย** ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทคและแสงไฟสีฟ้า
    * **ในตลาดกลางคืนที่มีชีวิตชีวา** เต็มไปด้วยผู้คนและร้านรวงอาหาร
    * **ใต้ท้องทะเลลึก** ที่มีปะการังสีสันสดใสและปลาแปลกๆ
6️⃣ L = Lens/Camera (มุมกล้อง/เทคนิคถ่ายทำ)
ส่วนนี้สำคัญมากในการกำหนด **มุมมองและเทคนิคการนำเสนอ** ที่คุณต้องการให้ AI จำลอง
* **มุมกล้อง:**
    * **Wide shot:** เห็นภาพกว้างๆ ของฉาก
    * **Close-up:** เจาะจงรายละเอียด (เช่น ใบหน้า, มือ)
    * **POV (Point of View):** มุมมองจากสายตาของตัวละคร
    * **Low angle/High angle:** มุมเงย/มุมกด
    * **Drone shot:** มุมสูงจากโดรน
* **การเคลื่อนไหวกล้อง:**
    * **Pan:** แพนกล้องซ้าย-ขวา
    * **Tilt:** เงย-ก้มกล้องขึ้น-ลง
    * **Tracking shot:** กล้องเคลื่อนที่ตามตัวละคร
    * **Zoom in/out:** ซูมเข้า/ออก
* **เทคนิคอื่นๆ:**
    * **Slow motion:** ภาพสโลว์โมชั่น
    * **Time-lapse:** ภาพเร่งเวลา
    * **Depth of Field:** ชัดตื้นชัดลึก
    * **Vignette:** ขอบภาพมืดลงเล็กน้อย
* **ตัวอย่าง:**
    * **มุมกล้องแบบ Cinematic wide shot**, **กล้องเคลื่อนที่อย่างช้าๆ** ตามตัวละคร
    * **Close-up** ที่ใบหน้าของนักแสดง, **ชัดตื้น** (Background Blur)
    * **มุมมองแบบ POV** จากสายตาของนกที่กำลังบิน
    * **Drone shot** แสดงภาพมุมสูงของเมืองในยามค่ำคืน, **Time-lapse** การเคลื่อนที่ของเมฆ
7️⃣C = Constraints (ข้อห้าม/เงื่อนไขพิเศษ)
ส่วนนี้คือการระบุ **สิ่งที่ไม่ต้องการให้มี** หรือ **เงื่อนไขเฉพาะเจาะจง** ที่สำคัญมากเพื่อคุมทิศทางของ AI
* **ตัวอย่าง:**
    * **ห้ามมีตัวหนังสือ** หรือโลโก้ใดๆ ในภาพ
    * **ห้ามมีคน** หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในฉาก
    * วิดีโอต้องมีความยาว **ไม่เกิน 15 วินาที**
    * เน้นสีโทนร้อนเท่านั้น **ห้ามมีสีฟ้าหรือเขียว**
    * ภาพวิดีโอต้องเป็น **แนวตั้ง (Portrait)** เหมาะสำหรับ TikTok
8️⃣ A = Audio (เสียง/บทพูด/ดนตรี/เอฟเฟกต์)
กำหนด **องค์ประกอบเสียง** ที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและความรู้สึกของวิดีโอ AI บางตัวอาจจะยังไม่รองรับการสร้างเสียงที่ซับซ้อน แต่การระบุไว้ก็ช่วยให้ AI เข้าใจโทนและอารมณ์ของวิดีโอได้ดีขึ้น
* **ตัวอย่าง:**
    * **เสียงเพลงบรรเลงแนวผ่อนคลาย**, เสียงนกร้องเบาๆ
    * **เสียงคำรามของสัตว์ประหลาด**, ดนตรีประกอบที่น่ากลัวและตื่นเต้น
    * **บทพูดของตัวละครหลัก** (อาจระบุเนื้อหาคร่าวๆ) "เราจะไม่มีวันยอมแพ้!"
    * **เสียงฝนตกปรอยๆ**, ดนตรีแนว Lo-fi Hip-hop
    * **ไม่มีเสียงประกอบ** หรือมีเพียงเสียงบรรยากาศเบาๆ เท่านั้น
---
**ตัวอย่าง Prompt VEO3 แบบเต็ม:**
"**S:** ชายสูงอายุคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่คนเดียว **A:** กำลังจิบกาแฟอย่างช้าๆ และมองออกไปนอกหน้าต่าง **M:** ให้ความรู้สึกสงบเงียบ, โทนสีอบอุ่น **E:** ในร้านกาแฟสไตล์วินเทจที่มีแสงสว่างรำไรจากภายนอก **L:** มุมกล้องแบบ Cinematic medium shot, กล้องค่อยๆ แพนจากกาแฟไปที่ใบหน้าของชายสูงอายุ, ชัดตื้น **C:** ห้ามมีคนอื่นในเฟรม **A:** เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ, เสียงกรุ๊งกริ๊งของช้อนกระทบแก้ว"
---
การใช้โครงสร้างนี้จะช่วยให้คุณคิดได้อย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้างวิดีโอ AI ที่คุณต้องการครับ!
 #AILIFE #นึกถึงaiนึกถึงailife #SunoAI #ของฟรีมีอยู่จริง #foryou #Gemini #canva #chatgpt #Aiเปิดค่าการมองเห็น #enjoylife #AI #มาแรง

34
AI / Prompt
« เมื่อ: 07/07/25 »
ลองทำดูครับ
Prompt :  > ครูสาวไทยสาวสวยน่ารัก หน้าอกใหญ่ อายุประมาณ 25 ปี สวมชุดครูไทยสีกากีแขนยาว เธอยิ้มแย้มแจ่มใสและถือซองเงินเดือนในมือขวา การจัดตั้งเป็นสํานักงานครูที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวาพร้อมโต๊ะทํางาน เก้าอี้ สมุดธนาคารแบบไทย และอุปกรณ์สํานักงานทั่วไป
เธอหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดเป็นภาษาไทยว่า:
"วันนี้เงินเดือนออกแล้ว ถ้าถามว่าทุกวันนี้เงินเดือนพอใช้ไหม ตอบได้เลยว่าพอ…พอเข้าปุ๊บก็ออกปั๊ป"
สไตล์: สไตล์กึ่งสมจริงหรือการ์ตูน อารมณ์อบอุ่นและร่าเริง

แจก prompt Veo3 : เมื่อต้องเจอกับแฟนเก่า
Prompt :
[วิดีโอสั้น/ตลกเสียดสี]:
การตรวจสุขภาพที่อนามัยพร้อมบทสนทนาที่คาดไม่ถึง, สไตล์สมจริง,บรรยากาศคลินิกชนบท, ให้ความรู้สึกเริ่มจริงจังแต่จบลงด้วยความตลกขบขันและเสียดสีเล็กน้อย.
[รายละเอียดเฉพาะของภาพ/ฉากสำคัญ]:
คนไข้ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หน้าหมอผู้หญิงสวมเสื้อกาวน์สีขาว
หมอกำลังใช้หูฟังทางการแพทย์ตรวจหน้าอกคนไข้
ฉากหลังเป็นห้องตรวจของอนามัยที่มีโปสเตอร์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์เรียบง่าย
เน้นการแสดงออกทางสีหน้าของคนไข้ที่งงงวยและหมอที่ดูจริงจังแต่แฝงอารมณ์ขัน.
[ซาวด์ประกอบ]:
เสียงบรรยากาศภายในคลินิก (เช่น เสียงกระดาษ, เสียงไอเบาๆ),เสียงเครื่องมือแพทย์เล็กน้อย (เช่น เสียงหูฟังแตะหน้าอก), พร้อมเพลงประกอบแนวตลกขบขันและมีจังหวะเบาๆ
ที่บ่งบอกถึงความพลิกผันของสถานการณ์เมื่อบทสนทนาเข้าสู่ช่วงท้าย.
[เสียงพูดภาษาไทย (Voiceover)]:
- หมอ (ผู้หญิงคนไทยหน้าตาสวย, อายุ 30-40ปี, น้ำเสียงจริงจังในช่วงแรกและแฝงความขบขันในช่วงท้าย,พูดภาษาไทย): "สบายดีมั้ย ดีขึ้นมั้ย"
- คนไข้ (ผู้ชายคนไทย, อายุ 30-50ปี, น้ำเสียงงงงวยและตอบตรงไปตรงมา,พูดภาษาไทย): "คุณหมอถามอาการป่วยผมหรอ"
- หมอ (ผู้หญิงคนไทยหน้าตาสวย, อายุ 30-40ปี, น้ำเสียงแฝงความขบขัน, พูดภาษาไทย):
"ไม่ใช่ ฉันถามนิสัยเธอ"

แจก prompt "วิถีชีวิต"
วิธีการสร้าง
 เข้าไปที่ https://aistudio.google.com/prompts/new_image
 ใส่ Prompt : ทัศนียามเช้าที่เงียบสงบและอบอุ่นของทุ่งนาไทยในชนบทในช่วงฤดูปลูก กลุ่มชาวบ้าน — ชาย หญิง และเด็ก — กําลังทํางานร่วมกันอย่างสนุกสนานในท่ามกลางบรรยากาศสีเขียวชอุ่ม บางคนกําลังก้มตัวลงเพื่อปลูกหน่อข้าวอ่อน ขณะที่เด็ก ๆ เดินเล่นตามแนวโคลนแคบ ๆ เด็ก ๆ ใส่เสื้อผ้าหลากสี ยิ้มแย้มและสงสัย ถือต้นกล้าข้าวเป็นพวงเล็ก ๆ ในพื้นหลัง บ้านไม้ไทยแบบดั้งเดิมบนไม้ตะเข็บ ล้อมรอบด้วยต้นกล้วยสูง ไผ่ และต้นใบใหญ่ ภูเขาหมอกขึ้นอย่างอ่อนโยนเบื้องหลัง อาบด้วยแสงแดดสีทองยามเช้า บรรยากาศรู้สึกสงบ คิดถึงความหลัง เต็มไปด้วยจิตวิญญาณชุมชน แสงธรรมชาติ พื้นหลังโฟกัสเบาๆ พื้นหน้ารายละเอียดสูง สไตล์สารคดี 4K 9:16"
 คลิก Run Ctrl












1. ผู้เชี่ยวชาญส่วนตัว
Prompt:
“ลองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน [สายงานของฉัน] แล้ววิเคราะห์ปัญหา [สถานการณ์ของฉัน]
ช่วยวางแผนกลยุทธ์ พร้อม 3 ขั้นตอนที่ควรทำตอนนี้เลย”
 ใช้ตอน: เรามีปัญหา แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้ GPT คิดแทนแบบโปร ๆ

 2. ถอดสูตรความสำเร็จ
Prompt:
“[ชื่อคน/แบรนด์] เขาทำยังไงถึงได้ [ผลลัพธ์ที่ต้องการ]?
ช่วยอธิบายให้แบบ Step-by-step ฉันจะเอาไปใช้บ้าง แม้เพิ่งเริ่มต้นเลย”
 ใช้ตอน: อยากรู้สูตรลับของคนสำเร็จ แล้วทำตามทันที

3. ผู้ช่วยหาข้อมูล
Prompt:
“หาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับ [หัวข้อ] แล้วสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย
ฉันจะเอาไปใช้ต่อในโพสต์หรือคอนเทนต์”
 ใช้ตอน: อยากได้ข้อมูลเร็ว แบบอ่าน 3 บรรทัดก็เข้าใจ
4. บล็อกที่ติด SEO
Prompt:
“เขียนบล็อก 1,000 คำเกี่ยวกับ [หัวข้อ] พร้อม Hook แรง, คำเรียกให้คลิก,
และจัดฟอร์แมตให้อ่านง่ายสุด ๆ”
 ใช้ตอน: ทำบล็อกให้คนอ่านเยอะ และติดอันดับใน Google
5. แคปชั่นไวรัล
Prompt:
“ขอ 5 แคปชั่นไวรัลสำหรับ Instagram เกี่ยวกับ [หัวข้อ]
เอาแบบที่ดึงดูดใน 2 วิแรกและตามเทรนด์ตอนนี้”
 ใช้ตอน: จะโพสต์คลิปหรือภาพ แต่คิดแคปชั่นไม่ออก ให้ GPT จัดให้
6. อ่าน Data แบบคนธรรมดา
Prompt:
“วิเคราะห์ข้อมูลนี้: [ใส่ข้อมูล]
ช่วยบอก insight, รูปแบบที่น่าสนใจ และสัญญาณเตือน
อธิบายให้แบบที่คนไม่รู้เรื่อง Data ก็เข้าใจ”
 ใช้ตอน: เจอข้อมูลเยอะ ๆ แล้วงง ให้ GPT แปลภาษายากให้เข้าใจง่าย
7. ฝึกสกิลใหม่ใน 30 วัน
Prompt:
“วางแผน 30 วันให้ฉันเก่งเรื่อง [ชื่อสกิล]
ขอแบบฝึกทุกวัน, จุดเช็กความก้าวหน้า และเป้าหมายที่วัดผลได้จริง”
 ใช้ตอน: อยากเรียนอะไรใหม่ ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง






35
“เริ่มต้นใช้ ChatGPT หาเงิน ยังไงให้ได้ผล?”
126 ล้านคนใช้มันทุกวัน แต่บางคน… ใช้หาเงินได้หลักหมื่น
บางคน…ใช้แค่เล่นไปวัน ๆ อยากใช้ GPT ให้หาเงินแทนเรา
7 Prompt บ้าน ๆ ที่ใช้ได้จริงเลย

1. ผู้เชี่ยวชาญส่วนตัว
Prompt:
“ลองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน [สายงานของฉัน] แล้ววิเคราะห์ปัญหา [สถานการณ์ของฉัน]
ช่วยวางแผนกลยุทธ์ พร้อม 3 ขั้นตอนที่ควรทำตอนนี้เลย”
 ใช้ตอน: เรามีปัญหา แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้ GPT คิดแทนแบบโปร ๆ

 2. ถอดสูตรความสำเร็จ
Prompt:
“[ชื่อคน/แบรนด์] เขาทำยังไงถึงได้ [ผลลัพธ์ที่ต้องการ]?
ช่วยอธิบายให้แบบ Step-by-step ฉันจะเอาไปใช้บ้าง แม้เพิ่งเริ่มต้นเลย”
 ใช้ตอน: อยากรู้สูตรลับของคนสำเร็จ แล้วทำตามทันที

3. ผู้ช่วยหาข้อมูล
Prompt:
“หาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับ [หัวข้อ] แล้วสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย
ฉันจะเอาไปใช้ต่อในโพสต์หรือคอนเทนต์”
 ใช้ตอน: อยากได้ข้อมูลเร็ว แบบอ่าน 3 บรรทัดก็เข้าใจ
4. บล็อกที่ติด SEO
Prompt:
“เขียนบล็อก 1,000 คำเกี่ยวกับ [หัวข้อ] พร้อม Hook แรง, คำเรียกให้คลิก,
และจัดฟอร์แมตให้อ่านง่ายสุด ๆ”
 ใช้ตอน: ทำบล็อกให้คนอ่านเยอะ และติดอันดับใน Google
5. แคปชั่นไวรัล
Prompt:
“ขอ 5 แคปชั่นไวรัลสำหรับ Instagram เกี่ยวกับ [หัวข้อ]
เอาแบบที่ดึงดูดใน 2 วิแรกและตามเทรนด์ตอนนี้”
 ใช้ตอน: จะโพสต์คลิปหรือภาพ แต่คิดแคปชั่นไม่ออก ให้ GPT จัดให้
6. อ่าน Data แบบคนธรรมดา
Prompt:
“วิเคราะห์ข้อมูลนี้: [ใส่ข้อมูล]
ช่วยบอก insight, รูปแบบที่น่าสนใจ และสัญญาณเตือน
อธิบายให้แบบที่คนไม่รู้เรื่อง Data ก็เข้าใจ”
 ใช้ตอน: เจอข้อมูลเยอะ ๆ แล้วงง ให้ GPT แปลภาษายากให้เข้าใจง่าย
7. ฝึกสกิลใหม่ใน 30 วัน
Prompt:
“วางแผน 30 วันให้ฉันเก่งเรื่อง [ชื่อสกิล]
ขอแบบฝึกทุกวัน, จุดเช็กความก้าวหน้า และเป้าหมายที่วัดผลได้จริง”
ใช้ตอน: อยากเรียนอะไรใหม่ ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง






36
ชาเล้น 50>1000$ สัปดาห์ที่8
 “ถึงเป้าแล้ว…ทำไมต้องหยุด?”
มีใครเคยเป็นแบบนี้ไหม?
กำไรถึงเป้าแล้ว
แต่กราฟยังดูมีแรง
ใจเริ่มพูดว่า…
“ถ้าถืออีกหน่อยก็คูณสองเลยนะ”
ใช่ครับ…มันคือเสียงในหัว
เสียงของ “ความโลภ” ที่แต่งตัวมาในคราบ “โอกาส”
แต่รู้ไหม…
คนที่พอร์ตพังส่วนมาก ไม่ได้แพ้กราฟ
แต่แพ้ “ตัวเอง” ตอนที่ “ชนะแล้วไม่ยอมพอ”

 ทำไมเราควร “เคลียร์” แม้โอกาสจะยังดูไปได้ต่อ?
 1. เพราะตลาดไม่มีทางรู้ว่าเป้าคุณคือเท่าไหร่
แต่คุณต้องรู้ว่า “เมื่อไรคือพอสำหรับวันนี้”
 2. เพราะเมื่อเป้าถึงแล้ว ทุกกำไรต่อจากนี้ = ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
กราฟไปต่อได้จริง…แต่ถ้าหักกลับ จะหักจิตคุณมากกว่าเงิน
 3. เพราะการถอนเมื่อได้เป้า คือการ “ฝึกวินัย” ไม่ใช่การทิ้งโอกาส
และวินัยนี่แหละ ที่จะพาคุณรอดในวันที่ไม่มีโอกาสเลย
 4. เพราะตลาดไม่ได้ให้คุณรวยในวันเดียว
แต่มันให้โอกาสคุณ “อยู่รอด” และรวย “ในระยะยาว”

 สุดท้าย…กำไรไม่ใช่ความภูมิใจที่สุด
แต่การ “เอาชนะใจตัวเอง” ตอนชนะต่างหาก
ที่คือจุดเริ่มต้นของ “เทรดเดอร์ที่อยู่รอดได้จริง”
เคลียร์เมื่อถึงเป้า ไม่ใช่เพราะคุณกลัวพลาดโอกาส
แต่เพราะคุณ “เคารพตัวเอง” ที่ชนะอย่างมีระบบ

 ถ้าคุณเคยชนะ แต่พลาดเพราะไม่ยอมเคลียร์
หรือเคยลังเลเพราะอยากได้มากกว่า
ลองคอมเมนต์คำว่า “เคย” เพื่อบอกตัวเองว่า “ครั้งหน้าเราจะไม่ซ้ำรอย”

37
 ชาเล้น 50$ > 1,000$ สัปดาห์ที่ 7
แชร์วิธี “ออกลอต” ที่ผมใช้จริง + สไตล์การคิดที่พาผมไปถึงเป้า
คำเตือน: โปรดใช้วิจารณญาณ นี่ไม่ใช่โชค แต่คือเรื่องจริงที่เทรดเดอร์ต้องเจอ ต้องผ่าน ต้อง “เข้าใจ” ถึงจะชนะในแบบของตัวเองให้ได้

หลายคนคิดว่า “ชาเล้นแบบนี้ต้องสวยหรู”
แต่ความจริงคือ…
 • บางสัปดาห์ผมทำ 1,000$ ได้ใน 2 วันแรก
 • แล้ววันถัดมา…ลบ 300–500$ เพราะ “อยากได้เพิ่ม”
 • บางวันเริ่มใหม่จาก 50$ อีกครั้ง หรือ ตามภาพตัวอย่างกำไรเกินเป้าตั้งแต่ 3 วันแรกแต่ผมก็ทำมันหายไป
แต่ผม ไม่เคยเสียดาย
เพราะนี่คือ การฝึกทักษะ ไม่ใช่แค่การเอากำไรให้ได้รอบเดียวแล้วเลิก

 แนวคิดที่ผมใช้
1. อย่าคิดจะ MM ถ้าทุนเล็กมาก
MM ที่แท้จริงต้องแยกแบบนี้:
 • ทุนใหญ่: คุมด้วย lot
 • ทุนเล็ก: คุมด้วย “โอกาส” ไม่ใช่ตัวเลข
ผมเลือกแบบ 2: เล่นทุนที่เป็น “กำไรจากรอบก่อน” อย่างมีแผน

วิธีออกลอตแบบผม
รอบแรก: เข้าที่มั่นใจสุด 4 ไม้ (เข้าใจว่าถ้าแพ้ก็จบแค่ 50$)
รอบต่อมา: ถ้ากำไร → ปิด 2 ไม้ เก็บ 2 ไม้ไว้ต่อยอด (ถือแบบมีระบบ)
จังหวะดี: วันนึงมี 1–2 โอกาสที่พอ ทำแค่นั้น

 วิธีควบคุมอารมณ์
เมื่อเริ่มบวกติดกันหลายวัน
“ใจจะใหญ่” โดยไม่รู้ตัว
ผมมีคำถามเดียวที่ใช้เตือนตัวเองทุกไม้:
“เข้าด้วยแผน หรือเข้าด้วยอารมณ์?”
เพราะเมื่ออารมณ์นำ ทุกอย่างพัง

 สเต็ปสุดท้าย: วนลูปให้ได้ = ชนะในแบบของตัวเอง
เมื่อรู้ว่าทำไมเข้า / จะปิดตรงไหน / รออะไรต่อ
…ก็แค่ “รอเวลาให้กราฟทำหน้าที่ของมัน”
ไม่ต้องทำเพิ่ม ไม่ต้องยุ่งกับไม้ที่ยังไม่ถึงเวลา

 ฝากไว้สำหรับคนฝึก
 1. ไม่ต้องฝืนเทรน แค่ฝึกให้ชัดว่าคุณถนัดอะไร
 2. เข้าไม้แบบ “คิดเผื่อพลาด” ไม่ใช่หวังว่าจะถูกเสมอ
 3. ความสำเร็จ = mindset + ทักษะ + จังหวะที่ใช่
 4. ถ้าไม่ได้วันนี้ ก็ฝึกไว้ให้พร้อมสำหรับโอกาสครั้งหน้า

คุณพร้อมทำชาเล้นของคุณเองรึยัง?

พิมพ์ว่า “จะเริ่มฝึก” ถ้าคุณอยากเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อไปให้ไกลกว่าเดิม

38
“Mindset 8 ข้อ ที่ทำให้ผมปั้น 50 > 1000$ ได้ 8 สัปดาห์ติด”
หลายคนคิดว่า การทำชาเล้นแบบนี้ต้องใช้สูตรลับ เทคนิคซับซ้อน หรือเวลาเฝ้าหน้าจอทั้งวัน…
แต่สำหรับผม
80% คือ mindset และการวางแผนล่วงหน้า
20% คือ execution ที่แม่นยำ
และนี่คือ 8 แนวคิดที่ผมใช้จริงทุกสัปดาห์ จนรอดจากความผันผวนมาได้แบบมีระบบ

1. เริ่มจากแพ้ให้เป็น ก่อนจะชนะให้ได้
ผมไม่เคยกลัวที่จะเริ่มจากศูนย์ เพราะผมฝึกมาแล้วว่า “พอร์ตเล็กไม่ใช่ปัญหา แต่ความรีบร้อนคือศัตรู”

2. เป้าหมายใหญ่ ต้องแยกเป็นเป้าหมายเล็ก
ผมไม่เคยมอง 1000$ เป็นก้อนเดียว แต่ผมมองเป็น “100$ x 10 ครั้ง” และวางหมากแยกแต่ละวันให้จบตามรอบ

3. เลือกวัน “ไม่เทรด” ให้เป็น
เทรดทุกวันไม่ได้หมายความว่ามีกำไรทุกวัน
บางสัปดาห์ผมชนะเพราะ “ไม่เทรดในวันที่ไม่มีจังหวะ”

4. ราคาดี ≠ ราคาที่ใช่
ผมไม่เคยสนใจว่าได้ราคาถูกหรือแพง
สิ่งเดียวที่ผมสนคือ “ราคาระบบ” ที่ผมมั่นใจและคำนวณมาแล้ว
เข้าช้า ดีกว่าเข้าพลาด

5. เมื่อถึงเป้า ให้ปิดจอ
หลายครั้งที่ผมโดนลากเพราะ “โลภหลังเข้าเป้า”
ผมเลยสร้างกฎว่า “จบเป้า = ปิดจอ” ไม่ดู ไม่เฝ้า ไม่เสียดาย

6. พอร์ตโตได้ ถ้าใจไม่แกว่ง
ทุกการลาก การโดนล้าง มักเริ่มจากอารมณ์แกว่ง
ผมฝึกทุกวันให้ใจสงบก่อนเข้าไม้ — บางวันทำสมาธิ บางวันเขียนบันทึกก่อนเทรด

7. ยิ่งเทรดน้อย ยิ่งได้กำไรมาก
ผมเคยลองเทรดทั้งวัน ได้กำไรน้อยกว่าช่วง 10 นาทีแรก
วันนี้เลยใช้กฎ “1 คอมโบต่อวันพอ” ถ้าชัวร์พอ ก็ไม่ต้องเล่นเพิ่ม

8. อย่าหยุดฝึก แม้จะได้กำไรแล้ว
ทุกวันผมมี checklist ทบทวนว่า
 • แผนตรงไหม
 • เข้าเพราะระบบหรืออารมณ์
 • จุดไหนที่เสี่ยงเกินจำเป็น
นั่นทำให้ทุกสัปดาห์คือการฝึก ไม่ใช่แค่การทำเงิน

สรุป:
ชาเล้นนี้ไม่ใช่เรื่องโชค แต่มันคือการชนะตัวเองให้ได้ทุกวัน
ใครที่อยากเริ่มทำชาเล้น หรือเทรดอย่างมีวินัย ลองเลือกแนวคิด 1–2 ข้อไปปรับใช้ แล้วดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป

 ถ้าคุณมี mindset ข้อไหนที่ใช้ได้ผล ลองแชร์ไว้ในคอมเมนต์
หรือพิมพ์คำว่า “ชาเล้น” ถ้าอยากได้ตัวอย่างการวางแผนเทรดในแต่ละวันแบบที่ผมใช้จริง

39
วิธีเริ่มต้นทำช่อง Faceless + เสียง AI (Step-by-step)
1. เลือก "แนวช่อง" ที่ถนัดหรือคนสนใจ
 ตัวอย่างแนวที่ทำ Faceless ได้ดี:

สรุปหนัง / ซีรีส์

จิตวิทยา / พัฒนาตัวเอง

ประวัติศาสตร์ / ปรัชญา

คดีดัง / ปริศนา / เรื่องเล่า

ความรู้ทั่วไป (3 นาทีเข้าใจโลก)

2. ใช้ AI เขียนสคริปต์วิดีโอ
ใช้ ChatGPT หรือ Claude เขียนสคริปต์ง่ายๆ เช่น:
"ช่วยเขียนสคริปต์ YouTube ความยาว 2 นาที เรื่อง 3 เทคนิคสร้างนิสัยคนสำเร็จ"

 เคล็ดลับ: เขียนให้ สั้น กระชับ เหมือนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง

3. แปลงสคริปต์เป็นเสียงด้วย AI (Text-to-Speech)
เครื่องมือยอดนิยม:

ElevenLabs.io (เสียงสมจริงมาก)

Narakeet.com

Google Cloud TTS (ใช้งานฟรีเบื้องต้น)

 มีเสียงภาษาไทย/อังกฤษให้เลือกหลายแบบ
 เลือกเสียงที่ฟังแล้ว "น่าเชื่อถือ + สบายหู"

4. สร้างวิดีโอแบบไม่ต้องถ่ายเอง
 วิธีทำภาพประกอบวิดีโอ:

ใช้คลิปฟรีจาก Pexels / Pixabay

ใช้ Canva ทำภาพ + ตัวอักษร

หรือใช้ AI Video Generator อย่าง Pictory / InVideo

 ไม่ต้องสวยมาก ขอแค่ “ภาพเคลื่อนไหวสลับกับเสียง” ที่ดึงคนไว้ได้

5. ตัดต่อในแอปง่าย ๆ
แนะนำ:

CapCut (ฟรี + มีเทมเพลต)

VN Video Editor

หรือใช้ Canva ทำเป็น Slideshow แล้ว export

6. อัปโหลดลง YouTube
 อย่าลืมตั้งชื่อคลิปให้น่าสนใจ เช่น:

“3 สิ่งที่คนฉลาดทำทุกวัน”

“ถ้าขงเบ้งอยู่ยุคนี้…เขาจะสอนอะไรเรา?”

 ใส่คำอธิบายดี ๆ + Hashtag + ปกคลิป (Thumbnail) ให้สะดุดตา

7. เปิดสร้างรายได้เมื่อถึงเกณฑ์ YouTube Partner Program
ต้องมี:

ผู้ติดตาม 1,000 คน

ยอดชม 4,000 ชม.ใน 12 เดือน
หรือ

ยอดวิว Shorts 10 ล้านวิวใน 90 วัน

แล้วคุณจะเริ่มมีรายได้จากโฆษณา (AdSense)

 เคล็ดลับความสำเร็จ:
โพสต์สม่ำเสมอ (2-3 คลิป/สัปดาห์)

ปั้น Shorts ควบคู่เพื่อโตเร็ว

อ่านคอมเมนต์คนดู แล้วเอามาปรับเนื้อหา

อย่าเพิ่งสนใจรายได้ในเดือนแรก — โฟกัสที่ คุณภาพ + ความต่อเนื่อง ดูน้อยลง

40
ทำความเข้าใจกับการใช้งานไทม์เฟรม
ไทม์เฟรมเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเทรดเป็นอย่างมาก ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์หรือคาดการณ์ทิศทางของราคาในตลาดได้อย่างแม่นยำลดโอกาสการทเรดผิดทางลงไปได้มาก และ ยังช่วยให้ได้จุดเข้าออเดอร์ที่ราคาดี และ มีระยะ SL ที่แคบ แต่ปลอดภัย ตัวอย่างที่จะหล่าวต่อไปนี้ จะยกตัวอย่างกราฟในอดีตมาเป็นตัวอย่างราคากราฟได้เฉลยแล้วทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้ ✨แต่ในตอนท้ายบทยังมีตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟปัจจุบันที่เกิดขึ้น ณ.วันที่ทำบทความคู่มือนี้ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
จะเห็นได้ว่ายิ่งย่อไทม์เฟรมให้เล็กลงเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นการขึ้นลงของราคาได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น จากภาพล่างนี้ที่ M1 จะเห็นการขึ้นลงของราคาละเอียดมากทำให้เห็นการ Pullback ได้ชัดเจน ต้องไม่ลืมว่าการเทรดที่มีคุณภาพจะเทรดหลังจบ Pullback ใหม่ๆแล้วเท่านั้น เพื่อให้ได้จุดเข้าออเดอร์ที่ราคาดี และ ได้ SL ที่แคบแต่ปลอดภัย

EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL

41
กลไกการสร้างสภาพคล่อง
Liquidity Zone คือบริเวณที่มีคำสั่งสะสมจำนวนมาก เช่น SL หรือ Pending Orders ผู้เล่นรายใหญ่มักสร้างพฤติกรรมราคาให้สอดคล้องกับตำรา เพื่อดึงดูดคำสั่งจากรายย่อย แล้วใช้สภาพคล่องจากบริเวณนั้นในการผลักดันราคาไปตามทิศทางที่ต้องการ ในภาพล่างนี้ ไม่ได้กล่าวถึง Market Order ที่เกิดขึ้นหลังการ SL ของออเดอร์ เพราะได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ Order Flow ข้างต้น

ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาวิ่งชน SL ของ Sell ก็จะเกิด Market Buy ขึ้นมาโดยกลไกตลาด เพื่อขึ้นไปจับคู่กับ Sell Limit ที่ Supply zone ข้างบน ในขณะราคาชน SL ของ Sell ยังมีออเดอร์ Buy Stop ที่วางไว้บริเวณนั้นเปิดตามขึ้นมาด้วย ทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปเปิดออเดอร์ Sell Limit ที่ผู้เล่นรายใหญ่วางรออยู่ข้างบนได้โดยไม่ออกแรงมาก อาศัยแรงของการทำสภาพคล่องตามกลไกตลาดผลักราคาขึ้นไปสบายๆ
EQH EQL TLL
Liquidity Zone ขาขึ้น ในแต่ละช่วงของเทรนด์ก็จะมีการเข้ามาสร้างสภาพคล่องของผู้เล่นรายใหญ่ เพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ รูปแบบตามภาพล่างนี้มักจะขึ้นขึ้นบ่อยๆในเทรนด์ขาขึ้น การสร้างรูปแบบกราฟหลอกเพื่อทำให้รายย่อยรีบเข้าออเดอร์ก่อนโซนสำคัญ ในภาพโซนสำคัญคือ Demand Zone ข้างล่าง ผู้เล่นรายใหญ่ได้สร้างแนวรับหลอกไว้เหนือ Demand Zone เพื่อสร้างสภาพคล่องให้ราคาไหลลงไปหา Demand Zone โดยผู้เล่นรายใหญ่ได้แอบวาง Buy Limit รอไว้บริเวณ Demand Zone

EQH EQL TLL
Liquidity Zone ขาลง ในแต่ละช่วงของเทรนด์ก็จะมีการเข้ามาสร้างสภาพคล่องของผู้เล่นรายใหญ่ เพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ รูปแบบตามภาพล่างนี้มักจะขึ้นขึ้นบ่อยๆในเทรนด์ขาลง การสร้างรูปแบบกราฟหลอกเพื่อทำให้รายย่อยรีบเข้าออเดอร์ก่อนโซนสำคัญ ในภาพโซนสำคัญคือ Supply Zone ข้างบน ผู้เล่นรายใหญ่ได้สร้างแนวต้านหลอกไว้เหนือใต้ Supply Zone เพื่อสร้างสภาพคล่องให้ราคาไหลขึ้นไปหา Supply Zone โดยผู้เล่นรายใหญ่ได้แอบวาง Sell Limit รอไว้บริเวณ Supply Zone
EQH EQL TLL

42
ความสัมพันธ์ระหว่าง BoS กับ โซนราคา
การที่ราคาสามารถวิ่งทะลุ BoS ได้นั้นมันต้องมีแรงหรือพลังค่อนข้างมากผลักดันราคาให้สามารถวิ่งได้แรงๆจนทะลุ BoS ได้ และ แรงที่มีพลังเหล่านี้ก็คือโซนราคาสำคัญนั้นเอง เช่น Demand zone หรือ Supply zone อีกอย่างในบทความคู่มือนี้จะเรียกโซนสำคัญว่า Demand zone หรือ Supply Zone แทนที่จะเรียก Bullish Order Block หรือ Bearish Order Block ซึ่งอาจจะดูไม่คุ้นเคยเท่าไหร่

จริงๆแล้วทั้ง Demand & Supply หรือ Order Block มันก็คือโซนราคาที่ทำหน้าที่เป็นโซนแนวรับ และ โซนแนวต้าน เหมือนกัน ต่างกันที่ Order Block จะโฟกัสมองให้โซนแคบลงเท่านั้น โดย Demand & Supply จะมองโซนเป็นกลุ่มแท่งเทียนพักตัวสะสมกำลัง ส่วน Order Block จะมองโซนเป็นแท่งเพียง 1-2 แท่งเท่านั้น ทำให้ได้โซนที่แคบลง

ตัวอย่างการใช้งาน BoS และ ChoCH
ตัวอย่างการใช้งาน BoS และ ChoCH

43
BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS (Break of Structure) และ CHoCH(Change of Character) ราคาตลาดเคลื่อนไหวตามแรงซื้อหรือขายหลักหรือแนวโน้มหรือเทรนด์หลักในตลาดได้ไกล แต่ก็จะมีแรงวิ่งสวนทางแนวโน้มหลักเป็นช่วงๆ (Pullback) แต่วิ่งได้ไม่ไกลมาก การที่ราคาวิ่งสวนเทรนด์หลักเพราะเทรดเดอร์เก็บกำไรระยะสั้น และเรื่องของต้นทุนออเดอร์ในขณะที่ราคาวิ่ง และ ผู้เล่นรายใหญ่ทำการเก็บสภาพคล่องในจุดสำคัญๆ ทำให้ราคาไม่วิ่งตรง แต่เคลื่อนไหวเป็นรอบๆ คือวิ่งตามเทรนด์แล้วก็วิ่งสวนเทรนด์ เพื่อรักษาสมดุลในตลาด รูปแบบของการเคลื่อนที่ของราคาสามารถอธิบายได้ด้วย BoS และ CHoCH

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
CHoCH หรือ Change Of Character คือการเปลี่ยนทิศทางของโครงสร้างขณะนั้น ก็คือการกลับตัวของโครงสร้างขณะนั้นนั้นเอง CHoCH เกิดได้ในทุกๆเทรนด์หลัก และ ทุกเทรนด์ย่อยที่วิ่งสวนทางเทรนด์หลัก CHoCH ก็จะเป็นตัวบอกว่าโครงสร้างของเทรนด์ขณะนั้นได้กลับทิศทางแล้ว สมมุติเป็นเทรนด์ขาขึ้นราคาได้วิ่งขึ้นไป และ ได้เกิดการวิ่งสวนทางลงมา (Pullback) หากเราต้องการรู้ว่าราคาจะกลับตัวคืนทิศทางเดิม หรือ การจบการ Pullback เมื่อไหร่ โดยการดูว่าราคาขณะนั้นได้เกิด CHoCH ขึ้นหรือยัง เพื่อเป็นการยืนยันการกลับไปยังทิศทางเดิมคือขาขึ้น

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
✨ ในคู่มือการเทรด SMC ครั้งนี้เราจะเน้นมองหา สถานการณ์เมื่อราคากำลังเกิดการ Pullback คือราคาวิ่งสวนเทรนด์หลัก เราจะเน้นหา CHoCH ที่ทำลายโครงสร้างของ Pullback ที่ราคาวิ่งสวนเทรนด์นี้ ซึ่งส่งผลให้ราคาวิ่งกลับไปยังทิศทางตามเทรนด์หลักเหมือนเดิม ตรงจุดนี้แหละที่เราจะเข้าเทรดตามเทรนด์หลัก

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
Market Structure Shift หรือ MSS มักจะพบเห็นตามคลิปสอนการเทรด SMC จริงๆแล้วมันก็คือรูปแบบการเปลี่ยนเทรนด์นั้นแหละครับ เช่น จากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งมักแสดงออกผ่านสัญญาณ CHoCH (Change of Character) ที่บ่งชี้ว่าพฤติกรรมราคากำลังเปลี่ยนไป ในส่วนนี้ยกมาให้เห็นเฉยๆว่า มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเป็นแค่ชื่อเรียกเฉพาะบางกลุ่ม บางสำนักแค่นั้น บริบทของมันก็คือการเปลี่ยนเทรนด์นั้นเอง

Market Structure Shift

44
แนวรับ-แนวต้าน หัวใจของการทำกำไร
แนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance) ถือว่าเป็นเครื่องมือหลักของงานเทรดและเกิดขึ้นมานับร้อยปี แนวรับ-แนวต้าน เป็นเครื่องมือที่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับจิตวิทยาการเทรดได้เป็นอย่างดี ผู้เล่นรายใหญ่ก็อาศัยแนวรับ-แนวต้านนี่แหละเป็นตัวสร้างสภาพคล่องโดยการหลอกกอน SL ของรายย่อย แนวรับ-แนวต้านถือว่าเป็นเครื่องมือที่สุดคลาสสิกมากที่สุดในวงการเทรด เส้นค่าเฉลี่ยก็คือแนวรับ-แนวต้านที่โค้งงอไปตามราคาได้ เส้นเทรนด์ไลน์ก็คือแนวรับ-แนวต้านแบบเฉียง แม้แต่ Fibonacci ก็มองเป็นแนวรับ-แนวต้านได้เช่นกัน

ในสมัยก่อนแนวรับ-แนวต้านจะมองกันเป็นเส้นเดียว หรือ มองเป็นระดับราคาใดราคาหนึ่ง หรือ มองเป็นแบบโซนราคาระหว่างราคาหนึ่งถึงราคาหนึ่ง โดยมีหลักการมองว่า หากราคาเข้าไปทดสอบที่โซนราคานั้นหลายๆครั้งแล้วไม่ผ่านถือว่าโซนราคานั้นแข็งแรงมาก ซึ่งวิธีนี้เป็นการมองโซนราคาในภาพรวมกว้างเป็นหลัก ต่อมาก็มีการคิดค้นการมองโซนราคาที่มีนัยยะสำคัญซ้อนเร้นอยู่เป็นการมองโซนราคาในระยะใกล้ โดยมีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปว่า หากราคาเข้ามาทดสอบครั้งแรกแล้วราคาดีดออดจากโซนไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองหรือสาม หากราคาเข้ามาทดสอบหลายๆครั้ง โซนราคานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอ สุดท้ายก็ทะลุไปได้ โซนราคาพวกหลังนี้ได้แก่ Demand Supply หรือ Order Block ซึ่งเป็นการมองโซนราคาในระยะแคบ

การมองพฤติกรรมของราคากับแนวรับ-แนวต้านจะเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบคือ
1. การกลับตัวของราคา (Reversal)
2. การทะลุไปต่อของราคา (Breakout)

ซึ่งทั้งสองรูปแบบมันก็คือการบ่งบอกว่าเมื่อราคาไปทดสอบที่แนวรับ-แนวต้าน จะต้องเกิดปฎิกริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเป็นจุดหรือโซนที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้เป็นบริเวณที่จะเข้าเทรด ก็ถือได้ว่าเป็นการเทรดตามระบบอีกแบบหนึ่ง อย่างน้อยๆคือไม่ได้เทรดมั่วๆแบบไม่มีหลักยึด



โครงสร้างราคา
โครงสร้างราคา (Market Structure) โครงสร้างราคาเป็นตัวหลักสำคัญที่สามารถอธิบายให้เห็นภาพพฤติกรรมของราคาได้เป็นอย่างดี จะทำให้เรารู้ว่าจะเข้าเทรด Buy หรือ Sell ที่บริเวณไหนที่มีโอกาสจะสามารถทำกำไรได้สูง โอกาสขาดทุนน้อย โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า โครงสร้างราคาตามทฤษฎีดาว (Dow Theory) เทรดเดอร์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพการเทรดจะปฎิเสธที่จะไม่ศึกษาเรื่องโครงสร้างราคาไม่ได้เลย หากปฎิเสธโครงสร้างราคาก็ไม่ต่างกับการหลับตาขับรถซึ่งมีความเสี่ยงที่สูงมาก

กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC

45
เทคนิค SMC ดีอย่างไร

 เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคตามแนวคิด Smart Money Concept (SMC) เท่านั้น มิได้มีเจตนาเพื่อชักชวน แนะนำ หรือเสนอให้ลงทุนหรือซื้อขายสินทรัพย์ใด ๆ ทั้งสิ้น


SMC (Smart Money Concept) คือแนวคิดการเทรดที่วิเคราะห์พฤติกรรมของ "Smart Money" หรือนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด โดยพวกเขามักสร้างความผันผวนเพื่อกิน SL (Stop Loss) ของรายย่อยก่อนจะดันราคาไปทิศทางที่ต้องการ การเข้าใจ SMC จะช่วยให้เราเลี่ยงการเป็นเหยื่อ และสามารถเทรดทำกำไรไปพร้อมกับ Smart Money ได้ เทคนิคการเทรดในบทนี้สามารถนำไปใช้เทรดได้กับทุกๆแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น MT4 ,MT5 ,cTrader ,NinjaTrader ,TradingView


SMC คือเทคนิคการเทรดที่สื่อสารโดยตรงกับตลาด เป็นเทคนิคที่แม่นยำมากที่สุด เป็นเทคนิคที่ไม่มีสัญญาณหลอกใดๆ นอกจากเราหลอกตัวเอง เป็นเทคนิคที่สร้างความได้เปรียบในการทำกำไร เพราะเป็นการเทรดตามเจ้าของตลาดโดยตรง

เพื่อให้การใช้งาน ระบบเทรด SMC PRO มีประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพื้นฐานของเทคนิคการเทรดด้วย SMC ก่อน จึงได้จัดทำคู่มือนี้ขึ้นมาท่านสามารถนำเอาเทคนิคที่นำเสนอนี้ไปใช้เทรดได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ระบบเทรดก็ได้เช่นกัน


Order Flow กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
Order Flow คือกลไกการไหลของคำสั่งซื้อขายในตลาด ที่ช่วยรักษาสมดุลระหว่างฝั่ง Buy และ Sell เปรียบเสมือนการเดิมพัน ที่ถ้าฝั่ง Buy เปิด 500 Lot ก็ต้องมีฝั่ง Sell รับ 500 Lot เท่ากัน ออเดอร์ฝั่งหนึ่งหายไปจากการ SL/TP/Close ก็จะเกิดออเดอร์ฝั่งตรงกันข้ามขึ้นมาทดแทน เพื่อให้ตลาดเกิดสภาพสมดุล และ เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น การสมดุลของแรงซื้อและแรงขายจึงเป็นหัวใจสำคัญของตลาดเทรด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นักเทรดรายย่อยส่งคำสั่งผ่านโบรกเกอร์ โบรกก็ส่งต่อไปยังธนาคารหรือผู้ให้สภาพคล่องที่โบรกคุยงานกันอยู่ พวกธนาคารกับสถาบันใหญ่เหล่านี้จะมีระบบจับคู่คำสั่งซื้อขายระหว่างสถาบันการเงิน ซึ่งกระจายอยู่หลายจุดทั่วโลก คำสั่งซื้อขายจะถูกจับคู่กันในระบบระหว่างสถาบันการเงินเหล่านี้ ทำให้เกิดการซื้อขายขึ้นจริง และราคาก็ขยับไปตามความต้องการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระบบนั้นเอง หรือ จะเรียกได้ว่าเป็นการเทรดระหว่างสถาบันการเงินก็ไม่ผิด

จากขั้นตอนซื้อขายที่ต้องส่งผ่านเป็นทอดๆไปสุดที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ จึงเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมผู้เล่นรายใหญ่จึงรู้ว่าตอนนี้มีปริมาณออเดอร์ Buy หรือ Sell อยู่บริเวณนั้นเท่าไหร่ ต้องการเพิ่มอีกเท่าไหร่ เพื่อจะได้ทำการสร้างสภาพคล่องได้ตามจำนวนที่ต้องการ

การเข้าใจ Order Flow ทำให้เรามองเห็นเหตุผลของการทำ Liquidity Sweep คือการกวาด SL เพื่อสร้างสภาพคล่องในตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งช่วยให้เราคาดการณ์ ทิศทางราคาล่วงหน้า ได้อย่างแม่นยำ เพราะเข้าใจแรงซื้อขายและการจัดการสภาพคล่องจริงในตลาด

Market order คือออเดอร์ที่เปิดจริงไม่ใช่ Pending Order ถ้าเราเปิดออเดอร์เอง Market order ก็จะเป็นออเดอร์ของเรา แต่หากออเดอร์ของเรา SL หรือ TP ก็จะเกิด Market order ฝั่งตรงกันข้ามที่โอนไปเป็นของคนอื่นที่จะถูกจับคู่ต่อไป

สำหรับเรื่องของ Order Flow นี้เป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยาก แต่หากเข้าใจได้ก็ถือว่าดีจะทำให้อ่านเกมของผู้เล่นรายใหญ่ได้แม่นยำมากขึ้น แต่หากไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรสามารถข้ามไปได้

กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC



46
ส่วนที่ 1: แนะนำ 5 โปรแกรมช่วยแต่งกลอนด้วย AI
1. ChatArt【ยอดนิยม】
2. AI Poem Generator
3. PoemGenerator.io
4. DeepAI
5. ChatGPT

47
Forex / Re: สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« เมื่อ: 22/05/25 »
1. Mark Minervini – เจ้าพ่อ SEPA System
คนนี้คือสายเป๊ะทุกจุด เขาใช้ระบบที่เรียกว่า SEPA (Specific Entry Point Analysis) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำสุดๆ
หุ้นที่เขาชอบจะต้องมีแนวโน้มขาขึ้นแรงแบบ “Super Performance” และต้องมีแรงซื้อมากพอ (วอลุ่มต้องมาด้วย)
Minervini เน้นทั้งพื้นฐานและเทคนิค แต่จะเข้าเทรดเฉพาะจังหวะที่ “คอนเฟิร์มชัดเจน” เท่านั้น
เรียกได้ว่า ถ้ายังไม่ชัวร์ – ไม่เข้าเด็ดขาด
2. David Ryan – ลูกศิษย์สายตรงของ William O’Neil
Ryan เทรดตามระบบ CAN SLIM โดยใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคแบบกลมกล่อม
เขาจะรอรูปแบบราคาที่ชัดเจน เช่น Cup with Handle, Flat Base ก่อนเข้าเทรด
สิ่งที่ไอชอบในสไตล์เขาคือ “ความอดทน” เขาไม่เร่ง ไม่รีบ รอแผนมาอย่างเดียว
และพอหุ้นเริ่มวิ่งปุ๊บ ก็พร้อมถือยาวเพื่อดึงกำไรให้มากที่สุด
3. Dan Zanger – เทพกราฟตัวจริง
ถ้าใครเป็นสายเทคนิคแบบไม่สนปัจจัยพื้นฐานเลย คนนี้คือไอดอล
Zanger เทรดด้วยการอ่านกราฟ 100% ใช้ pattern แบบคลาสสิก เช่น Head & Shoulders, Flag, Pennant, Cup & Handle
เขาถือหุ้นสั้น แต่เข้าหนัก และกล้าหมุนพอร์ตไวมาก
จุดแข็งของเขาคือ อ่านพฤติกรรมราคาได้เฉียบขาด แล้วกล้าลุยเมื่อเห็นโอกาส
4. Mark Ritchie II – นักคิดสายจิตวิทยา
Ritchie ไม่ได้เน้นรูปแบบการเทรดมากเท่าคนอื่น แต่เขาเก่งเรื่อง การจัดการความเสี่ยงและ mindset
เขามองว่า การอยู่รอดในตลาดสำคัญกว่ากำไรแบบหวือหวา
เน้นบริหารพอร์ตให้ยั่งยืน และวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นเพื่อปรับตามสภาวะตลาด
ถ้าพี่ๆ เคยรู้สึก “วุ่นวายใจตอนเทรด” หรือ “ไม่มั่นใจเวลาเจอ drawdown” ลองศึกษามุมมองของ

48
Forex / สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« เมื่อ: 22/05/25 »
สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
1. ขนาดการเทรด (Position Sizing)
“ไม่ใช่แค่เทรดถูกทาง แต่ต้องขนาดถูกด้วย”
- ขนาดการเทรด (position size) คือจำนวนเงินที่เราต้องจัดสรรให้กับออเดอร์หนึ่งๆ ซึ่งจะกำหนด ระดับความเสี่ยง โดยตรง
- เทรดเดอร์ระดับโลกอย่าง Mark Minervini แนะนำว่า อย่าเสี่ยงเกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- หากเจอโอกาสที่มั่นใจมาก เช่น เบรกเอาท์จากฐานที่แน่นด้วย Volume สูง อาจเพิ่ม position size ขึ้น
- ส่วนสำคัญคือ “ไม่เพิ่มขนาดการเทรดในเทรดที่แพ้” ต้องเพิ่มเฉพาะตอนที่ “ตลาดเป็นเทรนด์”
เคล็ดลับ: เริ่มต้นออเดอร์เล็กๆก่อน เพื่อทดสอบตลาด แล้วค่อยเพิ่มขนาดเมื่อแน่ใจ
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
“อย่าฟังข่าว ให้ดูกราฟ”
- นักเทรด Momentum เชื่อมั่นในการดู พฤติกรรมของราคา (price action) และ ปริมาณ (volume)
- มองหาสัญญาณอย่าง Breakout (ราคาทะลุแนวต้าน) หรือ Pullback ในขาขึ้นที่มีลักษณะ Bullish Flag หรือ Cup & Handle
- Base ที่แน่น ซึ่งเป็นการสะสมหุ้นของรายใหญ่
- ใช้เครื่องมือเช่น Moving Average, Relative Strength, Volume, MACD เพื่อตรวจสอบแรงส่งของราคาที่เกิดขึ้น
เคล็ดลับ: กราฟคือภาพสะท้อนทุกอย่าง แม้ข่าวยังไม่ออก ราคาก็วิ่งไปแล้ว
3. ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamentals)
“โมเมนตัมที่ดี มักตามมาด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง”
- ถึงจะเน้นเทคนิค แต่นักเทรดหลายคนยังใช้ปัจจัยพื้นฐานช่วยกรองหุ้นที่ “มีของ”
- พิจารณา:
- EPS (กำไรต่อหุ้น) โตต่อเนื่อง
- รายได้โตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรม
- อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแรง
- หนี้สินต่ำ และ ROE สูง
- หุ้นเติบโต (growth stocks) ที่มีพื้นฐานดี มักให้โมเมนตัมการเติบโตที่ยาวนาน
เคล็ดลับ: ใช้พื้นฐานกรองหุ้น แล้วใช้เทคนิคเลือกจังหวะเข้า


4. สภาวะตลาด (General Market)
“รู้ตัวว่าเล่นอยู่ในเทรนด์อะไร แล้วเทรดให้ถูกจังหวะ”
- ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หากตลาดโดยรวมอยู่ในเทรนด์ขาลง การเทรดฝั่ง Long ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง
- Momentum Traders
- จะดูภาพใหญ่ผ่านดัชนีเช่น S&P500, Nasdaq
- สังเกต breadth เช่น จำนวนหุ้นที่ทำ New High vs. New Low
- หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดตอนที่ตลาดแกว่งแรงหรือขัดแย้งกันหลาย Timeframe
เคล็ดลับ: เทรดเฉพาะตอนที่ตลาดสนับสนุน ไม่ฝืนกระแสใหญ่
5. เกณฑ์การเข้าซื้อ (Entry Criteria)
“เข้าเมื่อทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน”
- นักเทรดระดับโลกมี “เกณฑ์เข้าเทรดที่ตายตัว” และไม่ยอมละเมิด
- ตัวอย่าง entry:
- ราคาทะลุแนวต้านหลังสร้างฐานที่แน่น
- Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไม่มีแรงขายสวนหรือเกิดแท่ง red candle ใหญ่ระหว่าง breakout
- บางคนรอให้ “เบรก” แล้ว “ย่อกลับมาทดสอบ” เพื่อความปลอดภัย
เคล็ดลับ: อย่าเดา อย่าเร่งจังหวะ รอให้สัญญาณเกิดจริง
6. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
“เงินทุนคือกระสุน อย่าใช้เปลืองถ้าไม่ได้เป้า”
- ตั้ง Stop loss ทุกครั้ง โดยคิดจาก % ความเสี่ยงของพอร์ต
- อย่าถัวเฉลี่ยขาดทุน! เทรดเดอร์ Momentum จะเพิ่มเฉพาะหุ้นที่กำลังทำกำไรเท่านั้น
- ใช้ R-multiple หรือ Reward:Risk Ratio เช่น ต้องอย่างน้อย 2:1
- คำแนะนำจาก Minervini: “เทรดให้ชนะ 50% แต่มี R มากกว่า 2 ก็พอรอดได้แล้ว”
เคล็ดลับ: รอดก่อนรวย อย่าเสี่ยงถ้าไม่มีโอกาสใหญ่
7. การบริหารการเทรด (Trade Management)
“การเข้าถูกทางไม่พอ ต้อง ‘ถือเป็น’ ด้วย”
- จัดการสถานะอย่างมีระบบ เช่น
- เมื่อกำไร 20–30% ให้ย้าย SL ตาม
- แบ่งขายบางส่วนเมื่อถึงเป้าแรก
- ถืออีกบางส่วนเพื่อเล่น trend ใหญ่
- หากราคากลับตัวแรงหรือมีสัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ ต้องพร้อมขายทิ้งทันที
เคล็ดลับ: ไม่ปล่อยให้ขาดทุนย้อนกลับมา บริหารแบบนักธุรกิจ
8. จิตวิทยาการเทรด (Psychology)
“ใจที่แกว่ง คือพอร์ตที่ร่วง”
- เทรดเดอร์ที่ดีต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
- ไม่โลภตอนกำไร
- ไม่กลัวตอนเข้าเทรด
- ไม่แก้แค้นตอนขาดทุน
- ฝึกวินัย เช่น เขียนบันทึกการเทรด สรุปบทเรียน
- พัฒนาความมั่นใจจาก “แผนที่ใช้ได้จริง” ไม่ใช่ความรู้สึก
เคล็ดลับ: ชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ กำไรก็อยู่แค่เอื้อม
9. สรุปรวมความคิด (Integrated Thinking)
“ระบบดี + จิตใจมั่นคง + บริหารความเสี่ยงได้ = เทรดเดอร์มือโปร”
- ความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่จุดเข้า แต่คือ “กระบวนการที่ครอบคลุมทุกด้าน”
- การเทรดแบบ Momentum ต้องมีระบบที่ทดสอบได้
- วินัยในการทำซ้ำ
- ความเข้าใจตลาดในเชิงลึก
- เทรดเดอร์ที่สำเร็จจะคิดเป็นระบบ (System Thinking) ไม่ทำตามอารมณ์ หรือความรู้สึกชั่ววูบ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้เข้าใจการเทรดนะครับ
แต่ยังช่วยให้ “เรารู้จักตัวเอง” มากขึ้นด้วยว่าเราชอบแบบไหน เหมาะกับสไตล์ใคร
สุดท้าย…ไม่มีสไตล์ไหนดีหรือแย่กว่า แต่อยู่ที่ว่า “เราคุมมันได้มั้ย” ต่างหากครับ
ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ แล้วชอบ คอมเม้นท์

49
แพ้แต่ไม่พัง ทำไม SL จึงไม่ใช่ความล้มเหลว
พี่ๆเคยเจอกันบ้างไหมครับ
เวลาไม้ที่ตั้งใจวางแผนดีๆ แล้วมันไม่เป็นไปตามที่คิด
แทนที่ราคาจะวิ่งไปทาง TP กลับพุ่งไปโดน SL เฉยเลย
บางครั้งมันก็แค่ ผลลัพธ์มันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดไว้เลย
แต่กระบวนการคิด กระบวนการวางแผน เราทำมันถูกต้องหมดแล้วนะครับ
เมื่อเรา SL ไม่ได้แปลว่าเราพลาด แต่มันคือราคาที่ต้องจ่าย เพื่อจะเข้าใจตลาดมากขึ้น
แผนนึงที่ไอเคยเข้าไว้ ใช้ divergence MACD ยืนยันชัดเลย
ราคาก็เข้าโซนที่มองไว้เป๊ะ
เข้าไม้ไปแบบมั่นใจมาก
สุดท้ายก็โดน SL แล้วราคาก็วิ่งขึ้นต่อเหมือนไม่แคร์เราเลย
ตอนนั้น ยังจัดการอารมณ์ได้ไม่ดีพอ อารมณ์มาเต็ม
แต่พอไอหยุดคิด ไอก็ถามตัวเองกลับว่า
- แผนที่วางมันมีเหตุผลมั้ย?
- จุดเข้าโอเคมั้ย?
- SL อยู่ตรงไหน? ตามระบบจริงๆหรือเปล่า?
สุดท้ายคำตอบคือ มันก็โอเคทั้งหมดนั่นแหละครับ
แค่ตลาดมันไม่ไปทางที่เราอยากให้ไปเท่านั้นเอง
คนที่อยู่รอดในตลาด ไม่ใช่คนที่ไม่แพ้เลย
แต่เป็นคนที่ “แพ้เป็น”
เพราะยังไงเราก็หนี SL ไม่ได้อยู่ดี
มันคือส่วนหนึ่งของเกมนี้
อยู่ที่ว่าเราจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ หรือจะหยิบมันมาคิด แล้วเก็บไว้เป็นบทเรียน
สำหรับไอ ไอเลือกอย่างหลัง
ไอเก็บทุกไม้แพ้ไว้ใน journal
ไม่ใช่แค่เพื่อจำ แต่เพื่อเข้าใจมันให้มากขึ้น
ชนะไม่ได้แปลว่าเราเก่งเสมอไป แพ้ก็ไม่ได้แปลว่าเราแย่
บางไม้ที่ชนะ มันเกิดจากดวง
บางไม้ที่แพ้ มันเกิดจากการวางแผนที่ดี แต่แค่กราฟไม่เป็นใจ
แล้วเราจะเอาผลลัพธ์มาตัดสินคุณค่าตัวเองทำไม ถูกมั้ยครับ?
สิ่งสำคัญกว่ากำไร คือ การอยู่ให้รอด และอยู่ให้ได้นาน
แต่ถ้าเราเสียใจกับไม้เดียวจนไม่กล้ากลับมาใหม่ อันนั้นต่างหากที่น่าเสียดาย
เพราะบางที บทเรียนที่เราต้องการที่สุด อาจซ่อนอยู่ในไม้ถัดไปก็เป็นได้ครับ อาจจะเป็นแผนที่ทำให้เราตกผลึกอะไรบางอย่าง
สุดท้ายไออยากจะบอกว่า อย่ากลัวแพ้
ทุกไม้ที่เข้า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ มันมีบทบาทของมันเสมอ
บางไม้ให้กำไร บางไม้ให้บทเรียน
แต่ถ้าเราไม่หยุดเรียนรู้ ไม่เลิกเชื่อในเส้นทางของตัวเอง
วันหนึ่ง พี่ๆจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ไม่ใช่เพราะโชคช่วย
แต่เพราะพี่ๆ “กล้าเดินต่อ” ในวันที่หลายคนยอมแพ้


50
วิธีการ vs มายด์เซ็ทในการเทรด
– มีแค่เทคนิคดีเพียงพอไหม? หรือจิตใจต้องพร้อมด้วย?
“ทำไมเราเทรดระบบเดียวกันเป๊ะๆ แต่บางคนล้างพอ์รต บางคนกลับทำกำไsได้?"
ถ้าเราเคยถามคำถามนี้กับตัวเอง ไออยากบอกว่า พี่ไม่ได้ล้มเหลวซะทีเดียว แต่ยังขาดคุณสมบัติบางอย่างที่เทรดเดอร์มืออาชีพ....ต้องมีให้ครบ
คำถามที่ตามมาด้วยคำตอบในบทความนี้ จะเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกการเทรดและมุมมองของเราไปเลย..
คำตอบคือ → เทรดให้สำเร็จไม่ได้อยู่แค่ “How to ” หรือวิธีการเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมาพร้อมกับ “Mindset” หรือทัศนคติที่ถูกต้องด้วย
เพราะการเทรดคือ “เกมของนักคิด” ไม่ใช่ “เกมของนักเดา”
พี่ๆ ลองนึกภาพดู…
How to (วิธีการ) = กระบี่ที่โคตรคม
Mindset (วิธีคิด) = นักดาบที่ตวัดกระบี่นั้น
ถ้าพี่ถือดาบดีสุดในโลก แต่ไม่มีวินัย ไม่มีกึ๋น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรฟัน เมื่อไหร่ควรรอ หรือเองแม้กระทั่งเมื่อไหร่ควรหยุด สุดท้ายก็แพ้ให้กับคนที่มีดาบธรรมดาแต่ฝึกฝนมาอย่างหนักอยู่ดี..
"กระบี่อยู่ที่ใจ แม้นไม้ไผ่ก็ไร้เทียมทาน"
การเป็นเทรดเดอร์ก็เหมือนกัน
- มีระบบดีแต่ขาด Mindset → พอร์ตพังเพราะใจไม่นิ่ง
- มี Mindset ดีแต่ขาดระบบ → พอร์ตไม่โต เพราะไม่มีหลักการ ขาดความสามารถในการทำซ้ำ
- มีทั้งสองอย่าง → นี่คือเทรดเดอร์ที่อยู่รอดและกำไร
 ทำไมคนบางคนเทรดกำไsได้ต่อเนื่อง แต่บางคนล้างพอร์ตตลอด?
 เคยสงสัยไหมว่า…
- ทำไมบางคนแม้เทรดแย่ แต่พอร์ตไม่ล้าง?
- ทำไมบางคนเก่งเรื่องกราฟ แต่สุดท้ายก็หมดตัว?
...คำตอบคือ พวกเขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน
คนที่กำไรได้… ไม่ใช่เพราะพวกเขา “รู้มากกว่า” แต่เพราะพวกเขา “คิดต่างกว่า”
ไออยากให้พี่ๆ ลองเปลี่ยนมุมมอง
เลิกคิดว่า → “ต้องเทรดชนะทุกไม้”
เปลี่ยนเป็น → “ต้องอยู่รอดให้ได้ในเกมระยะยาว”
คนที่รอดในตลาด ไม่ใช่คนที่เทรดเก่งที่สุด… แต่คือคนที่ “ปรับตัวเก่งที่สุด” ในวันที่ตลาดไม่เป็นใจ เขาแพ้ศึก แต่ชนะสงครามในระยะยาว เพราะเมื่อชนะ จะได้มากกว่าตอนแพ้เสมอ (RRR)
HOW – เทรดยังไงให้ได้กำls?
พี่ๆ เคยเห็นไหม? บางคนมีสูตรเทพ มีระบบที่ดี แต่ยังขาดทุน… เพราะอะไร?
เพราะพวกเขา “ขาดความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ”
1. วิเคราะห์ตลาดให้เป็น (Market Analysis)
พี่ๆ เคยเดาตลาด แล้วผิดทางกันไหมครับ?
เทรดเดอร์ที่ดี ไม่ใช่คนที่ทำนายอนาคตเก่ง แต่คือคนที่อ่านปัจจุบันได้แม่น
วิธีการที่ไอมักใช้ในการดู Market Structure
Smart Money Concept (SMC) และ Volume Profile
ตัวอย่างจริง
กลยุทธ์ที่ไอใช้บ่อยๆ หลักๆจะต้องหาโซน Demand,Supply ของ HTF ก่อนเสมอ เช่นเรารู้ว่าโครงสร้างราคาปัจจุบันเป็น SW ไอมาร์คจุดไว้ เพื่อรอการ CHoCH ใน LTF
ตอนนั้นราคาได้ขึ้นมาทดสอบโซน Supply HTF มีการ CHoCH ใน LTF และกลับมาทดสอบ Order block อีกครั้ง จึงตัดสินใจเข้าออเดอร์ตามแผน … โป๊ะ! ราคากลับตัวลงตรงจุดนั้นพอดี
เพราะการวิเคราะห์ตลาดที่ถูกต้องทำให้ไอเทรดแบบ “เห็นภาพ” ไม่ใช่เดา
2. ควบคุมความเสี่ยง (Risk Management)
“ไม่มีใครรวยจากไม้เดียว แต่มีหลายคนหมดตัวจากการขาดทุนเพียงครั้งเดียว
สิ่งที่ไอทำ:
✔ Risk-to-Reward Ratio (RRR) ไม่น้อยกว่า 1:2 หรือ 1:3
✔ ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อออเดอร์
✔ ตั้ง Stop Loss (SL) ชัดเจน ไม่ดื้อเด็ดขาด
บทเรียนจากประสบการณ์
ไอเคยคิดว่า “ไม้สุดท้ายนี้แหละ ชัวร์ ถูกทางแน่นอน!” แต่ตลาดไปคนละทางเลย แล้วเลื่อน SL หนี … ผลคือ ล้างพอร์ต  = เพราะตลาดไม่เคยสนใจว่าเราคิดอะไร
3. เทรดตามแผน ไม่เทรดตามอารมณ์ (Trading Plan)
“พอร์ตส่วนใหญ่ไม่ได้ล้างเพราะระบบไม่ดี แต่มันล้างเพราะเจ้าของพอร์ตใจไม่นิ่ง”
ไอเคยเริ่มวันด้วย -100$ แล้วหัวร้อน เทรดต่อไปเรื่อยๆ … สุดท้าย -1,000$
สาเหตุมาจากขาดการคุมอารมณ์ คุมอารมณ์ไม่ได้ = อารมณ์เข้ามาเทรดแทน
MINDSET – จิตวิทยาการเทรดจึงสำคัญกว่าที่คิด
พี่ๆ เคยรู้สึกมั้ย?
- มีระบบเทรดดีๆ แต่พอร์ตไม่โต?
- บางวันกำไs บางวันพอร์ตพัง เพราะ “อารมณ์ล้วนๆ”
- เวลาเสีย มักจะรีบเข้าไม้ใหม่เพราะอยากถอนทุนคืน
- เวลาได้กำไร ก็กลัวเสียคืน เลยปิดเร็วเกินไป
ถ้าเคยเจอแบบนี้ ไอว่า “ปัญหาอาจไม่ใช่ที่ระบบ แต่เป็นที่ MINDSET”
ถ้าคุณกำลังเป็นแบบนี้อยู่ มาเรียนรู้เคล็ดลับจิตวิทยาการเทรด ที่ช่วยให้พอร์ตเติบโตได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู
ทำไมเทรดเดอร์ถึงพังเพราะจิตวิทยา?
ไอยกตัวอย่างง่ายๆ…
พี่ A มีระบบที่แม่น 80%
แต่พอเจอ 3 ไม้ติดลบ เริ่มลังเล เปลี่ยนระบบใหม่ พอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายพอร์ตไม่ไปไหน
พี่ B ได้กำไsอยู่ดีๆ
แต่พอเห็นกราฟยังวิ่งต่อ ก็เข้าเพิ่มเพราะ “เสียดายโอกาส” สุดท้ายโดนลากกลับมาขาดทุน
พี่ C ตั้ง Stop Loss ไว้แล้ว
แต่พอราคาวิ่งใกล้ๆ กลับขยับ SL หนี เพราะ “คิดว่าเดี๋ยวมันเด้ง” สุดท้าย สลิปเพจ ปลิว ไปเลย
ไอถามพี่ๆ… ปัญหาคือระบบ หรือจิตใจ?
ใช่แล้วครับ มันคือจิตใจ ไม่ใช่ระบบ!
แล้วเทรดเดอร์ที่รอด เขาคิดยังไง?
- พวกเขาเข้าใจว่า การแพ้เป็นส่วนหนึ่งของเกม
- พวกเขาโฟกัสที่กระบวนการ ไม่ใช่แค่กำไรขาดทุน
- พวกเขามีวินัย ทำตามแผนเสมอ
ไอรู้จักพี่เทรดเดอร์คนหนึ่งที่ทำกำไรได้ทุกปี เพราะเขา “ไม่สนว่าออเดอร์นี้จะชนะหรือแพ้” แต่เขา “สนใจว่า 100 ออเดอร์ผลรวมแล้ว เขายังทำกำไs ได้หรือเปล่า?”
แนวคิดนี้จึงเป็นนี่ความแตกต่างระหว่างผีพนัu vs. เทรดเดอร์ตัวจริง
แล้วพี่ๆ จะสร้าง MINDSET เทรดเดอร์ยังไงดี?
1. ฝึกมองเทรดเป็น % ของพอร์ต ไม่ใช่เงินสด
ถ้าพอร์ต 1 ล้าน แล้วเสีย 1% = ขาดทุนแค่ 10,000 บาทแต่ถ้าคิดว่า “เฮ้ย! 10,000 หายไปแล้ว” ความกลัวจะครอบงำ
2. เทรดตามแผน ไม่ใช่ตามอารมณ์
กำไร = เก็บไปตามระบบ
ขาดทุน = ปิดแล้วไปต่อ ไม่ต้องแก้แค้นตลาด
3. หยุดเทรด ถ้าหัวร้อน!
พอร์ตไม่หายไปไหน แต่ถ้าอารมณ์พังก่อน = พอร์ตหายแน่
4. คิดแบบ “เจ้ามือ” ไม่ใช่ผีพนัu
ถ้าพี่เป็นเจ้ามือคๅสิโน (House) พี่จะไม่สนว่าคืนนี้ใครชนะ ใครจะllจ็กwoตแตก แต่จะสนว่า “สุดท้ายระยะยาว ตัวเองกำไsหรือเปล่า?” และแน่นอนครับสุดท้ายเจ้ามือชนะเสมอ เพราะเขามีระบบ และปล่อยให้ระบบทำงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ ไม่ปล่อยให้สภาวะอารมณ์เข้ามาเกี่ยว
สรุป
Mindset ที่ดี = พอร์ตที่โตได้จริงครับ
แต่อย่าลืมว่า “การเทรดคือเกมระยะยาว” คนที่แพ้คือคนที่คุมอารมณ์ไม่ได้ แต่คนที่รอดคือคนที่ “เล่นตามกฎของตัวเองได้ตลอด”
พี่ๆ เคยมีโมเมนต์ที่รู้สึกว่า “ถ้าวันนั้นควบคุมอารมณ์ได้ ป่านนี้พอร์ตคงไม่พัง” มั้ย? หรือเคยเจอจังหวะที่ตลาดทดสอบจิตใจสุดๆ แล้วฝืนไม่ทำตามแผน สุดท้ายพังไปเอง?
ถ้าเคยละก็ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยน เพราะเราไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่จากการกระทำแบบเดิมๆ ได้..
ขอให้โชคดี มีวินัยครับผม
______________________
 สำหรับไอ คำขอบคุณที่มีความสุขที่สุด ไม่ใช่แค่การกดไลค์หรือคอมเมนต์บอกว่า “ขอบคุณนะ” แต่คือการที่พี่ๆ มาแชร์ โมเมนต์การเทรด ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่พลาด หรือช่วงที่เอาชนะความกลัวของตัวเองได้
เพราะทุกเรื่องราวที่พี่ๆ แชร์ ไม่ใช่แค่บทเรียนของตัวเอง แต่ยังช่วยให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ไออยากฟังว่าพี่ๆ เคยเจออะไรบ้าง แล้วผ่านมันมาได้ยังไงเม้นเลย


51
เทรดตามสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป
“การเทรดคือ Reaction ไม่ใช่ Prediction” อ่านบทความนี้ให้จบแล้วผลการเทรดจะดีขึ้น 80%
สวัสดีครับพี่ๆช่วงนี้ไอสังเกตเห็นคอมเม้นท์ในกลุ่มเทรดต่างๆ ถามคำถามเดียวกันเยอะมากๆ
- ทองน่าจะ Buy หรือ Sell ดี เห็นราคาขึ้นมาเยอะ?
- ทองน่าจะขึ้นนะ Buy ดีมั้ย?
- ทองน่าจะขึ้นมาสูงแล้ว เริ่ม Sell ได้ไหม?
ในทุกประโยคมีคำว่า “น่าจะ” และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ไอเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะตอนเริ่มเทรดใหม่ๆ ไอก็เคยคิดแบบนี้... จนวันนึงเจอบทเรียนราคาแพงที่โดนแล้วโดนอีกจนต้องบังคับให้ตัวเองเปลี่ยนวิธีคิดไปเลย
 บทเรียนที่เปลี่ยนมุมมองไอไปตลอดกาล
ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิทระบาด ทองพุ่งไม่หยุดขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนๆ ข่าวร้ายออกมาเพียบและทุกสำนักวิเคราะห์บอกว่าต้องขึ้นต่อแน่นอน
ไอก็คิดเหมือนคนอื่นๆ ว่า...
"ขึ้นแรงขนาดนี้ ต้องไปต่อแน่ๆ"
"ข่าวร้ายขนาดนี้ ไม่ขึ้นได้ไง"
"รีบ Buy เลยดีกว่า เดี๋ยวจะตกรถ"
สารพัดความคิดที่ใช้เทรด มันแล่นเข้ามาในสมองรัวๆ
ผลลัพธ์ก็คือไอเปิด Buy ด้วย Lot ใหญ่ที่สุดในชีวิต... ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะ 17 lot พอร์ตส่วนตัวด้วยไม่ใช่พอร์ตกองทุน สิ่งที่ไอทำคือ
- ไม่ได้รอสัญญาณยืนยัน
- ไม่ได้ดูแนวต้านสำคัญ
- ไม่ได้วาง Stop Loss
แค่เทรดด้วยความรู้สึกว่า "น่าจะ"
และแล้ว... ราคาก็พลิกทันทีที่ไอเข้าเทรด
พอร์ตติดลบ Drawdown ทันที 30% ใน 30 นาทีแรก
จากนั้นก็พยายามถัวไม้จนติดลบเกือบ 50%
และต่อมาก็ระเบิด เงินหลักล้านหายไปในพริบตา...
นั่นคือผลของการเทรดด้วยการคาดเดาหรือคาดการณ์
 แล้วจริงๆเราควรเทรดยังไง?
การเทรดที่ดีต้องเป็น "Reaction" ไม่ใช่ "Prediction"
คือการเทรดตามสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เทรดแบบตอบสนองตลาด ไม่ใช่นำตลาดไปก่อนด้วยความคิดที่ว่า “น่าจะ”
มาดูตัวอย่างการเทรดแบบ Reaction กันครับ
 เทรดแบบ Reaction (ตอบสนอง)
- เห็นราคาวิ่งขึ้นแรง
- รอให้มาถึงแนวต้านสำคัญที่ 2050
- ดูว่ามี Pin Bar หรือ Evening Star ไหม
- ถ้าเห็นสัญญาณกลับตัว ค่อยเข้า Sell
- วาง SL เหนือ High ของแท่งกลับตัว
ซึ่งแตกต่างจากการเทรดแบบคาดเดา
 เทรดแบบ Prediction (คาดเดา)
- เห็นราคาวิ่งขึ้นแรง
- คิดว่าต้องย่อแน่ๆ
- รีบ Sell ทันทีโดยไม่รอสัญญาณ
- ไม่ได้วาง SL
- เจอราคาวิ่งต่อจนติดดอย
เห็นความต่างไหมครับ? คนนึงรอให้ตลาดพิสูจน์ตัวเองก่อน อีกคนรีบเทรดตามความรู้สึก
 เทคนิคเพิ่มเติมในการเทรดแบบ Reaction
1. รอให้ราคามาหาเรา ไม่ใช่ไล่ล่าราคา ซุ่มรอดั่งสไนเปอร์ ทริกเกอร์ดั่งนักแม่นปืน
ทริคที่ไอใช้
- ถ้าตลาดขาขึ้น = รอย่อตัวที่แนวรับ
- ถ้าตลาดขาลง = รอดีดที่แนวต้าน
เช่น ถ้าเห็นราคาวิ่งลงแรงๆ อย่าเพิ่งรีบ Sell
รอให้มันดีดกลับไปที่แนวต้านก่อน แล้วค่อยหาสัญญาณขาลงที่ชัดเจน
2. ตั้งเงื่อนไขก่อนเทรดทุกครั้ง
สิ่งที่ไอต้องเห็นก่อนเทรด
- Market Structure ต้องชัดเจน (Higher High/Lower Low)
- FVG หรือ Order Block รองรับ
- แท่งเทียนยืนยันทิศทาง (Pin Bar, Engulfing)
- MACD ยืนยัน (วิธีดูกลับไปอ่านบทความเก่าครับ)
ถ้าไม่ครบเงื่อนไข = ไม่เทรด
เพราะการรอโอกาสที่ดี ดีกว่าการรีบเทรดแล้วเจ็บตัว
 มาดูตัวอย่างการใช้ Reaction Trading จริงๆ
เมื่อวันก่อนไอเจอ Setup สวยๆ ในทองคำ
1. สถานการณ์ตลาด =
- ทองกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
- ราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับ 2841
- มี Order Block รองรับ
- ราคามีการกวาดสภาพคล่อง
2. เงื่อนไขที่ไอรอ =
- ต้องเห็น Price Action ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ
- MACD ต้องแสดง Bullish Divergence
- มีการยืนยัน ChoCh ใน LTF
- ต้องมี FVG
- ราคาเบรก Trendline
3. การเข้าเทรด =
- รอจนเห็นครบทุกเงื่อนไขตามระบบเรา
- เข้า Buy ที่ 2841
- SL ใต้  Order block
ผลลัพธ์ = กำไร 1,000 จุด โดยไม่ต้องเครียดเลย เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนและถึงแม้ไม่ได้เป็นไปตามแผนเราก็มีแผนรองรับ นั่นคือ SL เพื่อนรักของเรา
 3 เคล็ดลับเพิ่มเติมที่ทำให้ไอเทรดแบบ Reaction ได้ดีขึ้น
1. มอง Multi-Timeframe เสมอ
ไอใช้หลัก Top-Down Analysis ในการวิเคราะห์ คือการวิเคราะห์จากภาพใหญ่ไปหาภาพเล็กเสมอ
- H4 = ดูเทรนด์หลัก (HTF – Higher Timeframe)
- H1 = หาจุดเข้าเทรด (MTF – Middle Timeframe)
- M15 = Fine-tuning จุดเข้า (LTF – Lower Timeframe)
เช่น....
ถ้า H4 เป็นขาขึ้น
แต่ H1 ยังไม่มีสัญญาณ Buy ที่ชัดเจน
= รอต่อดีกว่า
2. ใช้ Confluence ให้มาก แต่ไม่มากเกินไปจน Over fitting 
หลักไอใช้เทคนิค
- Market Structure
- Order Block/FVG
- MACD Divergence
- Volume Analysis
- แนวรับ/แนวต้านสำคัญ
3. เขียน Trading Journal ทุกวัน
สิ่งที่ไอจดทุกครั้ง
- เหตุผลที่เข้าเทรด
- แคปหน้าจอก่อนเข้า
- อารมณ์ตอนเทรด
- ผลลัพธ์และบทเรียน
สิ่งที่ไอแชร์มันเหมือนจะเยอะ แต่แค่เราปรับวิธีคิด วิธีเทรด สร้างกระบวนการณ์ใหม่ๆ เพื่อคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างเพียงเท่านี้เราก็มีผลการเทรดที่ดีขึ้นแล้วครับ
 สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้
การเทรดที่ดีไม่ได้มาจากการเดาทิศทางตลาด แต่มาจากการรอให้ตลาดพิสูจน์ตัวเองหรือเฉลยทิศทางก่อน แล้วค่อยตอบสนองอย่างมีแผน “Trade what you see, not what you think!”
เทรดสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่คิด
 3 สิ่งที่ควรจำ
1. ตลาดเคลื่อนที่ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่เราคิด
2.การรอโอกาสที่ดี ดีกว่าการรีบเทรดแล้วเจ็บตัว ตกรถดีกว่าโดนลาก
3.เทรดตามแผนและระบบ ไม่ใช่ตามความรู้สึก เพราะเราคือนักเทรดไม่ใช่ผีพนัน
สุดท้ายนี้ ไอหวังว่าประสบการณ์และเทคนิคที่แชร์มาจะช่วยให้ทุกคนเทรดได้ดีขึ้นนะครับ
*จำไว้ว่า
ตลาดจะอยู่ที่เดิมเสมอ แต่เงินในพอร์ตเราอาจจะไม่อยู่ ถ้าเราไม่รู้จักการรอคอย
ใครอ่านจบถึงตรงนี้ คอมเม้นท์ “รอ” ครับ แล้วเราจะสำเร็จไปด้วยกันขอให้ทุกคนเทรดอย่างมีกำไรครับ

52
เรื่องราวนี้ไม่เคยเปิดเผยที่ไหน... เส้นทางจากเด็กอายุ 19 พอร์ตแตกยับเยิน สู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ยืนอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง เพราะไอเปลี่ยนตัวเองและตั้งกฎ 6 ข้อนี้ขึ้นมา ถ้าคุณอ่านจบมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปเลย
"เงินไม่ใช่ทุกอย่าง...แต่กระบวนการคือทุกสิ่ง"
ย้อนกลับไปวันแรก...
"ต้องทำกำไรวันละ 5,000 ให้ได้!"
นี่คือเป้าหมายแรกของไอตอนเริ่มเทรด
แค่คิดย้อนก็อายแล้ว... เพราะตอนนั้น
- อ่านหนังสือแค่ 2-3 เล่ม
- เปิดกราฟไม่ถึงเดือน
- ไม่มีระบบ ไม่มีแผน
- แต่ความมั่นใจล้นเกินเบอร์
 จุดพลิกผันครั้งแรก...
เริ่มจากกำไรนิดๆ หน่อยๆ ไอก็เริ่มเพิ่ม lot size:
"วันนี้กำไร 2,000... พรุ่งนี้ลองเพิ่มเป็น 0.5 lot ดูดีกว่า"
"เดี๋ยว! ถ้าเราเพิ่มเป็น 1 lot ล่ะ?"
ผลลัพธ์ = พอร์ตติดลบหนักจนต้องยืมเงินที่บ้าน จนต้องถอยกลับมามองตัวเอง เพราะมันเจ็บหนักจนกลไกป้องกันตัวเองตามจิตวิทยามนุษย์มันสั่งให้หยุด
 ทำไมผมถึงล้มเหลว?
ไอเจอกับดักใหญ่ๆ 3 อย่าง:
1. โรคบ้าเงิน
- คิดถึงแต่กำไรรายวัน
- ฝันถึงรถคันใหม่
- อยากใช้ชีวิตสบายๆ แบบไม่ต้องง้อใคร
แต่ลืมไปว่า... ยังไม่มีระบบเทรดด้วยซ้ำ
2. ความมั่นใจเกินร้อย
"ตลาดนี้ง่ายจัง! มีแค่ขึ้นกับลง"
และแล้ว... วันที่กำไร 20,000 ก็มาถึง
ไอคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว เลยเพิ่ม lot size:
"ถ้าเพิ่มอีกนิด พรุ่งนี้ต้องได้ 50,000!" ผมคิดในใจ
ผลลัพธ์:
- พอร์ตหาย 50% ในวันเดียว
- กำไรที่สะสมมาหายหมด
- ติดลบหนักกว่าเดิม
3. ไม่ยอมรับความผิด
- เห็นสัญญาณว่าผิดแล้วยังไม่ยอมตัดขาดทุน
- คิดว่าต้องเอาคืนให้ได้
- ยิ่งไล่ ยิ่งเจ็บ
จุดเปลี่ยนของชีวิต...
หลังจากล้มครั้งใหญ่ ไอได้เจอเทรดเดอร์รุ่นพี่คนนึง เขาบอกประโยคที่เปลี่ยนชีวิตไอ
"ผมใช้เวลา 2 ปี ศึกษาตลาดแบบไม่เข้าออเดอร์เลย"
ตอนนั้นไอหัวเราะในใจ คิดว่า "เสียเวลา"
แต่วันนี้... ไอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ
6 สิ่งที่ไอเปลี่ยนแปลงตัวเอง:
1. ลงทุนกับความรู้ก่อน
- อ่านหนังสือเทรดดีๆ
- เรียนรู้จากเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
- ทดสอบระบบจนเจอสิ่งที่ใช่
2. มีรายได้เสริม
รู้ไหม? ไอเคยขายของในตลาดนัดช่วงที่เริ่มเทรดใหม่
- ลดความกดดันเรื่องเงิน
- ทำให้เทรดได้ใจเย็นขึ้น
3. เปลี่ยนมุมมองใหม่
- มองการเทรดเป็นเกมหมากรุก
- สนุกกับการวิเคราะห์
- ไม่เครียดเรื่องตัวเลข
4. โฟกัสที่ความเสี่ยง
ก่อนเทรด ไอถามตัวเองเสมอ:
"ถ้าเทรดนี้ขาดทุน รับได้ไหม?"
ถ้าตอบไม่ได้ = ไม่เทรด
5. ใช้ชีวิตให้สมดุล
- ออกกำลังกาย
- เที่ยวต่างจังหวัด
- ใช้เวลากับครอบครัว
*เพราะการเทรดไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต*
6. โฟกัสที่กระบวนการ
- เงินเป็นแค่ผลพลอยได้
- ทำตามแผนอย่างมีวินัย
- เรียนรู้จากทุกออเดอร์
 ฝากถึงคนที่กำลังท้อ...
ถ้าคุณเคยพลาดเหมือนไอ อย่าเพิ่งยอมแพ้..
- ทุกความผิดพลาดคือบทเรียน
- ทุกการล้มคือโอกาสลุกขึ้นใหม่
- ทุกความเจ็บปวดคือครูที่ดีที่สุด
"ความเจ็บปวด + การไตร่ตรอง = ความก้าวหน้า"
----------------------
ใครอ่านจบคอมเม้นท์ "เปลี่ยนตัวเอง"
เพื่อสะกดจิตและเข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนชีวิต
และไอขอให้มันเป็นเส้นทางที่พี่ทุกคน...จะสำเร็จ!




53
Liquidity Grab เป็นแนวคิดในระบบ SMC (Smart Money Concepts) ที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาซึ่ง "Smart Money" (กลุ่มทุนใหญ่) ใช้เพื่อเก็บสภาพคล่อง (Liquidity) จากตลาด ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ตั้งใจไว้

หลักการของ Liquidity Grab
สภาพคล่อง (Liquidity) หมายถึงคำสั่งซื้อ/ขายที่รออยู่ในตลาด เช่น Stop Loss หรือ Pending Orders

Buy Stops: อยู่เหนือ High ก่อนหน้า

Sell Stops: อยู่ใต้ Low ก่อนหน้า

Smart Money มัก "ดึงราคา" ไปแตะจุดที่มีคำสั่งเหล่านี้ เพื่อเก็บสภาพคล่องก่อนที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต้องการ

ขั้นตอนการใช้งาน Liquidity Grab
1. ระบุบริเวณ Liquidity Zones
มองหาบริเวณที่มี Highs และ Lows ที่ชัดเจน:

จุดที่นักเทรดรายย่อยมักวาง Stop Loss

บริเวณที่ราคาเคยกลับตัวก่อนหน้านี้

สังเกตว่าบริเวณนั้นเป็นแนวรับหรือแนวต้านสำคัญใน TF ใหญ่ เช่น H1 หรือ H4

2. รอดูการดึงราคา (Grab)
รอให้ราคาพุ่งไปแตะ High/Low ที่ระบุไว้ เพื่อเก็บสภาพคล่อง

การดึงราคามักเกิดในลักษณะ "Wick" (เงาของแท่งเทียน) ที่ยาวและกลับตัวอย่างรวดเร็ว

3. การยืนยันการกลับตัว (Confirmation)
หลังจาก Liquidity ถูก Grab ให้สังเกตพฤติกรรมราคา:

โครงสร้างตลาดเปลี่ยน (Market Structure Shift - MSS) เช่น ราคาทำ Lower High (สำหรับ Sell) หรือ Higher Low (สำหรับ Buy)

แท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจน เช่น Engulfing Candle หรือ Pin Bar

4. เข้าเทรด
Buy: เมื่อราคาดึง Liquidity ใต้ Low และเริ่มกลับตัวขึ้น

Sell: เมื่อราคาดึง Liquidity เหนือ High และเริ่มกลับตัวลง

วาง SL ใต้/เหนือจุดที่ Liquidity ถูก Grab และตั้ง TP ตามแนวรับ/แนวต้านถัดไป

ตัวอย่างการใช้งาน
กรณี Buy (Long Position)
ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Bullish)

ใน TF H1 คุณเห็น Low ก่อนหน้าที่ $1800 ซึ่งเป็นจุดที่มี Sell Stops สะสม

ราคาพุ่งลงมาแตะ $1798 (ต่ำกว่า $1800 เล็กน้อย) แต่กลับตัวขึ้นทันที

ใน TF M15 หรือ M5 มีแท่งเทียน Bullish Engulfing ที่ชัดเจน

จุดเข้าเทรด:

Buy ที่ $1802 หลังราคายืนยันกลับตัว

SL ใต้ $1798

TP ใกล้แนวต้านถัดไปที่ $1820

กรณี Sell (Short Position)
ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง (Bearish)

ใน TF H1 คุณเห็น High ก่อนหน้าที่ $1900 ซึ่งเป็นจุดที่มี Buy Stops สะสม

ราคาพุ่งขึ้นไปแตะ $1902 (สูงกว่า $1900 เล็กน้อย) แต่กลับตัวลงทันที

ใน TF M15 หรือ M5 มีแท่งเทียน Bearish Engulfing ที่ชัดเจน

จุดเข้าเทรด:

Sell ที่ $1898 หลังราคายืนยันกลับตัว

SL เหนือ $1902

TP ใกล้แนวรับถัดไปที่ $1880

ข้อควรระวัง
อย่ารีบเข้าเทรดทันทีที่ราคาดึงไปแตะ High/Low:

รอให้ราคายืนยันการกลับตัวก่อนเสมอ

ฝึกในบัญชีทดลอง (Demo Account):

ใช้กลยุทธ์ Liquidity Grab ซ้ำ ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนใช้งานจริง

เช็คบริบทใน TF ใหญ่:

Liquidity Grab มักทำงานได้ดีเมื่อบริเวณ Liquidity Zones สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด

สรุป:
Liquidity Grab เป็นเทคนิคที่ช่วยให้คุณเข้าเทรดในจุดที่มีโอกาสสูงสุดและลดการไล่ราคา (Chasing Price) โดยใช้ความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมของตลาดและ Smart Money อย่างมีประสิทธิภาพครับ!

54
Break and Retest เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเข้าเทรดที่นิยมมาก โดยเฉพาะในระบบ SMC (Smart Money Concepts) แนวคิดนี้คือการรอให้ราคาทำลาย (Break) แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ จากนั้นรอดูว่าราคาจะดึงกลับมา (Retest) ทดสอบระดับนั้นอีกครั้งหรือไม่ ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม

วิธีการใช้งาน Break and Retest
1. ระบุจุดสำคัญที่ต้องติดตาม
Order Block (OB):

จุดที่ Smart Money เคยสร้างแนวรับหรือแนวต้าน เช่น บริเวณที่มีแท่งเทียนรวมตัวกันอย่างชัดเจนก่อนราคาพุ่งขึ้น/ลง

Fair Value Gap (FVG):

ช่องว่างของราคาที่เกิดจากแท่งเทียนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น ในกราฟ TF ใหญ่ คุณอาจเห็นแท่งเทียนวิ่งโดยไม่ทิ้งเงา (Wick)

2. การเบรกแนวรับ/แนวต้าน (Break)
สังเกตว่าแนวรับหรือแนวต้านถูกเบรกไปในทิศทางใด เช่น ราคาทำ Higher Highs (HH) หมายความว่าแนวต้านเดิมถูกเบรก

ให้รอราคาดึงกลับ (Retest) เพื่อยืนยันว่าระดับที่ถูกเบรกนั้นแข็งแรงและเป็นจุดที่ Smart Money สนใจ

3. การดึงกลับ (Retest)
รอให้ราคาดึงกลับมาที่บริเวณ OB หรือ FVG

สังเกตพฤติกรรมราคา (Price Action) ใน TF เล็ก เช่น M15 หรือ M5:

หากราคากลับมาทดสอบ OB แล้วมีสัญญาณกลับตัว (เช่น Bullish Engulfing สำหรับ Buy)

หรือหากราคากลับมาทดสอบ FVG แล้วมีการ Reject ทันที

4. ยืนยันการเข้าเทรด
เมื่อราคาทดสอบระดับสำคัญ (OB หรือ FVG) และมีสัญญาณกลับตัว:

ซื้อ (Buy): เมื่อราคาทำ Low ใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher Low - HL)

ขาย (Sell): เมื่อราคาทำ High ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม (Lower High - LH)

5. ตั้ง SL และ TP
วาง Stop Loss (SL) ใต้ OB (สำหรับ Buy) หรือเหนือ OB (สำหรับ Sell)

วาง Take Profit (TP):

เป้าหมายกำไรแรกอยู่ที่แนวต้าน/แนวรับถัดไป

หรือใช้ Risk-to-Reward Ratio (เช่น 1:2 หรือ 1:3)

ตัวอย่างใช้งานจริง
สถานการณ์: Break and Retest บริเวณ Order Block
กราฟ H1:

คุณสังเกตเห็นว่าราคาทำลายแนวต้านที่ $1800 แล้วพุ่งขึ้นไปถึง $1815

ใน TF H1 มี OB บริเวณ $1800-$1805 ซึ่งเป็นจุดที่ราคาน่าจะดึงกลับมาทดสอบ

กราฟ M15 หรือ M5:

รอดูว่าราคาจะดึงกลับมาทดสอบ OB ที่ $1800-$1805 หรือไม่

เมื่อราคามาถึงบริเวณ OB ให้ดูพฤติกรรมแท่งเทียน:

แท่งเทียนปิดในลักษณะ Bullish Engulfing

หรือราคาปฏิเสธไม่หลุด OB หลายครั้ง (Wick ยาวด้านล่าง)

จุดเข้าเทรด:

เข้าซื้อ (Buy) เมื่อราคายืนยันการ Reject บริเวณ OB

ตั้ง SL ใต้ OB เช่น ที่ $1798

ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป เช่น $1820

ข้อดีของ Break and Retest
เข้าเทรดในจุดที่ Smart Money สนใจ

ลดความเสี่ยงจากการไล่ราคา (Chasing Price)

เพิ่มโอกาสการเทรดในจุดที่มีความเป็นไปได้สูง

คำแนะนำ:
ฝึกฝนกลยุทธ์นี้ในบัญชีทดลอง (Demo Account) จนคุณมั่นใจในกระบวนการก่อนนำไปใช้จริง และจดบันทึกการเทรดเพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์ครับ!

55
ระบบ CCTV / กล้อง
« เมื่อ: 30/04/25 »
กล้อง


rtsp://admin:Ge0v!sion@192.16831.13:554/CH001.sdp
rtsp://admin:Ge0v!sion@192.16831.12:554/CH001.sdp

56
การไม่ล้างพอร์ตใน Forex หมายถึงการรักษาสถานะการลงทุนให้คงอยู่และลดโอกาสที่เงินทุนจะหมด (Margin Call หรือ Stop Out) ซึ่งสามารถทำได้โดยการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยและการวางแผนที่ดี นี่คือวิธีที่คุณสามารถปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงในการล้างพอร์ต:

1. ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง
เลเวอเรจที่สูงอาจเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน

ใช้เลเวอเรจในระดับที่คุณสามารถรับมือได้ เช่น 1:10 หรือ 1:20 แทนที่จะใช้เลเวอเรจสูงสุดที่โบรกเกอร์เสนอ

2. บริหารขนาดการเทรด (Position Sizing)
ลงทุนเฉพาะจำนวนที่คุณสามารถเสียได้โดยไม่กระทบต่อพอร์ต

กฎทั่วไปคือเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

3. ตั้ง Stop Loss เสมอ
Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนในแต่ละการเทรด

วาง Stop Loss ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่ใกล้หรือไกลเกินไปจากจุดเปิดสถานะ

4. กระจายความเสี่ยง (Diversification)
อย่าลงทุนในคู่สกุลเงินเดียวทั้งหมด กระจายการลงทุนในคู่สกุลเงินต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง

5. ใช้การวิเคราะห์และแผนการเทรด
ยึดตามแผนการเทรดที่ชัดเจน (Trading Plan) ซึ่งรวมถึงจุดเข้า-ออกตลาด การตั้งเป้าหมายกำไร และการจัดการความเสี่ยง

ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

6. รักษาเงินทุนสำรอง (Margin Cushion)
อย่าใช้เงินทุนเต็มพอร์ต เปิดสถานะด้วยมาร์จิ้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call)

7. หลีกเลี่ยง Overtrading
การเปิดสถานะบ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการขาดทุนสะสม

เลือกเทรดเฉพาะเมื่อมีโอกาสที่มีความเป็นไปได้สูง

8. ติดตามข่าวและเหตุการณ์สำคัญ
ข่าวเศรษฐกิจและการประกาศตัวเลขสำคัญ เช่น Non-Farm Payroll (NFP) หรือการปรับดอกเบี้ย อาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงินอย่างรุนแรง

หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะขนาดใหญ่ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

9. ฝึกควบคุมอารมณ์
อย่าให้ความโลภหรือความกลัวมาควบคุมการตัดสินใจ

ยึดมั่นในแผนการเทรดและมีวินัยในการจัดการพอร์ต

10. ตรวจสอบพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจสอบสถานะการลงทุนเพื่อให้แน่ใจว่าพอร์ตยังคงอยู่ในสภาพที่สมดุล

ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อจำเป็น เช่น หากตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง

การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการล้างพอร์ต Forex และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว การเทรดอย่างมีวินัยและการบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในตลาด Forex

57
Forex / แจก Indy Free MT5
« เมื่อ: 25/04/25 »
แจก Indy Free MT5

1.BOS-CHoCH


58
ความสำเร็จในการเทรด Forex: บันทึกแห่งความพยายามและแรงบันดาลใจ

ในโลกของการเทรด Forex ทุกคนเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ การทำกำไรวันละ 30-100 ดอลลาร์ อาจดูเหมือนเล็กน้อยเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ในตอนนั้น มันคือจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน หลายคนอาจสงสัยว่า "จะมีวันไหนที่เราจะไปถึงจุดที่ทำกำไรวันละหมื่น หรือแม้แต่วันละแสนได้จริงหรือ?" สำหรับผู้ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและไปถึงจุดนั้นได้ ขอแสดงความยินดีด้วยอย่างแท้จริง คุณคือเครื่องยืนยันว่า ความพยายามและความอดทนจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

กลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติจริง

1. วางแผนการเทรดอย่างเป็นระบบ

กำหนดเป้าหมายรายวันและรายเดือน: เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้คุณโฟกัสและประเมินความก้าวหน้าได้

สร้างแผนการเทรด (Trading Plan): ระบุเงื่อนไขในการเข้า-ออกตลาด กำไรขาดทุนที่ยอมรับได้ และการจัดการความเสี่ยง

2. บันทึกและวิเคราะห์การเทรด

บันทึกการเทรดทุกครั้ง: จดรายละเอียด เช่น คู่สกุลเงิน ขนาดล็อต ราคาเข้า-ออก และผลลัพธ์

วิเคราะห์ผลลัพธ์: ตรวจสอบข้อผิดพลาดและปรับปรุงกลยุทธ์จากข้อมูลที่ผ่านมา

3. บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ

ตั้งค่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตในการเทรดแต่ละครั้ง

ใช้ Stop Loss และ Take Profit: ป้องกันความสูญเสียที่ไม่จำเป็นและล็อกกำไรเมื่อถึงเป้าหมาย

4. พัฒนาทักษะและจิตวิทยาในการเทรด

เรียนรู้ต่อเนื่อง: อ่านหนังสือ ดูวิดีโอ และเข้าร่วมชุมชนเทรดเดอร์เพื่อรับความรู้ใหม่

ฝึกสมาธิและควบคุมอารมณ์: การมีวินัยและความสงบนิ่งจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

การรักษาความสำเร็จ: ห้ามประมาท

เมื่อคุณไปถึงจุดสูงสุดแล้ว การรักษาความสำเร็จนั้นสำคัญไม่แพ้กับการไปให้ถึง บางคนอาจคิดว่าเมื่อได้มาง่าย ก็อาจเสียไปง่ายเช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้จากอดีตและการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตคือกุญแจสำคัญ อย่าลืมรีเซ็ตความคิด และเริ่มต้นใหม่ในทุกวัน การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณไม่เพียงแต่รักษาความสำเร็จได้ แต่ยังสร้างความมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

บทเรียนสำคัญจากการเทรด

ความสำเร็จมาจากความพยายาม – ไม่มีใครประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน ทุกอย่างต้องผ่านการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ความอึดและความเชื่อมั่น – อย่าล้มเลิกแม้ในวันที่ยากลำบาก การทำซ้ำสิ่งที่ดีและการปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดคือหนทางสู่ความสำเร็จ

รักษาและพัฒนา – เมื่อคุณประสบความสำเร็จ อย่าหยุดพัฒนา ห้ามประมาท และจงเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

สุดท้าย

จงนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ในเส้นทางการเทรดของคุณ เก็บความรู้สึกของความสำเร็จครั้งนี้ไว้ และใช้มันเป็นแรงผลักดันในอนาคต เชื่อมั่นในตัวเอง และอย่าลืมว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากตัวเลขในบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากการที่คุณได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองและสร้างคุณค่าในสิ่งที่คุณทำ ขอให้ทุกคนเดินหน้าสู่ความสำเร็จในเส้นทางของตัวเอง!

59
ความสำเร็จในการเทรด Forex: บันทึกแห่งความพยายามและแรงบันดาลใจ

ในโลกของการเทรด Forex ทุกคนเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ การทำกำไรวันละ 30-100 ดอลลาร์ อาจดูเหมือนเล็กน้อยเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ในตอนนั้น มันคือจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน หลายคนอาจสงสัยว่า "จะมีวันไหนที่เราจะไปถึงจุดที่ทำกำไรวันละหมื่น หรือแม้แต่วันละแสนได้จริงหรือ?" สำหรับผู้ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและไปถึงจุดนั้นได้ ขอแสดงความยินดีด้วยอย่างแท้จริง คุณคือเครื่องยืนยันว่า ความพยายามและความอดทนจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

คุ้มไม่คุ้ม วัดกันที่หัวใจและความเชื่อมั่น

ในการเทรด ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าคุณจะประสบความสำเร็จ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง บางวันคุณอาจล้มเหลว แต่ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่วันนั้น ความสำเร็จวัดกันที่ความอึด ความเชื่อมั่น และการทุ่มเทอย่างเต็มที่ หากคุณยังคงมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ วันที่คุณรอคอยจะมาถึง และในวันนั้น คุณจะได้ลิ้มรสความสำเร็จที่คุณเพียรพยายามมานานหลายปี

การรักษาความสำเร็จ: ห้ามประมาท

เมื่อคุณไปถึงจุดสูงสุดแล้ว การรักษาความสำเร็จนั้นสำคัญไม่แพ้กับการไปให้ถึง บางคนอาจคิดว่าเมื่อได้มาง่าย ก็อาจเสียไปง่ายเช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้จากอดีตและการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตคือกุญแจสำคัญ อย่าลืมรีเซ็ตความคิด และเริ่มต้นใหม่ในทุกวัน การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณไม่เพียงแต่รักษาความสำเร็จได้ แต่ยังสร้างความมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

บทเรียนสำคัญจากการเทรด

ความสำเร็จมาจากความพยายาม – ไม่มีใครประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน ทุกอย่างต้องผ่านการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ความอึดและความเชื่อมั่น – อย่าล้มเลิกแม้ในวันที่ยากลำบาก การทำซ้ำสิ่งที่ดีและการปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดคือหนทางสู่ความสำเร็จ

รักษาและพัฒนา – เมื่อคุณประสบความสำเร็จ อย่าหยุดพัฒนา ห้ามประมาท และจงเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

สุดท้าย

เก็บความรู้สึกของความสำเร็จครั้งนี้ไว้ และใช้มันเป็นแรงผลักดันในอนาคต จงเชื่อมั่นในตัวเองและอย่าลืมว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากตัวเลขในบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากการที่คุณได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองและสร้างคุณค่าในสิ่งที่คุณทำ

60
กรณีเจอเหตุการแบบนี้

1. Liqudity zone บริเวณ H เดิม
ถ้าเทรดบ่อยๆจะรู้ว่าตรงไหนมีโอกาศที่จะเจอ หลีกเลี่ยงโดยการรอ sweep ก่อนแล้วค่อยเข้า Order
2. ย่อย TF เล็กมองหาสัญญานกลับตัวแล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนว่าจะใช้อะไร
3. สำหรับเทรด BTC การตั้ง Limit order ควรตั้งที่ H หรือ L เดิมเลย
เพราะตลาดผันผวนมีโอกาศขึ้นมาถึง แต่ถ้ากลัวตกรถให้แบ่งได้
ไม้1 limit oder
ไม้2 รอสัญญาน confrime
ไม้3 ตั้งที่บริเวณเหนือ H เดิมเล็กน้อย
ถ้าRR 1:3 ยังไงก็จะ Recovery ไม้ทั้งหมดได้ถ้าโดน sl

SL เหนือสวิง ก่อนหน้า
และรอราคาสวิงก่อน
ถ้าเราเข้าตามรูปแบบเลย ด้วย pending order ต้องเผื่อ sweep ด้วย

1 .ช่วงข่าวแรงๆ ยืด SL ไปที่ไฮ เดิม
2. ถ้าไม่อยากsl กว้าง แบ่งเป็น2 ออเดอร์ ถ้าออเดอร์1 โดนSL ปกติ ออเดอร์2 ค่อยเข้าหลังจากที่กราฟวิ่งไปกินSL แล้วย้อนกลับลงมาปิดแท่งเทียน(tf m5,15) ค่อยเข้าอีกไม้
เลี่ยงการเจอ stop hunt มี 2 วิธีครับ
1. SL เผื่อไว้เยอะหน่อย แต่มีข้อเสียคือ stop ไกล
2. รอมัน sweep SL ไปแล้วค่อยเข้า ข้อเสียคือมีสิทธิ์ตกรถถ้ามันไปเลย ไม่ลงมากวาด SL

ถ้าโซนแบบนี้ปกติผมจะไปเข้าตรงแกร็บด้านบนที่ยังเก็บไม่หมดตรงที่ชี้สีแดงและจะวางSlเหนือจุดสีเขียวเพื่อป้องกัน Supply ใส้ที่มันยังไม่ถูกเก็บครับ

ทำไมเข้าตรงนั้นกราฟมันพึ่ง chochเอง ถ้าจะเข้า supply,orderblock ต้องมีbosยืนยันอีกอัน chochนี่อาจจะเป็นแค่ choch minerswing



61
ลด เพิ่ม การแสดง ข่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์

1ข่าวเด่น (Copy)

62
ความลับของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด

ความสำเร็จไม่ได้มาจากความบ้าคลั่ง แต่มาจาก "วินัย" และ "ความสม่ำเสมอ"

ลองคิดว่าคุณคือ "นักวิ่งมาราธอน" ไม่ใช่ "นักวิ่ง 100 เมตร" เพราะเกมนี้วัดกันที่ระยะยาว ไม่ใช่แค่ความเร็วชั่วคราว

 บทเรียนราคาแพงที่กลายเป็นขุมทรัพย์

ผมเคยล้างพอร์ต 6 หลักภายในไม่กี่ชั่วโมง... มือเย็นเฉียบ ท้องไส้ปั่นป่วน หัวใจเต้นผิดจังหวะ และที่แย่ที่สุดคือ ความรู้สึกว่า "ตัวเองโง่สุดๆ"

แต่รู้ไหม? นั่นเป็น "วันที่ดีที่สุด" ในชีวิตการเทรดของผม

เพราะมันทำให้ผมหยุดวิ่งแบบไร้ทิศทาง และถามตัวเองว่า:

"ทำไมถึงพลาดซ้ำๆ?"

"ทำไมถึงไม่ก้าวหน้า?"

คำตอบมันชัดมาก...

เทรดด้วยล็อตใหญ่เกินไป เพราะอยากรวยเร็ว

เทรดตอนเหนื่อยล้า สมองเบลอ

เทรดตามอารมณ์ ไม่ทำตามแผน

จุดเปลี่ยนสำคัญ

ผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง...
 นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ควบคุมสิ่งที่บริโภค (Happy Meal)
เทรดด้วยล็อตเล็กลง มีแผนชัดเจน ไม่มีหลุดแผน
 ให้เวลากับชีวิตด้านอื่น ไม่จ้องจอตลอดวัน

ผลลัพธ์?
6 เดือนต่อมา... พอร์ตโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แบบพุ่งพรวด แต่มั่นคงเหมือนต้นไม้ที่แข็งแรง

ทุกวันนี้ ผมยังทะเยอทะยานเหมือนเดิม แต่ "ไม่บ้าคลั่งอีกต่อไป"

 ความลับของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด

อาซิโมฟเคยกล่าวว่า "ความรุนแรงคือที่หลบภัยสุดท้ายของคนไร้ฝีมือ"

ผมขอแปลงใหม่เป็น...
"ความบ้าคลั่งคือที่หลบภัยสุดท้ายของเทรดเดอร์ที่ไร้ระบบ"

เทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่เทรดบ่อยที่สุด
แต่เป็นคนที่ เทรดอย่างมีแบบแผน มีระบบ และมีวินัย

เรื่องจริงจากเทรดเดอร์ระดับ 9 หลัก

วันหนึ่งผมได้ดูเทรดเดอร์ระดับตำนานเทรดสด ๆ ผมคาดหวังว่าเขาจะทำอะไรเทพ ๆ

แต่เขา "นั่งรอ" เกือบชั่วโมง

แล้วจู่ ๆ ... เขากดออเดอร์ครั้งเดียว ไม่มีลังเล ตั้ง TP/SL แล้วปิดจอไป

สุดท้าย... กำไร 570,000 บาท จากการ "1 จิ้ม"

เขาหันมาถามผมว่า...

"วันนี้เราเรียนรู้อะไร?"

ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ "ความอดทน?"

เขายิ้มแล้วบอกว่า...

"ที่สำคัญกว่านั้นคือ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรยิง และเมื่อไหร่ควรรอ"

"มือปืนที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่ยิงเร็วที่สุด แต่คือคนที่ยิงแม่นที่สุด"

 เมื่อถึงทางตัน จงเปลี่ยนวิธีคิด

มีน้องคนหนึ่งทักมาหาผม...

"พี่ครับ ผมจะไม่ไหวแล้ว เทรดมาเกือบปี ยังไม่เห็นกำไรเป็นกอบเป็นกำ ทุกคนบอกให้ผมเลิก"

ผมถามว่า "เป้าหมายของน้องคืออะไร?"

"ผมอยากได้ 20% ต่อเดือนครับ"

... ผมหัวเราะเบา ๆ

"Warren Buffett ได้ประมาณ 20% ต่อปี"

น้องเงียบไป...

"พี่ว่าเราอาจจะตั้งเป้าหมายผิดหรือเปล่า?"

เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนเกม!

 เทรดให้ถูกต้องตามกระบวนการ ไม่ใช่แค่ทำกำไร
 โฟกัสที่ "อยู่รอด" ก่อนคิดจะชนะ
 คิดว่าตัวเองต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
 เอาชนะ "ตัวเอง" มากกว่าเอาชนะตลาด

1 เดือนต่อมา น้องกลับมารายงาน...

"พี่ครับ! ผมเริ่มมีกำไรแล้ว! และที่สำคัญกว่า... ผมเทรดแล้วมีความสุขขึ้น!"

นี่แหละ ชัยชนะที่แท้จริง

 ความทะเยอทะยานของคุณ "ถูกต้องแล้ว" แต่ต้องใช้ให้เป็น

ลองคิดว่า "การเทรด" เหมือน "การปลูกต้นไม้"

ความทะเยอทะยาน คือ ความตั้งใจให้ต้นไม้ใหญ่

ความอดทน คือ การรดน้ำมันทุกวัน

ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้โตในวันเดียว ต้องใช้เวลาและการดูแลต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความสำเร็จในการเทรด

สงครามที่แท้จริงของเทรดเดอร์

เอาชนะความกลัว เมื่อเข้าออเดอร์ตามแผน

เอาชนะความโลภ เมื่อต้องออกตามแผน

เอาชนะความหยิ่ง เมื่อได้กำไรและคิดว่าตัวเองเก่ง

เอาชนะความท้อ เมื่อล้มแล้วต้องลุกขึ้นใหม่

เมื่อคุณชนะตัวเองได้...

"ความทะเยอทะยานจะไม่ถ่วงคุณไว้อีกต่อไป แต่มันจะเป็นปีกที่พาคุณบิน"

 ทิ้งท้าย

ผมถามตัวเองทุกเช้า...

"วันนี้ ฉันจะทำอะไรให้เป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้นกว่าวันวาน?"

ไม่ใช่ "ฉันจะทำเงินให้ได้เท่าไหร่วันนี้?"

เพราะเมื่อคุณมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง ผลลัพธ์จะตามมาเอง

ทะเยอทะยานอย่างมีสติ อดทนอย่างมีแผน และเอาชนะตัวเองให้ได้ทุกวัน

63
เทคนิคการเทรด Forex: ใช้โอกาสอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างกำไร

โอกาสมีทุกวัน แต่ต้องรอให้ตลาดชัดเจน

ตลาด Forex มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา การสวิงขึ้นลงเป็นเรื่องปกติที่ช่วยสร้างโอกาสในการทำกำไร สิ่งสำคัญคือการรอให้ตลาดสร้างรูปแบบที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด เพราะการเข้าจุดที่เหมาะสมตามแนวโน้ม (Trend) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ดีกว่า

เข้าเทรดด้วยความมั่นใจ ต้องมีหลักการรองรับ

การมีความรู้และหลักการที่ชัดเจนในการเข้าเทรดจะช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้น เพราะเมื่อเรารู้ว่าเรากำลังเข้าออเดอร์ตามหลักวิเคราะห์อะไร เราจะกล้าถือสถานะ (Run) ได้ในระดับที่เหมาะสม และสามารถปิดทำกำไรได้เมื่อถึงจุดที่กำหนดไว้

ใช้โอกาสให้คุ้มค่า ไม่จำเป็นต้องเทรดถี่

การเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์บ่อย ๆ แต่ควรเลือกจังหวะที่เหมาะสม หาจุดเข้าให้แม่นยำ และใช้ Lot Size ที่เหมาะสมกับขนาดทุนของเรา สิ่งนี้จะช่วยให้พอร์ตเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น หากเทรดทอง (XAU/USD) และสามารถจับจังหวะได้ดี การเติบโตของพอร์ต 200-500% ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

วิเคราะห์แนวโน้มและแรงขยับของตลาด

ตลาดจะมีจังหวะที่แรงส่งหมดไป ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในระยะ 700-1000 จุด ดังนั้น เราต้องระวังช่วงที่ตลาดหลอกให้ Sell แล้วดึงราคากลับขึ้นมา หากสามารถเข้าซื้อที่จุดต่ำได้ และรอให้ราคาขึ้นไป 500 จุดขึ้นไป การทำกำไรจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

สรุป:

1.รอให้ตลาดสร้างรูปแบบที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด

2.เทรดตามแนวโน้มหลัก (Trend)

3.เข้าออเดอร์อย่างมั่นใจโดยมีหลักการรองรับ

4.ใช้โอกาสอย่างคุ้มค่า ไม่จำเป็นต้องเทรดบ่อย

5.วิเคราะห์แรงขยับของตลาดเพื่อตั้งเป้าหมายการปิดออเดอร์ให้เหมาะสม

หากนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ รับรองว่าการเทรดของคุณจะมีประสิทธิภาพ และช่วยให้พอร์ตเติบโตได้อย่างมั่นคง!

64
บทพูดบรรยาย: การออกแบบ Infographic ด้วยโปรแกรม Canva
ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง

ช่วงที่ 1: เปิดเรื่อง (10 นาที)
(กล่าวทักทาย)
"สวัสดีครับทุกคน ยินดีต้อนรับสู่การบรรยายในวันนี้นะครับ ผมชื่อ [ชื่อคุณ] และวันนี้ผมจะมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ Infographic ด้วยโปรแกรม Canva

ในยุคนี้ การสื่อสารข้อมูลให้เข้าใจง่ายและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ ลองคิดดูครับว่า ถ้าเรามีข้อมูลซับซ้อนเต็มไปหมด แต่ไม่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ มันก็คงจะเสียโอกาสดี ๆ ไปเยอะเลย

Infographic นี่แหละครับ คือตัวช่วยสำคัญ มันเป็นการนำข้อมูลมาสรุปและจัดเรียงใหม่ ให้เข้าใจง่าย ผ่านภาพกราฟิกและข้อความที่ดึงดูดสายตา และวันนี้เราจะมาดูกันครับว่า Canva จะช่วยให้เราทำสิ่งนี้ได้ง่ายขึ้นยังไง

เป้าหมายในวันนี้คือ ผมอยากให้ทุกคนสามารถออกแบบ Infographic ที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านการออกแบบเลยครับ"

ช่วงที่ 2: ความรู้พื้นฐานและการเตรียมตัว (15 นาที)
(เริ่มอธิบาย Infographic)
"ก่อนที่เราจะไปเริ่มออกแบบ มาทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า Infographic คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญ

Infographic ก็คือการแปลงข้อมูลหรือเนื้อหาที่อาจจะซับซ้อน ให้กลายเป็นภาพที่สื่อสารง่ายขึ้นครับ เช่น ถ้าคุณต้องการอธิบายขั้นตอนการทำงาน คุณสามารถใช้ Infographic แบบ Flowchart เพื่อช่วยให้คนเข้าใจได้เร็วขึ้น

Infographic ที่ดีควรมี 3 องค์ประกอบหลักนะครับ:

การจัดวาง Layout – ให้ทุกอย่างดูสมดุลและอ่านง่าย

การเลือกสีและฟอนต์ – ใช้สีที่เข้ากันและฟอนต์ที่อ่านง่าย

การใช้ภาพและไอคอน – เลือกที่เหมาะกับหัวข้อ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การเตรียมข้อมูลที่กระชับและตรงประเด็น เพราะข้อมูลที่ดีคือรากฐานของ Infographic ที่ดีครับ"

ช่วงที่ 3: เริ่มต้นใช้งาน Canva (20 นาที)
(แนะนำ Canva)
"ตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับ Canva กันเลยครับ Canva เป็นเครื่องมือออกแบบออนไลน์ที่ใช้งานง่ายมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือโปร

ขั้นตอนแรก ให้เราเข้าสู่เว็บไซต์ Canva แล้วสมัครสมาชิกก่อนครับ ซึ่งสมัครได้ฟรี แต่ถ้าอยากใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูง ก็มีแบบ Pro ให้เลือก

เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้พิมพ์คำว่า ‘Infographic’ ในช่องค้นหา แล้วคุณจะเจอกับเทมเพลตมากมายให้เลือก ซึ่งทั้งหมดสามารถปรับแต่งได้

การปรับแต่งเทมเพลต:

คุณสามารถเพิ่มข้อความได้ง่าย ๆ เพียงคลิกที่ช่องข้อความแล้วพิมพ์ข้อมูลของคุณ

เลือกไอคอนหรือรูปภาพจากไลบรารีของ Canva ซึ่งมีให้ใช้ฟรีหลายแบบ

ใช้เครื่องมือ Chart เพื่อสร้างแผนภูมิหรือกราฟ สำหรับข้อมูลเชิงตัวเลข

เทคนิคเล็ก ๆ:

ใช้สีสันที่เหมาะกับแบรนด์หรือหัวข้อของคุณ

ฟอนต์ที่เลือกต้องอ่านง่าย และไม่ใช้เกิน 2-3 แบบในงานเดียว

ลองปรับแต่งเลเยอร์และเพิ่มเงาเพื่อทำให้องค์ประกอบดูมีมิติครับ"

ช่วงที่ 4: การนำเสนอและการตรวจสอบผลงาน (10 นาที)
(แสดงตัวอย่าง)
"เมื่อออกแบบ Infographic เสร็จแล้ว อย่าลืมตรวจสอบครับ ตรวจให้แน่ใจว่าข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง และดูว่าภาพรวมของงานดูสมดุลหรือยัง

ผมขอแนะนำว่า การเน้นจุดสำคัญด้วยสีที่แตกต่าง หรือใช้ไอคอนที่ดึงดูดสายตา จะช่วยให้งานของคุณน่าสนใจมากขึ้น

สุดท้าย เมื่อพอใจกับผลงานแล้ว คุณสามารถดาวน์โหลดงานเป็นไฟล์ PNG, JPEG หรือ PDF ได้ หรือจะแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรงจาก Canva ก็สะดวกมากครับ"

ช่วงที่ 5: ปิดท้ายและถาม-ตอบ (5 นาที)
(สรุป)
"วันนี้เราได้เรียนรู้ตั้งแต่ความสำคัญของ Infographic ไปจนถึงการใช้งาน Canva ในการออกแบบ ผมหวังว่าทุกคนจะนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับงานของตัวเองได้นะครับ

ถ้ามีคำถามเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน Canva หรือการออกแบบ Infographic ยินดีตอบเต็มที่เลยครับ ขอบคุณทุกคนมากที่มาร่วมงานในวันนี้ครับ"

(เปิดช่วงถาม-ตอบ)
"เชิญถามได้เลยครับ ยินดีช่วยแนะนำเพิ่มเติมครับ"

หมายเหตุ: คุณสามารถปรับคำพูดหรือเพิ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟังได้ตามความเหมาะสมนะครับ

65
บทพูดบรรยาย: การออกแบบ Infographic ด้วยโปรแกรม Canva
ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง

ช่วงที่ 1: เปิดเรื่อง (10 นาที)
(กล่าวทักทาย)
"สวัสดีครับ/ค่ะ ทุกท่าน ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมงานในวันนี้ ผม/ดิฉันชื่อ [ชื่อคุณ] เป็น [ตำแหน่งหรือบทบาทของคุณ] วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจและมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการสื่อสารข้อมูลในยุคนี้ นั่นคือ การออกแบบ Infographic ด้วยโปรแกรม Canva ครับ/ค่ะ

ถ้าพูดถึง Infographic ทุกคนอาจจะคุ้นเคยกันดีนะครับ/ค่ะ มันคือการนำข้อมูลต่าง ๆ มาจัดเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้น ผ่านภาพ แผนภูมิ และข้อความ แต่การทำให้มันทั้งน่าสนใจและสวยงามนั้นไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ/ค่ะ

โชคดีที่เรามีเครื่องมืออย่าง Canva ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถออกแบบ Infographic ได้อย่างมืออาชีพ โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านการออกแบบมาก่อน ดังนั้นวันนี้ เราจะมารู้จัก Canva กันให้มากขึ้น รวมถึงเรียนรู้วิธีการใช้งานตั้งแต่ต้นจนจบ และใน 1 ชั่วโมงนี้ ผม/ดิฉันมั่นใจว่าทุกคนจะสามารถออกแบบ Infographic ที่น่าสนใจได้แน่นอนครับ/ค่ะ"

ช่วงที่ 2: ความรู้พื้นฐานและการเตรียมตัว (15 นาที)
(อธิบาย Infographic)
"ก่อนที่เราจะเข้าสู่การออกแบบ ขออนุญาตอธิบายก่อนว่า Infographic คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญนะครับ/ค่ะ

Infographic เป็นการนำข้อมูลหรือเนื้อหาที่อาจจะดูซับซ้อน มาเรียบเรียงใหม่ให้เข้าใจง่าย ด้วยการใช้ภาพและองค์ประกอบกราฟิก เช่น ไอคอน แผนภูมิ หรือแผนภาพ ซึ่งมันเหมาะมากสำหรับการสื่อสารในยุคนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบข้อมูลที่เข้าใจได้ในเวลาอันสั้น

และนี่คือสิ่งที่ Infographic สามารถช่วยเราได้ครับ/ค่ะ เช่น การทำสไลด์นำเสนอ การสื่อสารข้อมูลในโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่การทำรายงานในงานองค์กรก็ยังใช้ได้

องค์ประกอบสำคัญของ Infographic มี 3 อย่างครับ/ค่ะ:

การจัดวาง Layout – ต้องดูสมดุลและอ่านง่าย

การเลือกสีและฟอนต์ – ใช้สีที่เข้ากันและฟอนต์ที่อ่านง่าย

การใช้ภาพและไอคอน – เลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหา

และที่สำคัญคือ การเตรียมข้อมูลที่ถูกต้องและกระชับ เป็นขั้นตอนแรกที่ต้องให้ความสำคัญเลยนะครับ/ค่ะ"

ช่วงที่ 3: เริ่มต้นใช้งาน Canva (20 นาที)
(เริ่มแนะนำ Canva)
"เอาล่ะครับ/ค่ะ ตอนนี้เรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกับ Canva กันเลย Canva คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้เราสร้างสรรค์งานออกแบบได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ โฆษณา หรือแม้กระทั่ง Infographic ที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้

ขั้นตอนแรก เราต้องสมัครสมาชิก Canva ก่อนนะครับ/ค่ะ สามารถสมัครได้ทั้งแบบฟรีและแบบ Pro แต่สำหรับการเริ่มต้นแบบฟรีก็เพียงพอแล้ว

ขั้นตอนต่อมา เมื่อเข้าสู่ Canva แล้ว ให้ไปที่เมนูค้นหา และพิมพ์คำว่า ‘Infographic’ จากนั้น Canva จะเสนอเทมเพลตให้เราเลือกมากมาย ซึ่งทุกเทมเพลตสามารถปรับแต่งได้ง่าย ๆ

การปรับแต่งเทมเพลต:

คุณสามารถเพิ่มข้อความโดยคลิกที่ช่องข้อความ แล้วพิมพ์ข้อมูลของคุณลงไป

เลือกรูปภาพหรือไอคอนจากไลบรารีของ Canva ซึ่งมีให้เลือกมากมาย และยังมีเครื่องมือพิเศษอย่างแผนภูมิ ที่ช่วยให้ข้อมูลเชิงตัวเลขดูน่าสนใจมากขึ้น

สิ่งสำคัญคือ การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ดูสมดุล ลองใช้ฟีเจอร์ Snap Grid ของ Canva ที่ช่วยปรับตำแหน่งให้อัตโนมัติครับ/ค่ะ"

ช่วงที่ 4: การนำเสนอและการตรวจสอบผลงาน (10 นาที)
(อธิบายตัวอย่าง)
"เมื่อออกแบบ Infographic เสร็จแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาคือการตรวจสอบครับ/ค่ะ ตรวจสอบทั้งเนื้อหาและความสวยงาม โดยดูว่าข้อมูลครบถ้วนหรือยัง และองค์ประกอบทั้งหมดดูกลมกลืนกันไหม

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรานำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Timeline ให้ตรวจสอบว่าลำดับเวลาเรียงถูกต้อง และเลือกใช้สีที่ช่วยเน้นจุดสำคัญ

เมื่อแน่ใจแล้ว คุณสามารถดาวน์โหลดผลงานในรูปแบบไฟล์ PNG, JPEG หรือ PDF เพื่อใช้งานได้เลย หรือจะแชร์โดยตรงผ่านโซเชียลมีเดียก็ทำได้ง่าย ๆ"

ช่วงที่ 5: ปิดท้ายและถาม-ตอบ (5 นาที)
(สรุปและเชิญถามคำถาม)
"ก่อนจะจบการบรรยายในวันนี้ ผม/ดิฉันขอสรุปสั้น ๆ นะครับ/ค่ะ
วันนี้เราได้เรียนรู้ว่า Infographic ช่วยทำให้ข้อมูลซับซ้อนเข้าใจง่ายขึ้น และ Canva เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การออกแบบเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานด้านการออกแบบหรือไม่

ผม/ดิฉันหวังว่าทุกคนจะได้แรงบันดาลใจและนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับงานของตัวเองนะครับ/ค่ะ

สุดท้ายนี้ ถ้าใครมีคำถามเพิ่มเติม หรืออยากให้ช่วยแนะนำเพิ่มเติม ยินดีมาก ๆ เลยครับ/ค่ะ ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ที่มาร่วมในวันนี้ครับ/ค่ะ"

(เปิดช่วงถาม-ตอบ)
"เชิญถามได้เลยนะครับ/ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน Canva หรือเทคนิคการออกแบบ Infographic ครับ/ค่ะ"

บทพูดนี้สามารถปรับเปลี่ยนคำพูดหรือเนื้อหาให้เข้ากับสไตล์การพูดของคุณได้ครับ/ค่ะ

66
บทบรรยายเรื่อง: การออกแบบ Infographic ด้วยโปรแกรม Canva
ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง

ช่วงที่ 1: การเปิดเรื่อง (10 นาที)
แนะนำตัวและเกริ่นนำ:

ทักทายผู้เข้าฟังและแนะนำตัว

เกริ่นนำเกี่ยวกับบทบาทของ Infographic ในยุคปัจจุบัน

การสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย

ตัวอย่าง Infographic ที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ

กำหนดเป้าหมาย:

ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีการออกแบบ Infographic ที่น่าสนใจ

ทำความรู้จักเครื่องมือ Canva และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่วงที่ 2: ความรู้พื้นฐานและการเตรียมตัว (15 นาที)
Infographic คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

ความหมายและลักษณะของ Infographic

ประเภทของ Infographic เช่น Timeline, Comparison, Process

องค์ประกอบสำคัญของ Infographic:

การจัดวาง Layout

การเลือกสีและฟอนต์ให้เหมาะสม

การใช้ไอคอนและภาพประกอบ

การเตรียมข้อมูล:

การวิเคราะห์และสรุปข้อมูลที่ต้องการนำเสนอ

การจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล

ช่วงที่ 3: เริ่มต้นใช้งาน Canva (20 นาที)
แนะนำ Canva:

Canva คืออะไร?

วิธีการสมัครและเริ่มต้นใช้งาน

การเลือกเทมเพลต:

วิธีค้นหาและเลือกเทมเพลตที่เหมาะสม

การปรับแต่งเทมเพลตให้เข้ากับข้อมูลของคุณ

การออกแบบ Infographic:

การเพิ่มข้อความ รูปภาพ ไอคอน และองค์ประกอบอื่น ๆ

การจัดการเลเยอร์และการจัดวางองค์ประกอบให้สมดุล

การใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น Chart และ Graph

เทคนิคเสริม:

การเลือกสีให้เหมาะกับแบรนด์หรือหัวข้อ

การใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายและดึงดูดความสนใจ

การสร้างจุดเด่นด้วยการใช้ Contrast

ช่วงที่ 4: การนำเสนอและการตรวจสอบผลงาน (10 นาที)
ตัวอย่างผลงาน:

แสดงตัวอย่าง Infographic ที่ออกแบบด้วย Canva

วิเคราะห์จุดเด่นและสิ่งที่ควรพัฒนา

การตรวจสอบก่อนเผยแพร่:

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

ตรวจสอบความสมดุลขององค์ประกอบ

การบันทึกและการแชร์:

วิธีดาวน์โหลด Infographic ในรูปแบบต่าง ๆ

การแชร์ผลงานผ่านโซเชียลมีเดีย

ช่วงที่ 5: ปิดท้ายและถาม-ตอบ (5 นาที)
สรุป:

ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ในวันนี้

ย้ำประโยชน์ของ Infographic และ Canva

ถาม-ตอบ:

เปิดโอกาสให้ผู้เข้าฟังถามคำถาม

แนะนำแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Canva Tutorials หรือชุมชนนักออกแบบ

ฝากข้อคิด:

“Infographic ที่ดีไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น”

Tips สำหรับการบรรยาย:
ใช้สไลด์ประกอบเพื่อให้ผู้เข้าฟังเห็นตัวอย่างและขั้นตอนชัดเจน

มีการทำ Workshop เล็ก ๆ เช่น ให้ผู้ฟังลองปรับแต่งเทมเพลตใน Canva

กระตุ้นความสนใจด้วยการเล่าเรื่องหรือยกตัวอย่างจากชีวิตจริง

คุณสามารถปรับแต่งเนื้อหาเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับผู้ฟังได้ตามต้องการ

67
Web Site / ตังค่า เมนู ข้าง
« เมื่อ: 21/03/25 »
ตังค่า เมนู ข้าง


68
การ "รอให้เป็น เย็นให้พอ" เป็นทักษะสำคัญในการเทรด Forex และสามารถฝึกฝนได้ด้วยวิธีการที่ง่ายและนำไปใช้ได้จริงดังนี้:

1. กำหนดแผนการเทรดให้ชัดเจน
เตรียม Trading Plan: เขียนแผนการเทรดที่มีจุดเข้า (Entry) จุดออก (Exit) จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) อย่างชัดเจน
ใช้กฎ 3 ไม่:
ไม่เทรดโดยไม่มีแผน
ไม่ปรับแผนระหว่างทาง
ไม่ฝืนตลาด
เมื่อคุณมีแผนที่ชัดเจน การรอจังหวะตามแผนจะง่ายขึ้น

2. ใช้ Timeframe ที่เหมาะสม
หากคุณไม่ถนัดการเฝ้าหน้าจอ ให้ใช้ Timeframe ที่ยาวขึ้น เช่น 4 ชั่วโมง หรือรายวัน (Daily) ซึ่งช่วยลดการเทรดบ่อยเกินไป
การใช้ Timeframe ที่เหมาะสมช่วยให้คุณมีเวลาในการวิเคราะห์และไม่ถูกกดดันจากความเคลื่อนไหวระยะสั้น

3. ตั้งค่าการแจ้งเตือน (Alert)
ใช้เครื่องมือการแจ้งเตือนในแพลตฟอร์มเทรด เช่น MetaTrader หรือ TradingView
ตั้งค่าการแจ้งเตือนเมื่อราคามาถึงจุดที่คุณต้องการ (เช่น แนวรับ/แนวต้านสำคัญ) แทนการเฝ้าจอตลอดเวลา
วิธีนี้ช่วยลดความเครียดและช่วยให้คุณรอจังหวะได้ง่ายขึ้น

4. ใช้คำสั่งล่วงหน้า (Pending Order)
ตั้งคำสั่ง Buy Limit หรือ Sell Limit ไว้ที่จุดที่คุณวางแผนจะเข้า
คุณไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าจอตลอดเวลา และยังช่วยให้คุณเข้าสู่ตลาดในจุดที่วางแผนไว้โดยไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ

5. ฝึกการควบคุมอารมณ์
ฝึกสมาธิ: ใช้เวลา 5-10 นาทีต่อวันในการทำสมาธิหรือการหายใจลึก ๆ เพื่อลดความกังวลและเพิ่มสมาธิ
ตั้งสติเมื่อขาดทุน: ยอมรับการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของเกม อย่าพยายาม "แก้เกม" ด้วยการเปิดออเดอร์ใหม่ทันที
หยุดพัก: หากเริ่มรู้สึกเครียด ให้หยุดพักจากการเทรดและกลับมาวิเคราะห์ใหม่ในภายหลัง

6. บันทึกการเทรด (Trading Journal)
จดบันทึกการเทรดทุกครั้ง รวมถึงอารมณ์และเหตุผลในการเทรด
ทบทวนย้อนหลังว่าคุณพลาดตรงไหน เพราะอารมณ์หรือเพราะแผนไม่ชัดเจน
การบันทึกช่วยให้คุณเรียนรู้และพัฒนาการควบคุมอารมณ์ในระยะยาว

7. จำกัดการเทรดต่อวัน
ตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดออเดอร์ได้ไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน
หากถึงจำนวนที่ตั้งไว้แล้ว ให้หยุดเทรด แม้ว่าจะมีโอกาสใหม่เข้ามาก็ตาม
การจำกัดจำนวนครั้งช่วยลดการเทรดเกินตัว (Overtrading) ซึ่งมักเกิดจากความใจร้อน

8. ใช้ตัวช่วยทางจิตวิทยา
กำหนดรางวัล: ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามแผนได้ เช่น กินอาหารที่ชอบหรือพักผ่อน
กำหนดบทลงโทษ: เช่น ห้ามเทรดในวันถัดไปหากคุณฝืนแผนหรือใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
สรุป
การรอให้เป็นและเย็นให้พอ เป็นเรื่องของการฝึกวินัยและการควบคุมอารมณ์ วิธีเหล่านี้ช่วยให้คุณสร้างระบบที่ช่วยลดผลกระทบจากอารมณ์ ทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น

หากต้องการเจาะลึกวิธีการใดเพิ่มเติมหรือปรับให้เข้ากับสไตล์ของคุณ

69
"การรอให้เป็น เย็นให้พอ" ในการเทรด Forex หมายถึงการมีวินัยและความอดทนในการตัดสินใจเทรด โดยไม่รีบเร่งหรือใช้อารมณ์เป็นตัวนำพา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ นี่คือความหมายของแนวคิดนี้ในรายละเอียด:

1. การรอให้เป็น
การวางแผน: ก่อนที่จะทำการเทรด นักเทรดควรมีแผนการที่ชัดเจน เช่น การตั้งจุดเข้า-ออก (Entry/Exit) จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit)
รอจังหวะที่เหมาะสม: ไม่เทรดเพียงเพราะต้องการทำกำไรเร็ว แต่รอจนกว่าสัญญาณที่ตรงกับแผนการเทรดจะปรากฏ เช่น การรอให้ราคาเข้าสู่แนวรับ/แนวต้านสำคัญ หรือรอให้สัญญาณจากเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยืนยัน
ไม่รีบเร่ง: การรอให้ราคาเคลื่อนที่ตามแผนช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพราะอารมณ์หรือความรีบเร่ง
2. เย็นให้พอ
ควบคุมอารมณ์: การเทรดโดยใช้อารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโลภ อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การมีสติและใจเย็นช่วยให้คุณปฏิบัติตามแผนการเทรดได้อย่างเคร่งครัด
ไม่ไล่ตามราคา: เมื่อตลาดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว อาจเกิดความรู้สึกอยากเข้าเทรดทันทีเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส แต่การใจเย็นและวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจจะช่วยลดความเสี่ยงได้
มีสติกับการขาดทุน: หากการเทรดไม่เป็นไปตามแผน การยอมรับความผิดพลาดและใจเย็นเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่จะดีกว่าการพยายาม "เอาคืน" ด้วยการเปิดเทรดใหม่ทันที
สรุป
"การรอให้เป็น เย็นให้พอ" ใน Forex คือการมีวินัย ความอดทน และความสงบในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์หรือการวางแผนเทรด สามารถแจ้งมาได้นะครับ!

70
สวัสดีครับทุกท่าน

ก่อนเริ่มการบรรยายในวันนี้ ผมอยากเล่าประสบการณ์เล็ก ๆ จากมุมมองของผมในฐานะเจ้าหน้าที่ศาลครับ

ลองนึกภาพตามนะครับ… คุณเป็นเจ้าหน้าที่ศาลที่ต้องจัดการกระบวนการพิจารณาคดี วันหนึ่งคุณได้รับมอบหมายให้จัดการคดีที่มีพยานอยู่ต่างจังหวัด จำเลยถูกคุมขังในอีกพื้นที่ และทนายความฝ่ายโจทก์กับจำเลยมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้การนัดหมายมาพบกันในศาลอาจเป็นเรื่องยาก

ในสถานการณ์แบบนี้ เทคโนโลยีการประชุมออนไลน์อย่าง Google Meet กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กระบวนการพิจารณาคดีเดินหน้าได้อย่างราบรื่น

พยานสามารถให้การผ่านหน้าจอได้จากสถานที่ปลอดภัย
ทนายทั้งสองฝ่ายสามารถแสดงความคิดเห็นและโต้แย้งกันได้แบบเรียลไทม์
จำเลยสามารถเข้าร่วมการพิจารณาคดีโดยไม่ต้องเดินทาง

ในฐานะเจ้าหน้าที่ศาล หน้าที่ของเราคือการจัดเตรียมและบริหารจัดการทุกอย่างให้พร้อม ตั้งแต่การสร้างลิงก์ประชุม การตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปจนถึงการดูแลให้กระบวนการพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย

วันนี้ ผมจะพาทุกท่านมาดูว่า Google Meet สามารถช่วยให้กระบวนการทำงานของศาลในรูปแบบออนไลน์มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

เราจะเรียนรู้วิธีการใช้งาน Google Meet เพื่อสร้างลิงก์ประชุมและจัดการผู้เข้าร่วม
ทำความเข้าใจกับฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยให้การพิจารณาคดีราบรื่น เช่น การแชร์หน้าจอ การบันทึกประชุม และการจัดการ Breakout Rooms
และพูดคุยถึงเคล็ดลับการเตรียมตัวในฐานะเจ้าหน้าที่ศาล เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปได้อย่างมืออาชีพ
ผมเชื่อว่าหลังจากนี้ ทุกท่านจะสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้ได้จริงในงานของท่านครับ ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยครับ!




หัวข้อ: การใช้งาน Google Meet อย่างมืออาชีพ
สวัสดีครับทุกท่าน
วันนี้เราจะมาพูดถึง "การใช้งาน Google Meet" ซึ่งเป็นเครื่องมือประชุมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกัน การเรียนการสอน หรือแม้แต่การพูดคุยแบบส่วนตัว Google Meet ช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พร้อมฟีเจอร์ที่หลากหลายและใช้งานได้สะดวก

1. ความสำคัญของ Google Meet ในยุคดิจิทัล
Google Meet เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace และออกแบบมาให้ตอบโจทย์การประชุมออนไลน์ในทุกสถานการณ์

ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ผู้เข้าร่วมประชุมจะอยู่คนละที่
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
รองรับผู้ใช้งานทั้งในระดับบุคคล กลุ่มเล็ก ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่
2. วิธีการเริ่มต้นใช้งาน Google Meet
2.1 การเข้าถึง Google Meet
ผ่านเว็บไซต์:

เข้าไปที่ meet.google.com
ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google
คลิก “เริ่มการประชุมใหม่” (Start a new meeting) หรือ “ป้อนรหัสประชุม” (Enter a code)
ผ่านแอปพลิเคชัน:

ดาวน์โหลดแอป Google Meet บนสมาร์ทโฟน (iOS หรือ Android)
ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google
ผ่าน Gmail:

เปิด Gmail และดูที่แถบด้านซ้ายมือ
คลิก "เริ่มการประชุม" หรือ "เข้าร่วมการประชุม" ได้โดยตรง
2.2 การเริ่มประชุมใหม่
คลิก "New Meeting"
เลือกว่าจะ:
สร้างลิงก์ประชุมและแชร์กับผู้อื่น
เริ่มประชุมทันที
ตั้งเวลาประชุมผ่าน Google Calendar
2.3 การเข้าร่วมประชุม
คลิกลิงก์ที่ได้รับจากอีเมลหรือแอปพลิเคชัน
ป้อนรหัสการประชุม (Meeting Code)
ตรวจสอบไมโครโฟนและกล้องก่อนเข้าร่วม
3. ฟีเจอร์สำคัญของ Google Meet
3.1 การแชร์หน้าจอ (Screen Sharing)
ใช้สำหรับนำเสนอเอกสาร สไลด์ หรือสาธิตการใช้งานโปรแกรม
วิธีการ:
คลิก "Present Now" ที่มุมล่างขวา
เลือกว่าจะนำเสนอทั้งหน้าจอ หน้าต่าง หรือแท็บในเบราว์เซอร์
3.2 การเปลี่ยนพื้นหลัง (Background Blur/Change Background)
เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือพื้นที่รอบตัวไม่เหมาะสม
วิธีการ:
คลิกที่ไอคอนกล้อง จากนั้นเลือก "Apply visual effects"
เลือกเบลอพื้นหลังหรือเปลี่ยนเป็นภาพอื่น
3.3 การบันทึกการประชุม (Recording)
ใช้สำหรับเก็บเนื้อหาเพื่อการทบทวนหรือส่งต่อ
วิธีการ:
คลิกที่จุดสามจุดมุมล่างขวา
เลือก “Record meeting”
ไฟล์จะถูกบันทึกใน Google Drive
3.4 ฟีเจอร์ Breakout Rooms
แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุมเป็นห้องย่อยเพื่อทำงานเฉพาะกิจ
วิธีการ:
ผู้ดูแลการประชุม (Host) คลิกที่ “Activities”
เลือก “Breakout Rooms” และกำหนดจำนวนห้อง
3.5 Live Captions
ฟีเจอร์คำบรรยายสดที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมติดตามเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
วิธีการ:
คลิกเปิด/ปิดคำบรรยายที่มุมล่างขวา
4. เคล็ดลับการใช้งาน Google Meet อย่างมืออาชีพ
เตรียมพร้อมก่อนประชุม

ตรวจสอบไมโครโฟน กล้อง และอินเทอร์เน็ต
ตั้งค่าพื้นหลังให้ดูเรียบร้อย
บริหารจัดการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ

เริ่มต้นการประชุมตรงเวลา
ใช้ Breakout Rooms และการแชร์หน้าจอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ปิดเสียงไมโครโฟนเมื่อไม่พูด

ลดเสียงรบกวนจากพื้นหลังและเพิ่มสมาธิให้ผู้เข้าร่วมประชุม
ใช้คำเชิญอย่างชัดเจน

ระบุหัวข้อ เวลา และเนื้อหาการประชุมล่วงหน้า
5. การเชื่อมต่อ Google Meet กับบริการอื่นใน Google Workspace
Google Calendar:
สร้างการประชุมใน Calendar พร้อมส่งคำเชิญและเพิ่มลิงก์ Google Meet อัตโนมัติ

Google Drive:
แชร์ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมได้โดยตรง

Gmail:
แนบลิงก์ Google Meet ในอีเมลเพื่อนัดหมายการประชุม

6. กรณีศึกษา: การใช้งาน Google Meet ในชีวิตจริง
กรณี 1: การประชุมทีมงานระหว่างประเทศ
ทีมงานที่กระจายอยู่ในหลายประเทศสามารถใช้ Google Meet สำหรับประชุมสรุปแผนงานรายสัปดาห์ โดยใช้ฟีเจอร์คำบรรยายสดเพื่อช่วยผู้เข้าร่วมที่พูดภาษาต่างกัน

กรณี 2: การเรียนการสอนออนไลน์
ครูสามารถใช้ Google Meet สำหรับสอนออนไลน์ พร้อมแชร์หน้าจอเพื่อสาธิตบทเรียน และบันทึกการสอนเพื่อให้นักเรียนทบทวน

7. กิจกรรมระหว่างบรรยาย
แบบฝึกหัด:
ให้ผู้เข้าร่วมทดลองใช้ Google Meet โดยเริ่มประชุมและแชร์หน้าจอ
ถาม-ตอบ:
เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามคำถามเกี่ยวกับฟีเจอร์หรือการแก้ปัญหาการใช้งาน
8. สรุป
Google Meet เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและใช้งานง่าย หากเรารู้จักฟีเจอร์ที่หลากหลายและสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมออนไลน์ได้อย่างมหาศาล

หวังว่าบทบรรยายนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจและพร้อมใช้งาน Google Meet อย่างมั่นใจ ขอบคุณครับ!

71
หัวข้อ: การใช้งาน Google Meet และบริการของ Gmail
สวัสดีครับ/ค่ะทุกท่าน

ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมฟังการบรรยายในวันนี้ หัวข้อของเราคือ "การใช้งาน Google Meet และบริการของ Gmail" ซึ่งเป็นสองบริการที่ไม่เพียงช่วยให้การสื่อสารและการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ยังช่วยให้ชีวิตประจำวันของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

เราจะพูดคุยกันใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่

การใช้งาน Gmail อย่างมืออาชีพ
การใช้ Google Meet ในการประชุมออนไลน์
การผสานการทำงานระหว่าง Gmail และ Google Meet
เคล็ดลับและกรณีศึกษาที่นำไปใช้ได้จริง
ส่วนที่ 1: การใช้งาน Gmail อย่างมืออาชีพ
Gmail ไม่ใช่แค่อีเมลธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบชีวิตและการทำงานของเราได้อย่างยอดเยี่ยม

1.1 ฟีเจอร์สำคัญของ Gmail
Smart Compose และ Smart Reply:
ฟีเจอร์ที่ช่วยเขียนอีเมลอย่างรวดเร็วและมืออาชีพ โดยระบบจะเสนอคำแนะนำหรือข้อความตอบกลับอัตโนมัติ
ตัวอย่าง: เมื่อคุณได้รับอีเมลเกี่ยวกับการประชุม ระบบอาจเสนอข้อความตอบกลับเช่น "ขอบคุณสำหรับข้อมูล ผมจะเข้าร่วมประชุม"

Confidential Mode:
โหมดอีเมลที่เพิ่มความปลอดภัย โดยสามารถตั้งวันหมดอายุสำหรับข้อความและป้องกันการดาวน์โหลดหรือคัดลอกเนื้อหา

Gmail Offline:
ใช้งาน Gmail ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เพียงแค่ตั้งค่าล่วงหน้า คุณสามารถอ่าน เขียน และเก็บร่างข้อความไว้ส่งเมื่อกลับมาเชื่อมต่อ

1.2 การจัดการ Gmail ให้เป็นระเบียบ
การใช้ Labels และ Filters:
สร้างหมวดหมู่สำหรับอีเมล เช่น "งานเร่งด่วน" หรือ "ลูกค้า VIP" พร้อมตั้งค่าให้ระบบกรองอีเมลเข้าสู่หมวดหมู่ที่กำหนดโดยอัตโนมัติ

การตั้งค่า Priority Inbox:
Gmail สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของเรา และจัดลำดับอีเมลสำคัญมาแสดงก่อน

1.3 เคล็ดลับที่หลายคนมองข้าม
ตั้งค่าลายเซ็นอัจฉริยะ: เพิ่มชื่อ-นามสกุล ตำแหน่ง และข้อมูลติดต่อในทุกอีเมลของคุณ
ใช้ Tasks และ Keep Notes ร่วมกับ Gmail: บริหารจัดการงานและบันทึกสำคัญที่เชื่อมโยงกับอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนที่ 2: การใช้ Google Meet ในการประชุมออนไลน์
Google Meet คือเครื่องมือประชุมออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่าย แต่มีฟีเจอร์ที่ทรงพลัง

2.1 ฟีเจอร์เด่นของ Google Meet
การแชร์หน้าจอ (Screen Sharing):
เหมาะสำหรับการนำเสนองาน การสอน หรือการให้คำแนะนำ
ตัวอย่าง: คุณสามารถแชร์หน้าจอ PowerPoint ขณะบรรยาย หรือเปิดไฟล์ Excel เพื่อสาธิตการวิเคราะห์ข้อมูล

Breakout Rooms:
ฟีเจอร์ที่ช่วยแบ่งผู้เข้าร่วมประชุมออกเป็นกลุ่มย่อย สำหรับการระดมความคิดหรือทำงานเฉพาะกิจ

Live Captions:
แสดงคำบรรยายสดระหว่างการประชุม เหมาะสำหรับการประชุมที่มีผู้เข้าร่วมจากหลายภาษา

การบันทึกการประชุม (Recording):
ใช้เก็บข้อมูลสำคัญไว้ทบทวนหรือส่งต่อให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วม

2.2 เทคนิคการใช้งาน Google Meet อย่างมืออาชีพ
เตรียมการล่วงหน้า:
ตรวจสอบกล้อง ไมโครโฟน และอินเทอร์เน็ตก่อนการประชุมเสมอ

สร้างบรรยากาศที่เหมาะสม:
ใช้ฟีเจอร์ Background Blur หรือเปลี่ยนพื้นหลังเพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ

ตั้งค่าคำเชิญที่ชัดเจน:
ระบุหัวข้อ เวลา และวาระการประชุมในคำเชิญเพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมเตรียมตัวได้ดี

ส่วนที่ 3: การผสานการทำงานระหว่าง Gmail และ Google Meet
จุดเด่นของบริการ Google คือการทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ตัวอย่างเช่น

เมื่อคุณได้รับคำเชิญประชุมใน Gmail คุณสามารถคลิกลิงก์เพื่อเข้าร่วม Google Meet ได้ทันที
หากคุณแนบไฟล์จาก Google Drive ในอีเมล ระบบจะสามารถดึงไฟล์นั้นมาใช้งานในการประชุมได้
กรณีศึกษา:
สถานการณ์: ทีมงานต้องประชุมและอัปเดตแผนงานรายสัปดาห์
คุณสามารถสร้างคำเชิญประชุมใน Google Calendar
ส่งลิงก์เข้าร่วมผ่าน Gmail พร้อมแนบเอกสารที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมอ่าน
ระหว่างการประชุม ใช้ Google Meet เพื่อพูดคุย และแชร์เอกสารประกอบแบบเรียลไทม์
ส่วนที่ 4: เคล็ดลับและกรณีศึกษาเพิ่มเติม
เคล็ดลับ:
จัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: ใช้ Google Calendar ควบคู่กับ Gmail และ Google Meet เพื่อกำหนดเวลาและแจ้งเตือน
ฝึกฝนการสื่อสารออนไลน์: ใช้ฟีเจอร์ Chat หรือ Q&A ใน Google Meet เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
กรณีศึกษาในชีวิตจริง:
องค์กร A: ใช้ Google Meet สำหรับการสัมมนาออนไลน์ (Webinar) โดยเชื่อมต่อกับ Gmail ในการส่งคำเชิญและสรุปเนื้อหา
นักเรียน B: ใช้ Google Meet สำหรับเรียนออนไลน์ และใช้ Gmail ในการส่งการบ้าน
กิจกรรมระหว่างบรรยาย
เพื่อให้บรรยายมีส่วนร่วม แนะนำให้เพิ่มกิจกรรม เช่น

ถาม-ตอบ (Q&A): ให้ผู้ฟังถามคำถามเกี่ยวกับการใช้งาน Gmail หรือ Google Meet
แบบฝึกหัดสั้น: ให้ผู้ฟังทดลองใช้ฟีเจอร์ เช่น การสร้างอีเมลหรือการเริ่มประชุมใน Google Meet
สรุป
การใช้งาน Gmail และ Google Meet อย่างถูกวิธี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและชีวิตประจำวัน หากเรานำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม เราจะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หวังว่าทุกท่านจะได้รับความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ขอบคุณที่รับฟังครับ/ค่ะ

72
คู่มือวิธีการเพิ่มฟังก์ชัน Chatbot ให้แสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ศาล

1. เข้ายังหน้าจอ admin ผู้ดูแลเว็บไซต์
2. เมนูจัดการด้านซ้าย เลือก “จัดการระบบ”
3. เลือกเมนู “จัดการ Widget”

4. เพิ่ม script ไว้ที่ส่วน header
4.1 เลือกรายการ Widget ชื่อว่า “ชื่อเว็บไซต์”
4.2 ตั้งค่า Widget ให้กดปุ่ม “ดูรหัส HTML”
4.3 แก้ไข HTML โดยเพิ่มโค้ดนี้ไว้ที่บรรทัดล่างสุด

<link href="https://phonebook.coj.go.th/theme/assets/css/chatbot.css" rel="stylesheet" />

4.4 กดปุ่ม “บันทึก” เพื่อบันทึกการตั้งค่า

5. เพิ่ม script ไว้ที่ส่วน footer ด้านล่าง
5.1 เลือกรายการ Widget ชื่อว่า “ที่อยู่ footer”
5.2 ตั้งค่า Widget ให้กดปุ่ม “ดูรหัส HTML”
5.3 แก้ไข HTML โดยเพิ่มโค้ดนี้ไว้ที่บรรทัดล่างสุด

<p>&nbsp;</p>
<script src="https://phonebook.coj.go.th/theme/assets/js/chatbot.js"></script>

5.4 กดปุ่ม “บันทึก” เพื่อบันทึกการตั้งค่า

6. เมื่อเข้าเว็บไซต์ศาลจะปรากฏรูป COJ Chatbot อยู่ที่บริเวณด้านล่างขวาของหน้าเว็บไซต์
***หมายเหตุ ติ๊กสถานะ chatbot เดิมไม่ใช้งานด้วย

73
รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์

รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์

(1) เปิดเรื่อง: ดึงความสนใจผู้ฟัง

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องที่สำคัญมากในยุคดิจิทัล นั่นคือ "การรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์" คำถามแรกที่ผมอยากให้ทุกท่านลองคิดคือ คุณมั่นใจแค่ไหนว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อ?

ลองนึกภาพดูนะครับ…

คุณได้รับข้อความแจ้งว่าถูกเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิต ทั้งที่คุณไม่เคยใช้!

คุณเห็นโฆษณาขายสินค้าราคาถูกเกินจริง และกดสั่งซื้อเพราะกลัวพลาดโอกาส!

หรือแม้แต่ได้รับสายจาก "เจ้าหน้าที่" แจ้งว่าคุณเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ต้องโอนเงินเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์!

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มิจฉาชีพพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ให้ซับซ้อนมากขึ้น จนบางครั้งแม้แต่คนที่คิดว่าระมัดระวังแล้วก็ยังพลาดท่าได้

(2) มิจฉาชีพออนไลน์ทำงานอย่างไร?

มิจฉาชีพบนโลกออนไลน์มีหลายรูปแบบมาก วันนี้เราจะมาดูกลโกงที่พบบ่อยและวิธีที่พวกเขาหลอกล่อเหยื่อ

1. ฟิชชิ่ง (Phishing) - หลอกให้คลิกลิงก์และขโมยข้อมูล

ฟิชชิ่งคือการที่มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากองค์กรจริง เช่น ธนาคารหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์และกรอกข้อมูลเข้าไป ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งตรงถึงมิจฉาชีพทันที

ตัวอย่าง: อีเมลจาก "ธนาคาร" แจ้งว่าบัญชีของคุณถูกล็อก และให้คลิกที่ลิงก์เพื่อยืนยันตัวตน

2. หลอกให้โอนเงิน - แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ Romance Scam

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้จิตวิทยาในการข่มขู่เหยื่อ เช่น อ้างว่าเป็นตำรวจ สรรพากร หรือเจ้าหน้าที่รัฐ และบังคับให้โอนเงินเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

Romance Scam หลอกเหยื่อทางความรัก โดยใช้โซเชียลมีเดียหรือแอปหาคู่ สร้างความสัมพันธ์ และสุดท้ายขอให้ช่วยโอนเงิน

3. โฆษณาปลอม และเว็บขายของปลอม

คุณเคยเห็นสินค้าราคาถูกกว่าปกติหลายเท่าบน Facebook หรือไม่? หลายครั้งสิ่งที่คุณจ่ายเงินซื้อ อาจไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าคุณภาพต่ำกว่าที่โฆษณา

(3) วิธีป้องกันตัวเองจากมิจฉาชีพออนไลน์

✅ อย่าคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ – ถ้าได้รับอีเมลหรือ SMS จากธนาคารหรือแพลตฟอร์มใดๆ ให้เข้าเว็บหลักโดยตรงแทนที่จะคลิกลิงก์ในข้อความ✅ ตั้งค่าความปลอดภัยบัญชีออนไลน์ – ใช้รหัสผ่านที่คาดเดายาก เปิดใช้การยืนยันตัวตน 2 ชั้น✅ เช็กข้อมูลก่อนทำธุรกรรม – ถ้ามีใครโทรมาอ้างว่าเป็นตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐ ให้ติดต่อกลับที่เบอร์ทางการก่อน✅ ใช้สติ อย่ารีบโอนเงิน – มิจฉาชีพมักใช้ความเร่งด่วนและความกลัวมากดดันเหยื่อเสมอ

(4) กรณีศึกษาจริงที่เกิดขึ้น

เรามาดูตัวอย่างจริงของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านี้

 กรณีที่ 1: แก๊งคอลเซ็นเตอร์ – หญิงวัย 50 ถูกโทรศัพท์หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ถูกบังคับให้โอนเงินกว่า 5 ล้านบาท  กรณีที่ 2: หลอกขายสินค้าทางออนไลน์ – นักศึกษาซื้อโทรศัพท์ราคาถูกจากโฆษณา Facebook สุดท้ายได้กล่องเปล่า

(5) สรุปและข้อคิดปิดท้าย

โลกออนไลน์เต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็เต็มไปด้วยภัยร้ายที่ซ่อนอยู่เช่นกัน วันนี้ทุกท่านได้เรียนรู้แล้วว่า กลโกงของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

 สิ่งสำคัญที่สุดคือ “สติ” และ “ความรู้”

ถ้ามีใครอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ให้โทรกลับเบอร์ทางการเท่านั้น

อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นเกินจริง

อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้ใครง่ายๆ

ตั้งค่าความปลอดภัยให้บัญชีออนไลน์ทุกช่องทาง

สุดท้ายนี้… คุณจะเลือกเป็นเหยื่อ หรือจะเลือกเป็นผู้ที่รู้เท่าทัน?

หวังว่าวันนี้ทุกท่านจะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ และสามารถนำไปใช้ป้องกันตัวเองจากภัยร้ายบนโลกออนไลน์ได้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่รับฟัง!

74
รู้เท่าทันกลโกงออนไลน์ ป้องกันตัวก่อนตกเป็นเหยื่อ

(เริ่มเรื่อง – ดึงความสนใจ)

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังนั่งชิล ๆ เลื่อนโทรศัพท์อยู่ดี ๆ แล้วมีข้อความแจ้งว่า “ยินดีด้วย! คุณถูกรางวัล 10 ล้านบาท” ทั้งที่ยังไม่เคยซื้อลอตเตอรี่! หรือจู่ ๆ มีคนโทรมาบอกว่า “คุณมีคดีติดตัว ถ้าไม่อยากติดคุก โอนเงินมาเดี๋ยวนี้!” เดี๋ยวนะ... นี่เรากลายเป็นอาชญากรไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ถ้าเจออะไรแบบนี้ รีบตั้งสติให้ไว เพราะนี่อาจเป็นกลโกงจากมิจฉาชีพออนไลน์!

(รูปแบบกลโกงที่พบบ่อย)

ฟิชชิ่ง (Phishing) – หลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือข้อความปลอมจากธนาคาร หรือบริษัทดัง ๆ ให้เรากรอกข้อมูล เช่น รหัสผ่าน หรือเลขบัตรเครดิต จากนั้นขโมยเงินไป ให้คิดซะว่า ถ้าธนาคารส่งลิงก์ให้กรอกข้อมูลเหมือนแจกขนม นั่นคือของปลอมแน่นอน!

หลอกให้รักแล้วลวงเงิน (Romance Scam)
เจอคนในแอปหาคู่ ทำทีเป็นรักเราหัวปักหัวปำ คุยไปสักพักก็อ้างว่ามีปัญหาเรื่องเงิน ขอให้ช่วยโอนหน่อย ถ้าความรักต้องแลกกับเลขบัญชี ควรเปลี่ยนจาก ‘แฟน’ เป็น ‘แฟนธง’ แล้วโบกมือลาเถอะ!

ลงทุนลวงโลก (Investment Scam)
มีคนมาชวนลงทุน บอกว่า “กำไรสูง คืนทุนไว” แต่พอจะถอนเงิน กลับหายเข้ากลีบเมฆ อย่าลืม! โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ นอกจากแดดแรงกับลมพัดแรง ๆ

ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจ
โทรมาอ้างว่าคุณมีคดี ถ้าไม่อยากโดนจับ ต้องรีบโอนเงิน ขอโทษนะครับคุณตำรวจ ถ้าจะจับจริง ขอหมายจับเป็นลายลักษณ์อักษรนะ ไม่ใช่หมายจับโอนเงิน!

แอปปลอม – ดูดเงินจากบัญชี
แอปบางตัวดูเหมือนแอปธนาคารเป๊ะ แต่จริง ๆ แล้วเป็นของปลอม โหลดผิดชีวิตเปลี่ยน! เงินหายไวเหมือนโดนดูดวิญญาณ

(วิธีป้องกัน – ปิดช่องโหว่ก่อนถูกหลอก)

อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวง่าย ๆ โดยเฉพาะรหัสผ่านหรือเลขบัญชีธนาคาร

เช็กให้ชัวร์ก่อนโอนเงิน ถ้ามีคนบอกให้โอนเงิน รีบตรวจสอบก่อนเสมอ

ใช้รหัสผ่านที่เดายาก และเปิดระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)

โหลดแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น App Store หรือ Google Play

อย่าหลงเชื่อโฆษณาลงทุนที่ดูดีเกินจริง ถ้ารวยง่าย ก็มักจะเป็นกลโกง!

ตั้งสติเมื่อมีสายแปลก ๆ โทรมา ตำรวจจริง หรือหน่วยงานรัฐ จะไม่โทรมาขอเงินเด็ดขาด!

(สรุป – ป้องกันตัวเองไว้ก่อน)

มิจฉาชีพออนไลน์หาวิธีใหม่ ๆ มาหลอกเราเสมอ เราต้องไม่ประมาท! ตั้งสติ คิดให้รอบคอบก่อนเชื่อหรือโอนเงิน และช่วยเตือนคนรอบข้างด้วย อย่าปล่อยให้เงินในบัญชีเราหายไปไวกว่าเงินเดือนที่เพิ่งออก!


75
รู้เท่าทันกลโกงออนไลน์ ป้องกันตัวก่อนตกเป็นเหยื่อ

(เริ่มเรื่อง – ดึงความสนใจ)

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้โทรศัพท์อยู่ดี ๆ แล้วมีข้อความแจ้งว่าคุณถูกรางวัลใหญ่! หรือมีคนโทรมาบอกว่าคุณมีคดีติดตัว ถ้าไม่รีบโอนเงิน อาจโดนจับ! นี่คือวิธีที่มิจฉาชีพใช้หลอกเหยื่อทางออนไลน์ และพวกเขาก็มีเทคนิคใหม่ ๆ ออกมาเสมอ

(รูปแบบกลโกงที่พบบ่อย)

ฟิชชิ่ง (Phishing) – หลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือข้อความปลอมจากธนาคาร หรือบริษัทชื่อดัง ให้เรากรอกข้อมูล เช่น รหัสผ่าน หรือบัตรเครดิต จากนั้นขโมยเงินไป

หลอกให้รักแล้วลวงเงิน (Romance Scam)
เจอคนในแอปหาคู่หรือโซเชียลมีเดีย ทำทีเป็นรักเรามาก จากนั้นขอให้ช่วยโอนเงิน อ้างว่ามีปัญหาด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าเดินทาง

ลงทุนลวงโลก (Investment Scam)
มีคนมาชวนลงทุน บอกว่ากำไรดีมาก ได้เงินเร็ว แต่พอจะถอนเงินกลับทำไม่ได้ หายตัวไปเลย!

ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจ
โทรมาอ้างว่าคุณมีคดี หรือพัสดุต้องสงสัย ถ้าอยากเคลียร์เรื่อง ต้องโอนเงินทันที จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น!

แอปปลอม – ดูดเงินจากบัญชี
มีแอปที่ดูเหมือนแอปธนาคาร แต่เป็นของปลอม พอเราดาวน์โหลด ข้อมูลบัญชีเราก็ถูกขโมยไปใช้ทันที

(วิธีป้องกัน – ปิดช่องโหว่ก่อนถูกหลอก)

อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวง่าย ๆ โดยเฉพาะรหัสผ่านหรือเลขบัญชีธนาคาร

เช็กให้ชัวร์ก่อนโอนเงิน ถ้ามีคนบอกให้โอนเงิน รีบตรวจสอบก่อนเสมอ

ใช้รหัสผ่านที่เดายาก และเปิดระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)

โหลดแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น App Store หรือ Google Play

อย่าหลงเชื่อโฆษณาลงทุนที่ดูดีเกินจริง ถ้ารวยง่าย ก็มักจะเป็นกลโกง!

ตั้งสติเมื่อมีสายแปลก ๆ โทรมา ตำรวจจริง หรือหน่วยงานรัฐ จะไม่โทรมาขอเงินเด็ดขาด!

(สรุป – ป้องกันตัวเองไว้ก่อน)

มิจฉาชีพออนไลน์หาวิธีใหม่ ๆ มาหลอกเราเสมอ เราต้องไม่ประมาท! ตั้งสติ คิดให้รอบคอบก่อนเชื่อหรือโอนเงิน และช่วยเตือนคนรอบข้างด้วย อย่าปล่อยให้มิจฉาชีพเอาเปรียบเราได้ง่าย ๆ!


76
รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์

(เปิดเรื่อง – กระตุ้นความสนใจ)

ลองจินตนาการดูว่าคุณกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างสบายใจ จู่ ๆ ก็มีข้อความแจ้งเตือนว่าคุณถูกรางวัลใหญ่จากบริษัทที่คุณไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หรือวันหนึ่ง คุณได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งว่าคุณมีคดีความและต้องโอนเงินเพื่อเคลียร์คดีให้เรียบร้อย นี่คือกับดักของมิจฉาชีพที่กำลังแฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์และพร้อมจะหลอกล่อเหยื่อที่ไม่ทันระวังตัว

(สาระสำคัญ – ประเภทของกลโกงออนไลน์)

ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างสะดวกสบายขึ้น มิจฉาชีพก็พัฒนาเทคนิคการโกงให้แนบเนียนและซับซ้อนขึ้นเช่นกัน เรามาทำความรู้จักกับรูปแบบกลโกงที่พบบ่อย เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง

ฟิชชิ่ง (Phishing) – ล้วงข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากบริษัทที่เชื่อถือได้ เช่น ธนาคาร หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยมีลิงก์ให้คุณกดเพื่อเข้าสู่ระบบ แต่แท้จริงแล้ว นั่นคือกับดักที่นำคุณไปยังเว็บไซต์ปลอม และเมื่อคุณกรอกข้อมูล มิจฉาชีพก็จะได้ข้อมูลสำคัญไปครอบครอง

โรแมนซ์สแกม (Romance Scam) – หลอกให้รักแล้วลวงเงิน
กลโกงประเภทนี้มักเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มหาคู่หรือโซเชียลมีเดีย มิจฉาชีพจะใช้รูปโปรไฟล์ปลอม อ้างตัวเป็นคนรักที่แสนดี และใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อ ก่อนจะอ้างว่าต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอื่น ๆ

ลงทุนลวงโลก (Investment Scam) – ผลตอบแทนสูงเกินจริง
มิจฉาชีพจะชักชวนให้ลงทุนในโครงการที่ดูน่าเชื่อถือ และอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว แต่เมื่อถึงเวลาถอนเงิน กลับพบว่าถูกบล็อกหรือหายเข้ากลีบเมฆ

มิจฉาชีพปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจ
มิจฉาชีพจะโทรศัพท์หาเหยื่อและอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ศาล หรือหน่วยงานภาครัฐ แจ้งว่าเหยื่อมีคดีความ หรือมีพัสดุต้องสงสัย หากต้องการเคลียร์เรื่องต้องโอนเงิน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด

แอปพลิเคชันปลอม – ดูดเงินจากบัญชี
มีแอปพลิเคชันปลอมที่ถูกสร้างขึ้นให้ดูเหมือนแอปของธนาคารหรือหน่วยงานสำคัญ เมื่อเหยื่อดาวน์โหลดและติดตั้ง ข้อมูลบัญชีธนาคารหรือรหัสผ่านก็จะถูกขโมยไป

(วิธีป้องกัน – ปิดช่องโหว่ก่อนตกเป็นเหยื่อ)

อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านกับใคร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอ้างตัวเป็นใครก็ตาม

ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่ากดลิงก์ที่ไม่น่าไว้วางใจ หรือรีบโอนเงินโดยไม่ได้ตรวจสอบ

ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)

ระวังแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ถูกต้อง เช่น App Store หรือ Google Play

หาข้อมูลก่อนลงทุน หากมีข้อเสนอที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง มีโอกาสสูงว่าจะเป็นกลโกง

ตั้งสติเมื่อมีสายแปลก ๆ โทรมา อย่าหลงเชื่อใครง่าย ๆ ที่อ้างว่าคุณมีคดีความหรือได้รับรางวัล

(สรุป – ตอกย้ำความสำคัญ)

มิจฉาชีพออนไลน์พัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ตลอดเวลา เราจึงต้องอัปเดตความรู้และรู้เท่าทันกลโกงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ การตั้งค่าความปลอดภัยให้แน่นหนา หรือแม้แต่การแจ้งเตือนคนรอบข้างให้ระวังตัวอยู่เสมอ จำไว้ว่า “การป้องกันตนเองคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด” อย่าปล่อยให้มิจฉาชีพมีโอกาสควบคุมชีวิตและกระเป๋าเงินของคุณ!

77
ระบบ EFiling   รู้จัก Error เบื้องต้น
การให้ข้อมูลนี้เป็นการรวบรวมการแก้ปัญหาและความรู้เบื้องต้น

พิมพ์ /1 เมื่อพบ Error : ขออภัย ! ผู้ยื่นฟ้องยังไม่ได้รับการตรวจสอบเอกสารการลงทะเบียน
พิมพ์ /2 เมื่อพบ Error from COJ : ReceiptBookNo of Electronic or ReceiptNo of Electronic Duplicate not found in database!
พิมพ์ /3 เมื่อพบ Error : รายการนี้ถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ท่านอื่นเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถตรวจสอบซ้ำได้ (BTX3012)
 พิมพ์ /4 เมื่อพบข้อความ ขออภัย กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ (TTX9998)
 พิมพ์ /5 เมื่อพบ Error ขออภัย ! ไม่สามารถทำการ resend reset mobile pass mail ได้ (BAD3008)
 พิมพ์ /6 กรณีอัปโหลดเอกสารยืนยันตัวตนทนายผิด และมีการกดอนุมัติเรียบร้อยแล้ว

พิมพ์ /7 กรณีท่านผู้พิพากษาไม่ได้รับ sms แจ้งเตือนการทำรายการจากระบบ e-Filing
พิมพ์ /8 กรณีเจ้าหน้าที่ศาลประสงค์ขอเปิดเมนูเพิ่มเติมในระบบ e-Filing
ตัวอย่าง
>> ขอเปิดเมนูเพิ่มเติมให้คู่ความยื่นคำร้องจัดการมรดก
และคดีผู้บริโภค
 พิมพ์ /9 กรณีทนาย กรอกชื่อโจทก์/จำเลย ใน e-Filing ไม่ถูกต้อง แก้ไขได้อย่างไร
 พิมพ์ /10 กรณีเจ้าหน้าที่ศาลอัปโหลดไฟล์เอกสารเข้า e-Filing ผิดคดี สามารถลบได้หรือไม่
 พิมพ์ /11 กรณีเจ้าหน้าที่ศาลเปิดวันนัดผิดและทนายยื่นฟ้องเข้ามาสามารถจะแก้ไขอย่างไร
 พิมพ์ /12 ค่าส่งคำคู่ความในระบบ e-Filing สามารถแก้ไขหรือกำหนดโดยทนายความได้หรือไม่
 พิมพ์ /13 ต้องการแก้ไข/ยกเลิกใบเสร็จที่ออกไปแล้ว ได้อย่างไร
 พิมพ์ /14 ขั้นตอนการดาวน์โหลดไฟล์รายงานรับส่งอิเล็กทรอนิกส์
 พิมพ์ /15 หากต้องการยกเลิกหรือเพิกถอนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทรอนิกส์ สำหรับ หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และ หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด
 พิมพ์ /16 กรณีต้องการแก้ไขข้อมูลคำพิพากษาในหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เช่น ชื่อโจทก์/จำเลย ผิด

 พิมพ์ /17 หากทนายื่นคำฟ้องมาผิดประเภทคดี ศาลสั่งให้เปลี่ยนให้ถูกต้องได้หรือไม่
 พิมพ์ /18 ขั้นตอนการสั่งซ้ำ/เพิกถอน
 พิมพ์ /19 กรณีที่ทนายยื่นคำร้องและแนบเอกสารไม่ถูกต้อง/ไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่ศาลสามารถดำเนินการส่งคำร้องกลับไปยังทนายผ่านระบบได้หรือไม่
 พิมพ์ /20 การเข้าใช้งานระบบ e-Filing สำหรับอัยการ
 พิมพ์ /21 การเข้าใช้งานระบบ e-Filing สำหรับนิติกร
 พิมพ์ /22 เบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่ศาลส่วนกลาง
 พิมพ์ /23 สอบถามการยื่นฟ้องสำหรับประชาชนเป็นผู้ทำรายการ
 พิมพ์ /24 กรณีทนายยื่นใบแต่งผิดฝั่ง หรือยื่นเข้ามาเป็นทั้งทนายโจทย์และจำเลย และศาลมีคำสั่งอนุญาตเรียบร้อยแล้ว สามารถดำเนินการอย่างไร
 พิมพ์ /25 กรณีอัพโหลดเอกสาร เลือกหัวข้อประเภทเอกสารผิด สามารถแก้ไขได้หรือไม่

78
วิธีแก้ไข PDF แสดงผลไม่ถูกต้อง

1. Go to chrome://flags/.
2. Search for Make the text in PDF images interactable.
3. Disable it.

Now the Auto Extracting Text From PDF is disabled.

79
แนวปฏิบัติด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศของสำนักงานศาล (ฉบับกระชับ + ฮาๆ)
เพื่อรักษาข้อมูลสำคัญของสำนักงานศาลให้ปลอดภัย และยังสร้างบรรยากาศผ่อนคลายในระหว่างบรรยาย ขอเสนอแนวปฏิบัติแบบง่ายๆ พร้อมมุกตลกคลายเครียดให้ทุกคนได้ยิ้มไปด้วย!

1. การจัดการข้อมูล
ข้อมูลลับ: เก็บข้อมูลสำคัญ เช่น คำพิพากษา หรือข้อมูลคดีในระบบที่ปลอดภัย
"ข้อมูลศาลต้องเก็บให้มิดชิดนะครับ ถ้าหลุดไปเดี๋ยวกลายเป็นซีรีส์ Netflix เรื่องใหม่แทน!"

การแบ่งสิทธิ์ (Access Control): ใครทำหน้าที่อะไร เข้าถึงได้เท่านั้น
"คิดจะเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง ต้องขออนุญาตก่อน...แต่ถ้าจะเข้าถึงใจเรา ไม่ต้องอนุญาตนะครับ ยินดี!"

2. การใช้งานระบบและอุปกรณ์
อุปกรณ์ส่วนตัว: ห้ามใช้มือถือหรือโน้ตบุ๊กส่วนตัวเก็บข้อมูล
"บางคนบอกว่าใช้มือถือส่วนตัวดีกว่า...ผมว่าไม่ดีครับ ข้อมูลอาจปลอดภัย แต่รูปในมือถือคุณอาจจะไม่!"

ตั้งรหัสผ่าน: ใช้รหัสที่ซับซ้อน เช่น “Pa$$w0rd123”
"ตั้งรหัสให้ยากเหมือนแฟนงอน...คนอื่นจะได้เข้าไม่ได้!"

อัปเดตระบบ: ซอฟต์แวร์เก่าๆ เหมือนรองเท้าขาดครับ ใส่แล้วเดินอันตราย
3. การใช้งานเครือข่าย
เครือข่ายปลอดภัย: ใช้ Wi-Fi ของสำนักงานเท่านั้น
"Wi-Fi สาธารณะใช้ได้ แต่ระวัง! ใช้แล้วอาจได้ไวรัสเป็นของแถม แถมไวรัสนี้ IT รักษาไม่ได้นะครับ!"

VPN: ทำงานจากที่บ้านต้องมี VPN
"VPN ไม่ใช่ตัวย่อชื่อคนครับ แต่เป็น Virtual Private Network ใช้แล้วปลอดภัยเหมือนนั่งในห้องล็อกกุญแจ!"

4. การจัดการอีเมลและไฟล์
ระวังอีเมลปลอม: อีเมลไหนน่าสงสัย อย่าเผลอคลิก
"อย่าคลิกสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ เดี๋ยวข้อมูลศาลจะปลิว...เหมือนเงินเดือนปลิวตอนต้นเดือน!"

ส่งข้อมูลอย่างปลอดภัย: ใช้การเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่ง
"การส่งข้อมูลต้องปลอดภัยนะครับ ถ้าส่งผิดคน เดี๋ยวเรื่องในศาลจะกลายเป็นเรื่องในข่าว!"

5. การสำรองข้อมูล
สำรองข้อมูล: เก็บข้อมูลสำคัญไว้ในที่ปลอดภัย
"อย่ารอให้ข้อมูลหายแล้วค่อยมาสำรองนะครับ เพราะวันนั้นคุณอาจร้อง...สำรองไม่ได้แล้ว!"

ทดสอบการกู้คืน: สำรองแล้วอย่าลืมลองกู้คืน
"เหมือนรักแท้ครับ สำรองไว้ แต่ต้องทดสอบว่าคืนได้จริง!"

6. การบริหารจัดการบุคลากร
อบรมพนักงาน: อบรมเรื่องความปลอดภัย
"พนักงานอบรมแล้วต้องใช้ได้จริงนะครับ ไม่ใช่อบรมไปเล่นมือถือไป เหมือนประชุมซูมที่เปิดกล้องแต่คนจริงไม่อยู่!"

จัดการสิทธิ์การเข้าถึง: หากมีการลาออก ต้องรีบเพิกถอนสิทธิ์
"ลาออกแล้วไม่ถอนสิทธิ์ เดี๋ยวข้อมูลจะโดนสวมรอยเหมือนในละครช่อง 7!"

7. การตอบสนองเหตุการณ์
รายงานเหตุผิดปกติ: หากพบสิ่งผิดปกติในระบบ ให้รีบแจ้ง IT
"อย่ารอจนระบบล่มแล้วถึงมาแจ้งนะครับ เพราะตอนนั้นคนช่วยจะบอกว่า ‘ช่วยไม่ได้จริงๆ!’"

แผนฉุกเฉิน: ซ้อมรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินเสมอ
"อย่าซ้อมแบบทำไปทีนะครับ เดี๋ยวพอเกิดเหตุการณ์จริงจะเหมือนนักมวยขึ้นเวทีแต่ลืมใส่นวม!"

สรุป
“ปกป้องข้อมูล - ใช้ระบบปลอดภัย - ระวังภัยไซเบอร์”
และอย่าลืม...

"ดูแลข้อมูลให้ดีเหมือนดูแลแฟนครับ เพราะถ้าหลุดไป...ตามกลับมาอาจไม่ได้ทั้งคู่!"

80
แน่นอน! นี่คือแนวปฏิบัติด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศสำหรับสำนักงานศาลแบบกระชับและเข้าใจง่าย:

การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

จำกัดการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น

ใช้ระบบยืนยันตัวตน เช่น รหัสผ่านหรือ biometrics

การรักษาความลับของข้อมูล

ไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญแก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง

ใช้การเข้ารหัสข้อมูลเมื่อส่งหรือจัดเก็บข้อมูลสำคัญ

การป้องกันมัลแวร์

ติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส

ไม่เปิดไฟล์หรือลิงก์ที่ไม่รู้จัก

การสำรองข้อมูล

สำรองข้อมูลสำคัญเป็นประจำ

เก็บสำเนาข้อมูลในที่ปลอดภัยและแยกต่างหาก

การฝึกอบรมและสร้างความตระหนัก

จัดการอบรมเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงาน

สร้างวัฒนธรรมการรักษาความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร

การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยง

ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลเป็นประจำ

ปรับปรุงมาตรการป้องกันตามความจำเป็น

การจัดการเหตุฉุกเฉิน

มีแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ความปลอดภัยข้อมูล

ทดสอบและปรับปรุงแผนเป็นประจำ

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้สำนักงานศาลสามารถรักษาความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

81
เทรดทอง (XAU/USD) อย่างปลอดภัย ควรออกไม้เท่าไหร่?
เพื่อให้เทรด ปลอดภัยและอยู่รอดระยะยาว สิ่งสำคัญคือการคำนวณ Risk Management และ Position Sizing ให้เหมาะสมกับพอร์ตของคุณ

 กฎทองคำ: เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต
 ถ้าคุณมีทุน $1,000 และยึดหลักเสี่ยงไม่เกิน 2% ต่อการเทรด

2% ของ $1,000 = $20 (จำนวนเงินที่คุณยอมเสียได้ต่อไม้)
หากคุณตั้ง Stop Loss (SL) ที่ $5 ต่อออนซ์
ขนาดล็อตที่เหมาะสม = $20 ÷ $5 = 0.04 lot (4 micro lot)
 สูตรคำนวณ Lot Size ตาม Stop Loss (SL)
Lot Size
=
Risk Per Trade
SL (USD/ounce)
×
Contract Size Per Lot
Lot Size=
SL (USD/ounce)×Contract Size Per Lot
Risk Per Trade

 
Contract Size ของทองคำ = 100 ออนซ์ / Lot
SL = จุดที่คุณยอมขาดทุน
 ตัวอย่างการคำนวณ

SL (USD)   Max Lot Size (Leverage 1:500)   Max Lot Size (Leverage 1:100)
5 USD   0.04 lot   0.04 lot
10 USD   0.02 lot   0.02 lot
20 USD   0.01 lot   0.01 lot
 สรุป:
 ถ้า SL กว้างขึ้น ต้องลดล็อตลง
ถ้าจะอยู่รอดระยะยาว ควรใช้ Lot ที่ทำให้คุณไม่เสียเกิน 2% ต่อไม้
ไม่ควรเปิดหลายไม้จนมาร์จิ้นหมด เพราะทองเหวี่ยงแรง

 เทคนิคการแบ่งไม้ที่ปลอดภัย
 แทนที่จะเข้าไม้เดียว ควรใช้ Scaling In หรือ แบ่ง Order
 เช่น แทนที่จะเปิด 0.04 lot ไม้เดียว อาจเปิดเป็น 0.02 + 0.02 lot แล้วเพิ่มเมื่อราคายืนยันเทรนด์

 ข้อสรุป: เทรดยังไงให้พอร์ตไม่ปลิว?
 เสี่ยงแค่ 1-2% ต่อไม้
 คำนวณ Lot Size ตาม SL
 ไม่เข้าไม้ใหญ่เกินไป
 ห้าม Overtrade / Overleverage

 แนะนำ: ถ้าคุณยังล้างพอร์ตบ่อย ให้ลองลด Lot ลงครึ่งหนึ่ง และฝึก Money Management อย่างจริงจัง







You said:
จะตั้ง sl  ที่ 500 จุด
ChatGPT said:
 เทรดทอง (XAU/USD) พร้อม Stop Loss (SL) 500 จุด ควรใช้กี่ Lot?
 เข้าใจหน่วยของจุดในทองคำ (XAU/USD)
1 จุด = 0.01 USD
500 จุด = 5 USD (ราคาทองเปลี่ยน 5 ดอลลาร์)
 คำนวณ Lot Size ตาม Risk Management
 ถ้าคุณมีทุน $1,000 และต้องการเสี่ยง 2% ของทุน

2% ของ $1,000 = $20 (จำนวนเงินที่ยอมขาดทุนต่อไม้)
ตั้ง SL ที่ 5 USD
 ใช้สูตรคำนวณ Lot Size:

Lot Size
=
Risk Per Trade
SL
×
Contract Size
Lot Size=
SL×Contract Size
Risk Per Trade

 
โดยที่

Contract Size ของทองคำ = 100 ออนซ์ / 1 Lot
SL = 5 USD
Risk ต่อไม้ = $20
Lot Size
=
20
5
×
100
=
20
500
=
0.04

82
ในการเทรด Forex สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)" เพราะไม่ว่าคุณจะมีกลยุทธ์การเทรดที่ดีแค่ไหน หรือมีความรู้เกี่ยวกับตลาดมากเพียงใด หากคุณไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณอาจสูญเสียทุนทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ทำไมการจัดการความเสี่ยงสำคัญที่สุด?
ป้องกันการสูญเสียทุน:

ตลาด Forex มีความผันผวนสูง และไม่มีใครสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาได้ถูกต้อง 100% การจัดการความเสี่ยงช่วยป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียทุนมากเกินไป

รักษาทุนเพื่อโอกาสในอนาคต:

หากคุณสูญเสียทุนไปมากเกินไป คุณจะไม่มีเงินเหลือเพื่อเทรดในโอกาสต่อไป การจัดการความเสี่ยงช่วยให้คุณรักษาทุนและมีโอกาสทำกำไรในระยะยาว

ควบคุมอารมณ์:

การขาดทุนใหญ่สามารถส่งผลต่อจิตวิทยาการเทรด ทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ การจัดการความเสี่ยงช่วยลดความเครียดและช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีสติ

หลักการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ
กำหนด Risk-Reward Ratio:

ควรกำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2) เพื่อให้กำไรที่ได้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ

ใช้ Stop Loss (SL):

ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ เพื่อจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ควบคุมขนาด Lot:

ไม่ควรเทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อทุนทั้งหมด

กระจายความเสี่ยง:

ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียว หรือเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่เกินไป

มีแผนสำรอง:

เตรียมแผนสำรองในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด เช่น การปิดออเดอร์ก่อนกำหนดหากขาดทุนถึงระดับหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญรองลงมา
ความรู้และความเข้าใจในตลาด:

การมีความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

จิตวิทยาการเทรด:

การควบคุมอารมณ์และมีวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามแผนการเทรดได้อย่างเคร่งครัด

กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน:

การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและทดสอบแล้วจะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีระบบและลดความเสี่ยง

สรุป
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด Forex เพราะช่วยป้องกันการสูญเสียทุนและรักษาโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะมีกลยุทธ์ที่ดีแค่ไหน หากไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี คุณอาจสูญเสียทุนทั้งหมดได้ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงเป็นอันดับแรก และพัฒนาความรู้และทักษะอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

83
การเทรด Forex เป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ต่อไปนี้คือหลักสำคัญที่ต้องมีในการเทรด Forex:

1. ความรู้และความเข้าใจในตลาด Forex
เข้าใจพื้นฐาน Forex: เช่น คู่สกุลเงิน (Currency Pairs), Pip, Spread, Leverage, Margin

เรียนรู้การวิเคราะห์ตลาด:

การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis): ศึกษาข่าวเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย, นโยบายการเงิน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): ใช้กราฟและอินดิเคเตอร์เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคา

เข้าใจความเสี่ยง: ตลาด Forex มีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงในการสูญเสียทุน

2. กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน
มีแผนการเทรด: กำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน เช่น เทรดตามเทรนด์, เทรดช่วง Sideway, Scalping

ทดสอบกลยุทธ์: ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทดสอบกลยุทธ์ก่อนนำไปใช้จริง

ปรับปรุงกลยุทธ์: บันทึกผลการเทรดและปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด

3. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
กำหนด Risk-Reward Ratio: อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss (SL): ตั้ง SL ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ควบคุมขนาด Lot: ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

กระจายความเสี่ยง: ไม่ลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียว

4. จิตวิทยาการเทรด
ควบคุมอารมณ์: อย่าให้ความโลภหรือความกลัวมาบดบังการตัดสินใจ

มีวินัย: ปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด

ยอมรับความผิดพลาด: ไม่ตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

5. การเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้
ตรวจสอบใบอนุญาต: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FCA, ASIC, SEC

ค่าธรรมเนียมต่ำ: เปรียบเทียบ Spread และ Commission ของโบรกเกอร์ต่างๆ

ระบบการเทรดที่เสถียร: ตรวจสอบความเร็วในการดำเนินการออเดอร์และความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม

6. การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด
บันทึกการเทรด: จดบันทึกทุกออเดอร์ รวมถึงสาเหตุที่เข้าเทรด, ผลลัพธ์, และบทเรียนที่ได้

วิเคราะห์ผลการเทรด: หาจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น

เรียนรู้จากความผิดพลาด: ใช้ข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเอง

7. การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
อัปเดตความรู้: ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ ในตลาด Forex

ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: ใช้บัญชีทดลองเพื่อฝึกเทรดและทดสอบกลยุทธ์ใหม่ๆ

เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ: อ่านหนังสือ, ดูวิดีโอ, และเข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับ Forex

8. การตั้งเป้าหมายที่ realist
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน: เช่น กำไร 5-10% ต่อเดือน

ไม่โลภ: อย่าคาดหวังกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น

มีแผนสำรอง: เตรียมแผนสำรองในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด

สรุป
การเทรด Forex ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หลักสำคัญที่ต้องมีได้แก่ ความรู้ในตลาด Forex, กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน, การจัดการความเสี่ยง, จิตวิทยาการเทรด, การเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้, การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด, การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง, และการตั้งเป้าหมายที่ realist การปฏิบัติตามหลักเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการสูญเสียทุน

84
การสังเกตคลื่น Elliott Wave ให้ง่ายขึ้นต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน รวมถึงการใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average นอกจากนี้ การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละ TF จะให้รายละเอียดของคลื่นที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายๆ และการเลือก TF ที่เหมาะสม:

1. การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่าย
คลื่น 1 (Wave 1):

มักเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของเทรนด์ก่อนหน้า

มักมีแรงซื้อหรือขายที่ค่อยเป็นค่อยไป

คลื่น 2 (Wave 2):

ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1

มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1 (ใช้ Fibonacci Retracement ช่วย)

คลื่น 3 (Wave 3):

คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง

มักมีแรงซื้อหรือขายที่รุนแรงและรวดเร็ว

คลื่น 4 (Wave 4):

ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

มักปรับตัวประมาณ 38.2-50% ของคลื่น 3

คลื่น 5 (Wave 5):

คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง

มักไม่ยาวเท่าคลื่น 3

คลื่น A (Wave A):

เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

มักมีแรงขายหรือซื้อที่ค่อยเป็นค่อยไป

คลื่น B (Wave B):

ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A

คลื่น C (Wave C):

คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง

2. การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสม
TF สูง (Higher Timeframe):

เช่น H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน)

เหมาะสำหรับการวิเคราะห์คลื่นใหญ่ (Higher Degree Waves)

ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า แต่ต้องรอนานกว่าจะเกิดคลื่น

TF ต่ำ (Lower Timeframe):

เช่น M15 (15 นาที), M30 (30 นาที)

เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นและจับคลื่นย่อย (Lower Degree Waves)

มีสัญญาณบ่อยกว่า แต่มีความผันผวนสูง

แนะนำ:

เริ่มต้นด้วย TF สูง (เช่น H4 หรือ D1) เพื่อระบุคลื่นใหญ่

ใช้ TF ต่ำ (เช่น M15 หรือ M30) เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ

3. ขั้นตอนการสังเกตคลื่นอย่างง่าย
ระบุเทรนด์หลัก:

ใช้เส้น Moving Average (MA) เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อระบุทิศทางเทรนด์

ระบุคลื่น 1-5:

คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่

คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1

คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด

คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3

คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์

ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:

คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว

4. ตัวอย่างการสังเกตคลื่น
ตัวอย่าง 1: คลื่น 3

คลื่น 1: ราคาเริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น

คลื่น 2: ราคาปรับตัวลงประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1

คลื่น 3: ราคาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง

ตัวอย่าง 2: คลื่น C

คลื่น A: ราคาเริ่มต้นปรับตัวลงจากคลื่น 5

คลื่น B: ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A

คลื่น C: ราคาเริ่มต้นลงอีกครั้งและมีแรงขายที่แข็งแกร่ง

5. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4

Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์

Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3

6. สรุป
การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน การเลือก TF ที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์คลื่นแม่นยำขึ้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วย TF สูงเพื่อระบุคลื่นใหญ่ และใช้ TF ต่ำเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุคลื่น

85
การเทรดตามกลยุทธ์ "Elliott Wave" เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดที่อาศัยทฤษฎีคลื่นของ Ralph Nelson Elliott ซึ่งเชื่อว่าตลาดเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบคลื่น (Wave) ที่สามารถคาดการณ์ได้ โดยคลื่นเหล่านี้ประกอบด้วยคลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves) และคลื่นปรับตัว (Corrective Waves) ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเทรดตามกลยุทธ์ Elliott Wave:

1. เข้าใจพื้นฐาน Elliott Wave
คลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves): ประกอบด้วย 5 คลื่น (Wave 1-5) โดยคลื่น 1, 3, 5 เป็นคลื่นขึ้น ส่วนคลื่น 2 และ 4 เป็นคลื่นปรับตัวลง

คลื่นปรับตัว (Corrective Waves): ประกอบด้วย 3 คลื่น (Wave A, B, C) โดยคลื่น A และ C เป็นคลื่นลง ส่วนคลื่น B เป็นคลื่นขึ้น

2. ขั้นตอนการวิเคราะห์ Elliott Wave
ระบุคลื่น 1-5:

คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่ มักมีแรงซื้อหรือขายที่แข็งแกร่ง

คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1

คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง

คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง

ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:

คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง

3. กลยุทธ์การเทรดตาม Elliott Wave
เทรดตามคลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves):

รอให้คลื่น 1 และคลื่น 2 เกิดขึ้น

เปิดออเดอร์ซื้อเมื่อคลื่น 3 เริ่มต้น และตั้ง Stop Loss (SL) ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

ตั้ง Take Profit (TP) ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น 3 หรือคลื่น 5

เทรดตามคลื่นปรับตัว (Corrective Waves):

รอให้คลื่น A และคลื่น B เกิดขึ้น

เปิดออเดอร์ขายเมื่อคลื่น C เริ่มต้น และตั้ง Stop Loss (SL) ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น B

ตั้ง Take Profit (TP) ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น C

4. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4

Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์

Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3

5. การจัดการความเสี่ยง
กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

6. ตัวอย่างการเทรด
ตัวอย่าง 1: เทรดคลื่น 3

ระบุคลื่น 1 และคลื่น 2 บนแผนภูมิ

เปิดออเดอร์ซื้อเมื่อราคาเริ่มต้นคลื่น 3

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

ตั้ง TP ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น 3 หรือคลื่น 5

ตัวอย่าง 2: เทรดคลื่น C

ระบุคลื่น A และคลื่น B บนแผนภูมิ

เปิดออเดอร์ขายเมื่อราคาเริ่มต้นคลื่น C

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น B

ตั้ง TP ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น C

7. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

สรุป
การเทรดตามกลยุทธ์ Elliott Wave ต้องอาศัยความเข้าใจในทฤษฎีคลื่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ควรใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average เพื่อเพิ่มความแม่นยำ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว

86
การเทรด Forex ใน timeframe M5 (5 นาที) เป็นการเทรดที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว แต่ไม่เร็วเท่า timeframe M1 ทำให้มีเวลาตัดสินใจมากขึ้น และยังสามารถจับเทรนด์ระยะสั้นได้ดี กลยุทธ์ที่ใช้ควรมีความชัดเจนและมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง:

1. เทรดตามเทรนด์ด้วย Moving Average (MA)
เครื่องมือที่ใช้:

Moving Average ระยะสั้น (MA 10) และระยะกลาง (MA 50)

Relative Strength Index (RSI) ระยะ 14

วิธีการ:

ใช้ MA 10 และ MA 50 เพื่อระบุเทรนด์:

เทรนด์ขาขึ้น: MA 10 อยู่เหนือ MA 50

เทรนด์ขาลง: MA 10 อยู่ใต้ MA 50

รอให้ราคากลับตัวใกล้เส้น MA 10 หรือ MA 50

ตรวจสอบ RSI ว่าไม่เข้าโซน Overbought (เกิน 70) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 30) เพื่อยืนยันสัญญาณ

เปิดออเดอร์ตามทิศทางของเทรนด์ และตั้ง Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ที่เหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคากลับตัวใกล้ MA 10 หรือ MA 50 ในเทรนด์ขาขึ้น และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

ขายเมื่อราคากลับตัวใกล้ MA 10 หรือ MA 50 ในเทรนด์ขาลง และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

2. Price Action และ Support/Resistance
เครื่องมือที่ใช้:

เส้น Support และ Resistance

แท่งเทียน (Candlestick)

วิธีการ:

ระบุระดับ Support และ Resistance บนแผนภูมิ M5

รอให้ราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ และสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Pin Bar หรือ Engulfing

เปิดออเดอร์เมื่อราคาเกิดการกลับตัวที่ระดับ Support/Resistance

ตั้ง TP ที่ระดับถัดไปของ Resistance/Support และ SL ไว้ด้านหลังระดับ Support/Resistance

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตีระดับ Support และเกิด Pin Bar หัวขึ้น

ขายเมื่อราคาตีระดับ Resistance และเกิด Pin Bar หัวลง

3. Breakout Trading
เครื่องมือที่ใช้:

เส้นแนวโน้ม (Trendline)

Bollinger Bands

วิธีการ:

วาดเส้น Trendline เพื่อระบุแนวโน้มหรือช่วง Sideway

รอให้ราคา Breakout ออกจากเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands

เปิดออเดอร์ตามทิศทาง Breakout และตั้ง TP ที่ระยะห่างเท่ากับช่วง Sideway ก่อนหน้า

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุด Breakout

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคา Breakout สูงกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านบน

ขายเมื่อราคา Breakout ต่ำกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านล่าง

4. การใช้ Stochastic Oscillator
เครื่องมือที่ใช้:

Stochastic Oscillator (ตั้งค่า 5, 3, 3)

วิธีการ:

รอให้ Stochastic เข้าโซน Overbought (เกิน 80) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 20)

เปิดออเดอร์เมื่อ Stochastic กลับตัวออกจากโซนเหล่านี้

ตั้ง TP และ SL ตามความเหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Oversold

ขายเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Overbought

5. การจัดการความเสี่ยง
Risk Management:

กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

จิตวิทยาการเทรด:

อย่าโลภ รับกำไรตามแผนที่กำหนด

อย่าตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

6. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

7. ตัวอย่างการตั้งค่า TP และ SL
TP: 20-30 pips สำหรับ M5

SL: 10-15 pips สำหรับ M5

สรุป
กลยุทธ์การเทรด Forex ใน timeframe M5 ต้องอาศัยความรวดเร็วและวินัยสูง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชำนาญ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดระยะสั้นนี้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว

87
การเทรด Forex ใน timeframe M1 (1 นาที) เป็นการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วและความแม่นยำสูง เนื่องจากตลาดเคลื่อนไหวเร็วและมีความผันผวนมาก ดังนั้นกลยุทธ์ที่ใช้ต้องมีความชัดเจนและมีวินัยในการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงและมีโอกาสทำกำไร:

1. Scalping ด้วย Moving Average (MA) และ RSI
เครื่องมือที่ใช้:

Moving Average (MA) ระยะสั้น เช่น MA 5 หรือ MA 10

Relative Strength Index (RSI) ระยะ 14

วิธีการ:

ตั้งค่าแผนภูมิ M1 และเพิ่มเส้น MA 5 และ RSI 14

รอให้ราคาตัดเส้น MA 5 จากด้านล่างขึ้นด้านบน (สัญญาณซื้อ) หรือจากด้านบนลงด้านล่าง (สัญญาณขาย)

ตรวจสอบ RSI ว่าไม่เข้าโซน Overbought (เกิน 70) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 30) เพื่อยืนยันสัญญาณ

เปิดออเดอร์ตามทิศทางของสัญญาณ และตั้ง Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ที่เหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตัด MA 5 ขึ้นด้านบน และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

ขายเมื่อราคาตัด MA 5 ลงด้านล่าง และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

2. Price Action และ Support/Resistance
เครื่องมือที่ใช้:

เส้น Support และ Resistance

แท่งเทียน (Candlestick)

วิธีการ:

ระบุระดับ Support และ Resistance บนแผนภูมิ M1

รอให้ราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ และสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Pin Bar หรือ Engulfing

เปิดออเดอร์เมื่อราคาเกิดการกลับตัวที่ระดับ Support/Resistance

ตั้ง TP ที่ระดับถัดไปของ Resistance/Support และ SL ไว้ด้านหลังระดับ Support/Resistance

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตีระดับ Support และเกิด Pin Bar หัวขึ้น

ขายเมื่อราคาตีระดับ Resistance และเกิด Pin Bar หัวลง

3. Breakout Trading
เครื่องมือที่ใช้:

เส้นแนวโน้ม (Trendline)

Bollinger Bands

วิธีการ:

วาดเส้น Trendline เพื่อระบุแนวโน้มหรือช่วง Sideway

รอให้ราคา Breakout ออกจากเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands

เปิดออเดอร์ตามทิศทาง Breakout และตั้ง TP ที่ระยะห่างเท่ากับช่วง Sideway ก่อนหน้า

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุด Breakout

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคา Breakout สูงกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านบน

ขายเมื่อราคา Breakout ต่ำกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านล่าง

4. การใช้ Stochastic Oscillator
เครื่องมือที่ใช้:

Stochastic Oscillator (ตั้งค่า 5, 3, 3)

วิธีการ:

รอให้ Stochastic เข้าโซน Overbought (เกิน 80) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 20)

เปิดออเดอร์เมื่อ Stochastic กลับตัวออกจากโซนเหล่านี้

ตั้ง TP และ SL ตามความเหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Oversold

ขายเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Overbought

5. การจัดการความเสี่ยง
Risk Management:

กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

จิตวิทยาการเทรด:

อย่าโลภ รับกำไรตามแผนที่กำหนด

อย่าตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

6. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

7. ตัวอย่างการตั้งค่า TP และ SL
TP: 10-15 pips สำหรับ M1

SL: 5-10 pips สำหรับ M1

สรุป
กลยุทธ์การเทรด Forex ใน timeframe M1 ต้องอาศัยความรวดเร็วและวินัยสูง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชำนาญ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดระยะสั้นนี้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว

88
การเทรดในกราฟ **M5 (5 นาที)** เป็นการเทรดระยะสั้น (Short-Term Trading) ที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและความแม่นยำในการตัดสินใจ กลยุทธ์ที่แนะนำต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ใช้ได้ผลดีกับกราฟ M5 แต่ต้องฝึกฝนและทดลองในบัญชีเดโมก่อนนำไปใช้จริงครับ

---

### กลยุทธ์เทรด M5 แบบง่ายและได้ผล (Price Action + EMA)

#### 1. **เครื่องมือที่ใช้**:
- **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA)**:
  - EMA 9 (สีแดง) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะสั้น
  - EMA 21 (สีน้ำเงิน) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะกลาง
- **เส้นแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)**:
  - วาดจากจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ในกราฟ
- **แท่งเทียน (Candlestick)**:
  - ใช้ดูรูปแบบ Price Action เช่น Doji, Engulfing, Pin Bar

---

#### 2. **ตั้งค่าและเตรียมกราฟ**:
- เปิดกราฟ M5 ของคู่เงินที่คุณต้องการเทรด
- เพิ่ม EMA 9 และ EMA 21 ในกราฟ
- วาดแนวรับ-แนวต้านจากจุด High และ Low ล่าสุด

---

#### 3. **กฎการเข้าเทรด (Entry Rules)**:

#### **เทรดตามแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 9 อยู่เหนือ EMA 21 (แสดงแนวโน้มขาขึ้น)
   - ราคาอยู่เหนือ EMA ทั้งสองเส้น
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bullish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวรับ (Support)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรดเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 9 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุดหรือใต้จุดต่ำสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### **เทรดตามแนวโน้มขาลง (Bearish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 9 อยู่ใต้ EMA 21 (แสดงแนวโน้มขาลง)
   - ราคาอยู่ใต้ EMA ทั้งสองเส้น
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวต้าน (Resistance)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรดเมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 9 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้เหนือแนวต้านล่าสุดหรือเหนือจุดสูงสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวรับถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### 4. **กฎการออกเทรด (Exit Rules)**:
- **ออกเทรดเมื่อถึง TP หรือ SL**: อย่าโลภหรือหวังกำไรเพิ่ม
- **ออกเทรดหากแนวโน้มเปลี่ยน**: หาก EMA 9 และ EMA 21 ตัดกันในทิศทางตรงข้าม

---

#### 5. **ตัวอย่างการเทรด**:
- **กรณีเทรดขาขึ้น**:
  - ราคาอยู่เหนือ EMA 9 และ EMA 21
  - มี Bullish Engulfing ใกล้แนวรับ
  - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 9
  - ตั้ง SL ใต้แนวรับล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป

- **กรณีเทรดขาลง**:
  - ราคาอยู่ใต้ EMA 9 และ EMA 21
  - มี Bearish Engulfing ใกล้แนวต้าน
  - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 9
  - ตั้ง SL เหนือแนวต้านล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวรับถัดไป

---

#### 6. **ข้อควรระวัง**:
- **หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจมักทำให้ตลาดผันผวนและส่งผลต่อกลยุทธ์
- **ไม่เทรดทุกสัญญาณ**: รอสัญญาณที่ชัดเจนและมีแนวโน้มสอดคล้องกับ EMA
- **ฝึกฝนในบัญชีเดโมก่อน**: เพื่อทดสอบกลยุทธ์และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

---

### 7. **สรุป**:
กลยุทธ์นี้ใช้ Price Action ร่วมกับ EMA เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าเทรดที่แม่นยำในกราฟ M5 หากฝึกฝนและปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยงได้ครับ!

89
การเทรดในกราฟ **1 ชั่วโมง (H1)** เป็นการเทรดระยะกลาง (Swing Trading) ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ยังต้องการเทรดแบบ Short-Term กลยุทธ์ที่แนะนำต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลดีกับกราฟ H1 และมีความแม่นยำสูง หากปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

---

### กลยุทธ์เทรด H1 แบบง่ายและได้ผล (Trend Following + RSI)

#### 1. **เครื่องมือที่ใช้**:
- **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA)**:
  - EMA 50 (สีน้ำเงิน) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะกลาง
  - EMA 200 (สีแดง) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะยาว
- **Relative Strength Index (RSI)**:
  - ตั้งค่า RSI ที่ 14 (ใช้ดูภาวะ Overbought/Oversold)
- **เส้นแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)**:
  - วาดจากจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ในกราฟ
- **แท่งเทียน (Candlestick)**:
  - ใช้ดูรูปแบบ Price Action เช่น Engulfing, Pin Bar, Doji

---

#### 2. **ตั้งค่าและเตรียมกราฟ**:
- เปิดกราฟ H1 ของคู่เงินที่คุณต้องการเทรด
- เพิ่ม EMA 50 และ EMA 200 ในกราฟ
- เพิ่ม RSI 14 ในกราฟ
- วาดแนวรับ-แนวต้านจากจุด High และ Low ล่าสุด

---

#### 3. **กฎการเข้าเทรด (Entry Rules)**:

#### **เทรดตามแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 50 อยู่เหนือ EMA 200 (แสดงแนวโน้มขาขึ้น)
   - ราคาอยู่เหนือ EMA ทั้งสองเส้น
   - RSI อยู่เหนือระดับ 50 แต่ไม่เข้าสู่ภาวะ Overbought (เกิน 70)
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bullish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวรับ (Support)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 50 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุดหรือใต้จุดต่ำสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### **เทรดตามแนวโน้มขาลง (Bearish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 50 อยู่ใต้ EMA 200 (แสดงแนวโน้มขาลง)
   - ราคาอยู่ใต้ EMA ทั้งสองเส้น
   - RSI อยู่ใต้ระดับ 50 แต่ไม่เข้าสู่ภาวะ Oversold (ต่ำกว่า 30)
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวต้าน (Resistance)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 50 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้เหนือแนวต้านล่าสุดหรือเหนือจุดสูงสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวรับถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### 4. **กฎการออกเทรด (Exit Rules)**:
- **ออกเทรดเมื่อถึง TP หรือ SL**: อย่าโลภหรือหวังกำไรเพิ่ม
- **ออกเทรดหากแนวโน้มเปลี่ยน**: หาก EMA 50 และ EMA 200 ตัดกันในทิศทางตรงข้าม
- **ออกเทรดหาก RSI เข้าสู่ภาวะ Overbought/Oversold**: โดยเฉพาะหากมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

---

#### 5. **ตัวอย่างการเทรด**:
- **กรณีเทรดขาขึ้น**:
  - ราคาอยู่เหนือ EMA 50 และ EMA 200
  - RSI อยู่เหนือ 50 แต่ไม่เกิน 70
  - มี Bullish Engulfing ใกล้แนวรับ
  - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 50
  - ตั้ง SL ใต้แนวรับล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป

- **กรณีเทรดขาลง**:
  - ราคาอยู่ใต้ EMA 50 และ EMA 200
  - RSI อยู่ใต้ 50 แต่ไม่ต่ำกว่า 30
  - มี Bearish Engulfing ใกล้แนวต้าน
  - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 50
  - ตั้ง SL เหนือแนวต้านล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวรับถัดไป

---

#### 6. **ข้อควรระวัง**:
- **หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจมักทำให้ตลาดผันผวนและส่งผลต่อกลยุทธ์
- **ไม่เทรดทุกสัญญาณ**: รอสัญญาณที่ชัดเจนและมีแนวโน้มสอดคล้องกับ EMA และ RSI
- **ฝึกฝนในบัญชีเดโมก่อน**: เพื่อทดสอบกลยุทธ์และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

---

### 7. **สรุป**:
กลยุทธ์นี้ใช้ EMA, RSI และ Price Action เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าเทรดที่แม่นยำในกราฟ H1 หากฝึกฝนและปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยงได้ครับ!

90
การเทรดด้วยกลยุทธ์เดียวกันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้กำไรเหมือนกันหมด เพราะผลลัพธ์ของการเทรดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น:

---

### 1. **การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)**:
- **ขนาด Lot ที่ใช้**: แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่หากเทรดด้วยขนาด Lot ที่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป อาจทำให้ขาดทุนมากหรือได้กำไรน้อย
- **Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP)**: การตั้ง SL และ TP ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ขาดทุนมากหรือพลาดโอกาสทำกำไร
- **ความเสี่ยงต่อการเทรด**: บางคนเสี่ยง 1% ของทุนต่อการเทรด ในขณะที่บางคนเสี่ยง 5% ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาว

---

### 2. **จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology)**:
- **ความอดทนและวินัย**: บางคนอาจออกจากการเทรดก่อนถึง TP หรือ SL เนื่องจากความกลัวหรือความโลภ
- **การควบคุมอารมณ์**: การเทรดตามอารมณ์ (เช่น แก้แค้นตลาดหลังจากขาดทุน) มักนำไปสู่การขาดทุนเพิ่ม
- **การยอมรับความผิดพลาด**: บางคนไม่ยอมรับว่าตนเองผิดและไม่ตัดขาดทุนตามแผนที่กำหนดไว้

---

### 3. **การปฏิบัติตามกลยุทธ์ (Discipline)**:
- **การรอสัญญาณที่ชัดเจน**: บางคนอาจเข้าเทรดก่อนมีสัญญาณที่ชัดเจน หรือเทรดบ่อยเกินไป
- **การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์**: บางคนอาจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในระหว่างการเทรด ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

---

### 4. **ประสบการณ์และทักษะ (Experience & Skill)**:
- **ความเข้าใจในกลยุทธ์**: แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่ความเข้าใจในรายละเอียดและการประยุกต์ใช้แตกต่างกัน
- **การวิเคราะห์ตลาด**: บางคนอาจวิเคราะห์แนวโน้มและสัญญาณได้แม่นยำกว่าคนอื่น
- **การปรับตัวกับสภาวะตลาด**: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางคนอาจปรับตัวได้ดีกว่า

---

### 5. **สภาพตลาด (Market Conditions)**:
- **ช่วงตลาดผันผวน (Volatile Market)**: บางกลยุทธ์อาจใช้ได้ผลดีในช่วงตลาดมีแนวโน้มชัดเจน แต่ไม่เหมาะกับช่วงตลาดผันผวน
- **ช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจอาจทำให้ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงและส่งผลต่อกลยุทธ์

---

### 6. **การเลือกคู่เงินและสินทรัพย์ (Asset Selection)**:
- **ความผันผวนของสินทรัพย์**: ทองคำ (XAU/USD) มีความผันผวนสูงกว่าคู่เงิน Forex ทั่วไป ดังนั้นผลลัพธ์อาจแตกต่างกันแม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน
- **สเปรดและค่าคอมมิชชั่น**: บางโบรกเกอร์มีสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่สูง ซึ่งส่งผลต่อกำไรและขาดทุน

---

### 7. **การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด (Journaling & Analysis)**:
- **การบันทึกการเทรด**: บางคนบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ ในขณะที่บางคนไม่ทำ
- **การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด**: บางคนเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงตนเอง ในขณะที่บางคนทำผิดซ้ำๆ

---

### สรุป:
แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของการเทรดอาจแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยเหล่านี้:
1. **การบริหารความเสี่ยง**
2. **จิตวิทยาการเทรด**
3. **การปฏิบัติตามกลยุทธ์**
4. **ประสบการณ์และทักษะ**
5. **สภาพตลาด**
6. **การเลือกสินทรัพย์**
7. **การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด**

ดังนั้น การเทรดให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่การใช้กลยุทธ์ที่ดี แต่ต้องมีวินัย การบริหารความเสี่ยงที่ดี และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องครับ!

91
รีวิวถอนกำไร #1ล้านบาท ใน 1 เดือน จากกองทุน FTMO ด้วย 5 เทคนิคนี้

วันนี้ เป็นวันถอนกำไรพอร์ตกองทุน (ถอนกำไรได้ทุก 15 วัน ไม่ต้องรอวันหวยออก)
ผลประกอบการเดือนนี้เทรดกำไรไปทั้งหมดราวๆ $38,000
ด้วย Drawdown ไม่ถึง 5% ถามว่ายากมั้ย ก็ตอบว่าโคดยาก (พูดง่ายๆก็คือ ฝากเข้าไป 100 บาท โดนลากไม่เกิน 5 บาท) แต่ที่ทำได้เพราะประสบการณ์และความฝืนที่จะเดินเส้นทาง Full time trader ครัช
จึงอยากจะมาแชร์ 5 องค์ประกอบสำคัญ ในการ “ถอนเงิน” จากกองทุนให้ได้อย่างต่อเนื่องครับ
ย้ำกว่า “ถอน” นะครับ โชว์ใบสอบผ่านกันให้เกลื่อน แต่ไม่ค่อยมีโชว์ถอน เพราะในชีวิตจริงการรักษาพอร์ตไปจนถึงถอนกำไรอย่างต่อเนื่องได้นั้นยากยิ่งกว่า และระบบต้องทำซ้ำได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้ความฟลุ๊ค
ข้อดีของการเป็นเทรดเดอร์กองทุนที่สำคัญที่สุดคือ “เราไม่ต้องใช้เงินตัวเองเทรด”
เราสามารถถือพอร์ตขนาดใหญ่หลักหลายแสนดอลลาร์ แล้วได้เงินเยอะๆจากส่วนแบ่งกำไรของพอร์ตที่ใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเอาเงินตัวเองไปเสี่ยงแม้แต่บาทเดียว (ค่าสอบก็ยังได้คืน) และถ้าขาดทุน เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เลวร้ายสุดก็คือโดนยึดพอร์ตและสอบใหม่ เสกเงินจากอากาศโดยแท้
ฟังดูเหมือนง่าย แต่การถือพอร์ตกองทุนจนถอนกำไรได้อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เรื่องง่ายครับ จากประสบการณ์ที่เทรดกองทุนมาหลายปี ผมเคยผ่านมาทุกจุดช้ำใจ ที่คิดว่าเทรดเดอร์กองทุนทุกคนจะต้องเจอ ในช่วงที่เพิ่งเริ่มสอบผ่านใหม่ๆ
ทั้งสอบผ่านแต่เทรดจริงพอร์ตระเบิด เทรดได้กำไร แต่ ผิดกฎต่างๆของกองทุน โดนยึดพอร์ต หรือความโลภ ได้สองแสนอยากได้ห้าแสน ได้ห้าแสนอยากได้ล้าน สุดท้ายไม่ได้ถอนกำไร ทำงานฟรี หรือไปจนถึงโดนยึดพอร์ตไปเลยก็มี
ในปีแรกๆ ผมสอบพอร์ตกองทุนซ้ำๆ วนลูป จนรู้สึกว่าสอบพอร์ตให้ผ่านมันง่ายกว่ารักษาพอร์ตมากๆ สอบจนมั่นใจว่าสอบใหม่ยังไงก็ผ่าน ถ้าพอร์ตโดนยึด ก็สอบใหม่ได้ง่ายๆ ได้ถอนไปทีนึงก็คุ้มค่าสอบแล้ว แต่มันเสียเวลาครับ ดังนั้น ทำสิ่งที่ยากกว่าซึ่งคือการรักษาพอร์ตเอาไว้ให้ได้จะดีกว่า
กว่าจะก้าวผ่านมาได้ จนมาอยู่ในจุดที่ได้ถอนกำไรทุกเดือนแบบปัจจุบัน ก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกันครับ วันนี้เลยจะมาแชร์ 5 องค์ประกอบสำคัญ ที่ผมกลั่นกรองออกมาแล้วว่ายังไง ถ้ามีครบ ก็ได้ถอนกำไรเรื่อยๆแน่นอน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเป็นเทรดเดอร์กองทุน
ในที่นี้ จะแชร์เฉพาะกองทุน FTMO นะครับเนื่องจากผมไม่เคยสอบกองทุนอื่น หากเพื่อนๆเทรดกองทุนอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม
1. #มีระบบที่เหมาะกับการเทรดกองทุน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ไม่ใช่ทุกระบบ” ที่จะใช้เทรดกองทุนได้
ผมรู้จักเทรดเดอร์หลายคนที่มีระบบที่เทรดได้กำไร แต่ไม่สามารถใช้เทรดกองทุนได้ เพราะเทรดด้วยความเสี่ยงสูง ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่เก่ง หรือระบบไม่ดี แค่คนละสไตล์เท่านั้น
ในขณะที่กองทุน ต้องการระบบที่ความเสี่ยงต่ำ เข้าในจุดที่คุ้มที่สุด DD น้อย ไม่ใช่การเทรดในสไตล์หวือหวา
โชคดีที่สไตล์การเทรดของผม และระบบที่ผมใช้เทรด เหมาะแก่การเทรดกองทุนพอดี คือความเสี่ยงต่ำ และมีจุดเข้าทำกำไรได้ทุกวัน ผมจึงใช้สอบและเทรดมาเรื่อยๆ และนักเรียนที่เรียนจากผมไป ก็สอบผ่านกองทุนไปเป็นสิบคนแล้ว
ใครอยากทำได้ไม่มีทางลัดอื่นนอกจากเรียน และ ฝึกฝนครับ เมื่อมีระบบที่ใช่แล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือฝึกฝน และทำตามระบบอย่างเคร่งครัด
หากมีเป้าหมายในการสอบกองทุน ก็ควรเช็คว่าอาจารย์ที่สอนเทรดกองทุนรึเปล่า และ มีหลักฐานการถอนหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ครับ
อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ทุกระบบจะใช้เทรดกองทุนได้ และคนสอนเทรดมีเยอะมากๆ แค่มีความรู้ที่อ่านมาเองจากในเน็ตก็สอนได้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องเทรดได้ แต่คนที่เทรดได้จริงแล้วมาสอนให้นั้นแทบจะหาไม่ได้เลย โดยเฉพาะระบบที่ใช้เทรดกองทุนได้ เพราะเทคนิคหาเงินจากอากาศแบบนี้ไม่มีใครจะอยากเอามาสอนกันง่ายๆ แถมยังได้รายได้สบายๆอยู่แล้วจากการเทรดกองทุนอยู่แล้วอีก
หากยังไม่มีระบบที่ใช่ เทรดให้ตายยังไง มีวินัยแค่ไหนก็ทำไม่ได้ครับ
วิธีที่ง่ายและคุ้มค่าที่จะลงทุนที่สุดคือลงเรียนกับคนที่เป็นตัวจริง (ถ้าคุณหาเจอ และถ้าเค้ายอมสอน)
คุ้มกว่าเอาเงินไปไล่เรียนคอร์สถูกๆที่เอาไปใช้ไม่ได้จริง เอาไปล้างพอร์ตในตลาดซ้ำๆ หรือเอาไปไล่สอบกองทุนแล้วสอบตกซ้ำๆจนหมดไปหลายๆหมื่นแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเยอะครับ
การเทรดพอร์ตกองทุน ดูเหมือนเป็นทางลัดที่ง่าย ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่จริงๆไม่ใช่ครับ ถ้ามันง่ายทุกคนคงทำได้กันหมดแล้ว ต้นทุนที่ต้องลงทุนเพื่อให้ได้มาคือ “ความรู้” ซึ่งเมื่อเรารู้ เราจะเอามาใช้หาเงินได้อย่างไม่จำกัด น่าเสียดายที่หลายๆคนมองไม่เห็น และมองข้ามไป
ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ก็วนลูปอยู่แค่ตรงนี้แหละครับ กับมายเซ็ทผิดๆที่ว่า “เอาเงินที่จะเสียค่าเรียนไปลองเทรดเองดีกว่า” เสพติดการไปเสียเงินในตลาด แต่งกกลับสิ่งที่ไม่ควรงก ไม่ยอมลงทุนกับความรู้ เสพแต่ความรู้ฟรีในตลาด แน่นอนว่าของดีไม่มีใครเอามาปล่อยฟรี สุดท้ายก็จะได้แต่ความรู้ทั่วๆไป เทรดแบบได้ๆเสียๆเรื่อยไปตลอด You get what you pay for.
ใครโชคดีก้าวผ่านมายเซ็ทตรงนี้ไปได้ ก็จะร่นเวลาในการประสบความสำเร็จ และจำกัดความเสียหายจากการลองผิดลองถูกเองตรงนี้ไปได้มากครับ
ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดนี้ ผมเริ่มต้นจากลงเรียนไปเยอะมากๆ ทั้งในไทยและในต่างประเทศ ทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ จนเอามากลั่นกรองออกมาแค่สิ่งที่ใช้ได้จริง มาเป็นระบบที่ใช้เทรดอยู่ทุกวันนี้ จนถึงตอนนี้ผมคืนทุนค่าคอร์สทั้งหมดที่เรียนมาไปไม่รู้กี่เท่าแล้วครับ
2. #ความสม่ำเสมอต่อเนื่อง (Consistency)
เมื่อได้ระบบที่ใช่มาแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำให้ได้ คือทำตามระบบไปอย่างต่อเนื่อง นิ่งๆ
ใจความสำคัญของการเทรดกองทุนคือ “ต่อเนื่อง ไม่วูบวาบ ไม่หวือหวา”
ถ้าคุณยังมีความรู้สึกลุ้นหัวทิ่ม ใจหายใจคว่ำ ทำกำไรได้ทีละเยอะๆ เสียทีละเยอะๆ ลากเยอะๆ เบิ้ลไม้ เติมพอร์ต อยู่ในการเทรดของคุณ อาจจะแปลว่าระบบที่เทรดไม่ใช่ระบบที่ดีในการเทรดกองทุนครับ
กองทุนไม่มีให้เติมพอร์ต และจำกัด DD ต่ำมาก เกินกว่านี้ ยึดพอร์ตทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ระบบที่ใช้เทรดกองทุนจะต้องนิ่งจนถึงขั้นรู้สึกน่าเบื่อ
อย่างพอร์ต 2 แสนดอลลาร์ที่ผมเทรด ผม DD ไม่เกิน 5% ใช้ความเสี่ยงแค่ประมาณไม้ละ 1-1.5% แค่นั้นเอง วันที่ผมลากเต็มที่หรือต้องคัท ก็อยู่แค่หลักหมื่นบาทเท่านั้นเองครับ จากพอร์ต 6 ล้านกว่าบาท
แน่นอนว่าพอมีพอร์ตใหญ่ๆ ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ แน่นอนว่าความโลภจะตามมาทันที อยากกดล็อตใหญ่ อยาก bet อยาก big win ได้ก็อยากเทรดเพิ่มให้ได้เยอะกว่าเดิม เสียก็เสียดาย อยากเอาคืน
ตรงนี้เป็นเกมของจิตใจที่ใช้ระบบและวินัยเข้ามาควบคุม ถ้าเราควบคุมความโลภไม่ได้ ก็จะรักษาพอร์ตไว้ไม่ได้
กำไรเยอะๆที่ทำได้ครั้งเดียว หรือกี่ครั้งต่อเนื่องก็ไม่มีประโยชน์เลย หากมันถูกเอาคืนไปทั้งหมดในครั้งเดียวที่เราเสีย
ผมเรียนรู้มายเซ็ทเรื่องความสม่ำเสมอนี้มาจากพี่ซึ่งผมเคารพเป็นอาจารย์คนหนึ่ง และเป็นคนสอนเทคนิคใช้งานฟิโบแบบที่ผมใช้อยู่ในในปัจจุบันให้กับผม ซึ่งพี่เค้าเทรดอยู่กับบ้าน เอากำไรแค่ 3-4 หมื่นบาทต่อเดือน ในพอร์ตตัวเอง โดยเทรดในทุนเท่าเดิม ถอนกำไรทุกเดือน แต่ถอนแบบนี้มา 8 ปีต่อเนื่องแล้วครับ
ในตอนแรกผมก็ไม่เก็ท ก็คิดว่าทำไมเอาน้อยจัง ระบบดีขนาดนี้ ทำไมไม่ bet ให้ได้เยอะๆกว่านี้ เทรดพอร์ตใหญ่ๆกว่านี้ เอากำไรไปเทรดต่อเรื่อยๆ จะได้กำไรเยอะๆกว่านี้ ซึ่งพี่เค้าก็ไม่ได้แย้งอะไร บอกแต่ว่าตอนหนุ่มๆพี่เค้าทำมาหมดแล้ว พี่เค้าก็ขาซิ่งตัวตึงยืนหนึ่งมาก่อน และเข้าใจเราดี เค้าเห็นตัวเค้าเองตอนหนุ่มๆในตัวเรา (ตอนนี้พี่เค้า 50 กว่าแล้วครับ) ให้เราไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง
สุดท้ายพอได้เรียนรู้กับตัวเอง และประสบการณ์ของคนรอบตัว ก็ได้รู้ว่าการทำได้อย่างต่อเนื่อง และ ความสม่ำเสมอ คือคีย์สำคัญที่สุด สำหรับ Fulltime Trader ที่อยากเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนี้อย่างยั่งยืนจริงๆครับ
ทำกำไรไปแบบนิ่งๆ ถอนอย่างสม่ำเสมอ ในจำนวนเงินของพอร์ตที่พอเหมาะกับใจของเรา ไม่ต้องเอากำไรเยอะๆไปอวดใคร ไม่มีคำว่าล้างพอร์ต ไม่มีคำว่าชีวิตพัง ซึ่งผมก็น้อมรับและนำมาใช้กับตัวเองมาตลอด
วันนี้หากเพื่อนๆยังไม่ไปถึงจุดที่เทรดกองทุน อยากให้ลองฝึกมายเซ็ทนี้เตรียมรอไว้ก่อนครับ เพราะมันจะติดเป็นสไตล์การเทรดของตัวเราไปตลอด (กลับกัน ถ้าติดนิสัยเทรดแบบนักพนันไปแล้วมันจะติดตัวไปอีกแบบและแก้ยากมากครับ ซึ่งเป็นคนละสายกับการเทรดกองทุนแบบขาวกับดำเลย) ไม่ว่าพอร์ตเท่าไหร่ก็สามารถฝึกได้ ให้ลองเทรดเสมือนเราเทรดกองทุนอยู่ อย่าโฟกัสที่กำไร ให้โฟกัสที่การรักษาพอร์ต %ที่เรายอมเสีย และความต่อเนื่อง คัทให้เป็น
พอวันนึงที่พร้อม ผมก็เอามายเซ็ทนี้มารวมร่างกับการเทรดกองทุนได้พอดี ซึ่งมันบังเอิญเป็นคีย์สำคัญของการเทรดกองทุนเลยครับ ผลลัพธ์คือผมก็ถอนอย่างต่อเนื่องได้เหมือนเดิม แต่ในพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น และกำไรที่มากขึ้น
3. #รู้กฎของกองทุนที่เทรด
เมื่อได้พอร์ตมาแล้ว ทำกำไรอย่างสม่ำเสมอได้แล้ว ก็อย่ายอมเสียพอร์ตไปแบบโง่ๆครับ
ดังนั้น ต้องรู้กฎของกองทุนให้ละเอียด ทุกข้อ ทุกข้อยกเว้น แล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เช่น เรื่อง ห้ามเทรดชนข่าว DD ต่อวัน ต้องปิดออเดอร์เมื่อไหร่ หรืออะไรก็ตาม และต้องมี “สติ” เสมอ ในการเทรด วันเดียวที่เราตื่นมาเทรดโดยไม่ได้เช็คกล่องแดงก่อนเทรด ก็สามารถทำให้โดนยึดพอร์ตและกำไรทั้งหมดไปได้เลยโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
ก่อนเริ่มทำงานต้องมีสติอยู่เสมอ และรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราทำอะไรอยู่ เทรดอย่างระวังและตั้งใจทุกๆออเดอร์ ไม่สามารถเข้าๆไปก่อนแล้วไปนอน หรือเข้าเพิ่มโดยไม่คำนวณอย่างรอบคอบ แบบพอร์ตของตัวเองที่เคยทำ โดยเด็ดขาด
วันไหนที่ง่วง เหนื่อย เมา ป่วย มีเรื่องรบกวนจิตใจ ไม่มีสติครบถ้วนเต็ม 100% ออกไปธุระ ไปเที่ยว ถ้ารู้ว่าโฟกัสไม่ได้ให้ปิดจอพักผ่อนครับ อย่าเทรด ข้ออ้างอะไรที่เราจะเอามาใช้ปลอบใจตัวเองทีหลังก็คงไม่มีประโยชน์หากโดนยึดพอร์ต
กองทุนไม่มีกำหนดเป้ากำไรที่เราต้องทำได้ ดังนั้นไม่จำเป็นที่เราต้องเทรดทุกวัน หน้าที่ของเรามีแค่รักษาพอร์ตเท่านั้น และเราจะยังมีพอร์ตให้เทรดไปเรื่อยๆตราบใดที่เรายังไม่ผิดกติกา ทำหน้าที่เดียวอันนี้ให้ดีที่สุดครับ
4. #รู้วิธีในการปั้นและประคองกำไร
ผมจะไม่ใช้คำว่า พอให้เป็น เพราะถ้าเราพอ ในจุดที่ไปต่อได้ เราก็จะไม่สามารถรีดกำไรสูงสุดออกมาจากพอร์ตกองทุน
เพราะมันยากมากที่จะบอกว่ากำไรแค่ไหนควรจะพอ เช่น 1 แสนบาทพอรึยัง 2 แสนบาทหยุดเทรดเลยมั้ย หรือ 5 แสนแล้วต้องไปต่อให้ถึงล้านมั้ย ดังนั้นเราต้องอย่าให้ความกลัว และ ความโลภ มาเป็นตัวกำหนดว่าเราต้องทำกำไรให้ได้เท่าไหร่
ผมจะไม่กำหนดเป้าที่ผมต้องหยุดไว้เป็นตัวเลข แต่กำหนดเป็น % ความเสี่ยง และกำหนดเป้าที่เรารับได้หากเสียเอาไว้ก่อนเทรดเสมอ
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำกำไร คือการปั้น และ ประคองกำไร
ในที่นี้คือพอเราได้กำไรมาแล้ว เรากันกำไรส่วนนี้ออกมาเทรดต่อ และยอมเสียแค่ในกำไรส่วนนี้ที่เราตั้งธงไว้ และค่อยๆทำซ้ำต่อไปแบบที่เราทำ โดยไม่มีการเทรดแบบเอาคืน หรือนอกระบบโดยเด็ดขาด WR และ RR ของระบบของเรา ที่มันเวิร์คอยู่แล้ว มันจะทำหน้าที่ช่วยเราปั้นพอร์ตและประคองกำไรไปเอง
ดังนั้น ผมไม่มีเป้าว่าในแต่ละเดือนต้องเทรดให้ได้กำไรเท่าไหร่ กำไรในแต่ละเดือนแล้วแต่ตลาดจะเป็นใจ และแล้วแต่ว่าผมมีเวลาเทรดมากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่ให้เราพยายามดันทุรังเทรด หรือกดดัน กำไรก็คือกำไร
กำไรมีเพิ่มมีลดในระหว่างเดือนคือเรื่องปกติมาก พยายามปั้นและประคองกำไรไปให้ได้ไกลที่สุด ตามระบบ อย่างมีสติ แต่ก็จงพอใจกับกำไรที่เราได้ถอน และพอร์ตที่เรารักษาไว้ได้
5. #ทำยังไงก็ได้ให้มีพอร์ตสำหรับเทรดต่อไปในวันพรุ่งนี้
สิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดกองทุน คือ “ทำยังไงก็ได้ไม่ให้โดนยึดพอร์ต”
นอกจากจะต้องทำตามกติกาของกองทุนอย่างเคร่งครัดแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือคุณจะต้อง “แพ้ให้เป็น” เพราะ ในการเทรด ไม่มีทางที่กราฟจะเป็นใจทุกวัน ไม่มีระบบที่ WR 100%
ถ้าดู Stat การเทรดของผม จะเห็นว่าไม่ได้มีแต่กราฟขึ้นๆอย่างเดียว แต่มีย่อ มีกำไรหายไปด้วยบ้าง ทั้งที่ชน SL และที่ผมคัทมือ ใครที่กลัว SL คุณออกจากแก๊งค์เราไปเลย
ให้มองว่าเป็นการย่อเพื่อไปต่อ อย่าไปจมอยู่กับวันที่ผิดพลาด ให้คิดเสมอว่าการคัทก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบ เชื่อในระบบแล้วไปต่อ ด้วยใจที่นิ่ง สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาพอร์ตเอาไว้ให้ได้ ในวันที่กราฟไม่เป็นใจ
ในพอร์ตของตัวเอง หลายคนอาจจะมีประสบการณ์ที่เรารักษาพอร์ตโดยการ MM เติมเงิน แก้ไม้ในแนวถัดไป ซึ่งไม่ผิด แต่ การเทรดพอร์ตกองทุน เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย สิ่งเดียวที่เราทำได้เพื่อรักษาพอร์ตเอาไว้ คือ การคัท เท่านั้น เพื่อไม่ให้ DD เกิน
อย่าลืมว่าเงินในพอร์ตไม่ใช่เงินเราด้วย คัทไปเราก็ไม่ได้เสียเงินอะไรจริง แต่ถ้าเราไม่คัทนี่สิ เราต้องเสียพอร์ตและกำไรไป และต้องสอบใหม่เสียเงินเสียเวลาอีก
ดังนั้น คัทเถอะครับ “กำไรเราจะทำใหม่เท่าไหร่ก็ได้” ถ้ามาถึงจุดนี้แล้วจะรู้ว่าการทำกำไรมันไม่ยากเลย ขอแค่อย่าทำให้พอร์ตเสียหายจนถูกยึดก็พอ
“ไม่ว่าจะเป็น Bad day สำหรับการเทรดแค่ไหน พรุ่งนี้ต้องยังมีพอร์ตให้เทรดต่ออยู่” ผมบอกตัวเองแค่นี้
สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้กับเทรดเดอร์กองทุน และเทรดเดอร์ที่สนใจเดินทางไปในเส้นทางนี้ด้วยกันทุกคนนะครับ มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าคนอื่นทำได้ คุณก็สามารถทำได้เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องเรียนกับผมก็ได้ ผมไม่ซีเรียสเลย ใครอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน หากไม่มีทุนเรียน สามารถติดตาม Live ฟรี ของผม ทุกๆคืนวันอาทิตย์ และ วันพุธ 19:30 ได้ครับ คู่ที่ผมเข้าเทรด ก็คือคู่ที่ผมวิเคราะห์ไปในไลฟ์นั่นแหละ เทคนิคต่างๆ ก็แกะเอาจากในไลฟ์ได้ครับ
แต่ ท่านไหนอยากเรียนระบบเทรดของผม เรียนรู้หน้างาน และแชร์แผนกันในกลุ่มไลน์นักเรียนกับผม ทักแชทเพื่อขอรายละเอียดคอร์สเรียน และ รับราคาพิเศษ ทางแชทได้เลยครับ
บอกไว้ก่อนว่าคอร์สเรียนแพงแน่นอน แต่ลองคิดดูครับว่ามูลค่าของคอร์สเรียน Basic + Advanced ยาวกว่า 50 ชั่วโมง พร้อมกลุ่มไลน์นักเรียน อะเลิทต่างๆแบ่งปันให้ใช้ฟรี มีอัพเดทเนื้อหาให้ตลอด ปรึกษาผมส่วนตัวได้ตลอดชีวิต และที่สำคัญวิชาความรู้ และประสบการณ์ทั้งหมดของผม ที่ผมใช้ถอนเงินเดือนละหลายแสนทุกเดือน ควรจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่ แล้วจะรู้ว่าผมสอนให้ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ
วันนี้ผมพอใจในระบบ และกำไรที่ทำได้แล้ว จึงตั้งใจจะส่งต่อสิ่งดีๆกลับไปให้สังคมการเทรดให้เต็มที่ในปีนี้ โดยการตั้งใจสอน และแบ่งปันความรู้และวิเคราะห์กราฟฟรีให้ไปเรื่อยๆ ทั้งนักเรียนที่เรียนกับผม เพื่อนๆที่ติดตามอ่านในเพจ และที่ติดตามดูไลฟ์ ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
อยากเป็นเทรดเดอร์กองทุน พิมพ์ +1 แล้วแชร์เก็บไว้อ่าน
อยากให้ทำ Live ตอนพิเศษ ถาม-ตอบ แชร์ความรู้ ข้อมูล ประสบการณ์ เกี่ยวกับการเทรดกองทุนโดยเฉพาะ พิมพ์ +2
ถ้ามีประโยชน์ ฝากกดไลค์ กดแชร์ คอนเท้นท์นี้ และขอให้ทุกคนทำสำเร็จเป็นเทรดเดอร์กองทุนได้ตามตั้งใจครับ

92
พอร์ต PoE หรือ Power over Ethernet คืออะไร ?
ต่างจากพอร์ต LAN ธรรมดาอย่างไร ?
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านตา "พอร์ต PoE" หรือที่มีชื่อเรียกแบบเต็มยศว่า "Power over Ethernet" กันมาบ้าง คำนี้ปรากฏให้เห็นอยู่ในอุปกรณ์หลายอย่าง โดยระบุว่ามันรองรับ PoE ด้วย หรือไม่ก็อาจจะเห็นมันในเราเตอร์ และอุปกรณ์เครือข่ายบางรุ่น

บทความเกี่ยวกับ Connector อื่นๆ
พอร์ต Thunderbolt คืออะไร ? และรู้จัก Thunderbolt 5 ที่มีแบนด์วิดท์สูงถึง 120 Gbps
Circular Connectors คืออะไร ? รู้จักขั้วต่อไฟฟ้าทรงกลม นิยมในอุตสาหกรรม
DisplayLink คืออะไร ? ทำงานอย่างไร ? และข้อดี และข้อเสียมีอะไรบ้าง ?
ต่อลำโพงคอมพิวเตอร์ผ่านพอร์ตไหนดีที่สุด ? ระหว่าง AUX, RCA, S/PDIF, USB, TOSLINK และ HDMI
พอร์ต USB ในเราเตอร์ สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ?
หน้าตาของเจ้าพอร์ต PoE นี้ เหมือนกับพอร์ต LAN ทุกประการ (มักจะอยู่ติดกันด้วย) คำถามที่หลายคนอาจจะสงสัย คือ แล้วมันคือพอร์ตอะไร ? ต่างจากพอร์ต LAN ตรงไหน ? บทความนี้มีคำตอบให้ครับ :)

เนื้อหาภายในบทความ
Power over Ethernet (PoE) คือ อะไร ?
มาตรฐานของเทคโนโลยี Power over Ethernet (PoE)
อุปกรณ์สำหรับ Power over Ethernet (PoE) มีอะไรบ้าง ?
Power over Ethernet (PoE) แตกต่างกับ Powerline Ethernet อย่างไร ?



พอร์ต PoE หรือ Power over Ethernet คืออะไร ? ต่างจากพอร์ต LAN ธรรมดาอย่างไร ?
ภาพจาก : https://www.amazon.com/WS-GPOE-1-WM-Gigabit-Passive-Ethernet-Injector/dp/B00ENNUWO4

Power over Ethernet (PoE) คือ อะไร ?
Power over Ethernet หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า PoE เป็นรูปแบบหนึ่งของการจ่ายกระแสไฟฟ้า และเชื่อมต่อเครือข่าย ผ่านระบบสายในเครือข่าย มันมีมาตรฐานของมันไม่ต่างไปจากมาตรฐานของระบบ Wi-Fi โดยมีให้เลือกใช้งานอยู่หลายมาตรฐาน แน่นอนว่ามาตรฐานที่ใหม่กว่าย่อมรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงขึ้นกว่ามาตรฐานเก่านั่นเอง

PoE มีประโยชน์ในด้านการช่วยจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการพลังงานไฟฟ้าในการทำงานสูงมาก อย่างเช่นพวกกล้องวงจรปิด (CCTV), อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Wi-Fi (Wireless Access Points), โทรศัพท์, ระบบอินเทอร์คอม เป็นต้น

และด้วยเทคโนโลยี PoE ทำให้สายเพียงเส้นเดียวสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้อุปกรณ์เหล่านี้ทำงานได้ และยังช่วยเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับระบบเครือข่ายได้อีกด้วย ตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่าคุณต้องการจะติดกล้องวงจรปิด พอติดตั้งกล้องเสร็จ หากคุณไม่มี PoE ล่ะก็ ... คุณจะต้องเดินสายไฟ ติดปลั๊กเพิ่ม หรือไม่ก็เลือกติดกล้องได้เฉพาะในจุดที่มีปลั๊กไฟเท่านั้น แต่พอมี PoE แค่สายเครือข่ายเส้นเดียวก็จบเลย

มาตรฐานของเทคโนโลยี Power over Ethernet (PoE)
Power over Ethernet (PoE) ในขณะนี้มีอยู่ 4 ประเภท สามารถดูรายละเอียดชื่อประเภท และคุณสมบัติการทำงานของมันได้จากตารางด้านล่างนี้เลยครับ

ชื่อ   มาตรฐาน
IEEE   จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้อุปกรณ์ได้   พลังงานไฟฟ้าสูงสุดต่อพอร์ต   Energized Pairs   อุปกรณ์ที่รองรับ
PoE   IEEE 802.3af
(Type 1)   12.95 วัตต์   15.4 วัตต์   2 คู่   กล้องวงจรปิด, โทรศัพท์แบบ VoIP, Wireless Access Points
PoE+   IEEE 802.3at
(Type 2)   25.5 วัตต์   30 วัตต์   2 คู่   กล้องสปีดโดม (PTZ), โทรศัพท์แบบ Video IP phones, สัญญาณเตือนภัย
PoE++   IEEE 802.3bt (Type 3)   51 วัตต์   60 วัตต์   4 คู่   อุปกรณ์ Video conferencing, Multi-radio Wireless Access Points
PoE++   IEEE 802.3bt (Type 4)   71.3 วัตต์   100 วัตต์   4 คู่   โน้ตบุ๊ก, หน้าจอแสดงผล
เทคโนโลยี PoE แบบเก่าจะเรียกว่า PoE Type 1 (IEEE 802.3af) และ PoE Type 2 (IEEE 802.3at) หรือที่เรียกว่า PoE+ ทั้งคู่จะมี Energized Pairs อยู่ 2 คู่ สำหรับใช้ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้า โดย Type 1 จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 15.4W ต่อพอร์ต ส่วน Type 2 จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 30W ต่อพอร์ต

ในส่วนของเทคโนโลยี PoE แบบใหม่ IEEE 802.3bt ก็จะมีอยู่ 2 Type เช่นกัน คือ Type 3 และ Type 4

Type 3 นั้นมีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อมาก ทั้ง 4-Pair PoE, 4PPoE, PoE++ หรือ UPoE โดยมันสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60W เลยทีเดียว

สุดท้าย Type 4 ที่ออกแบบมาให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดมากถึง 100W

อุปกรณ์สำหรับ Power over Ethernet (PoE) มีอะไรบ้าง ?
อุปกรณ์ Power over Ethernet (PoE) ก็มีให้เลือกใช้งานอยู่หลายประเภทนะครับ สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ดังนี้

PoE Ethernet Switches
PoE Ethernet Switches สามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ที่รองรับ PoE ผ่านสาย Ethernet cable (หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าสาย LAN นั่นแหละ) โดยมันเองจะทำหน้าที่เหมือน PoE Injectors ด้วยในตัว

สวิตซ์ PoE หรือ PoE Ethernet Switches
ภาพจาก : https://th.aliexpress.com/item/32876992628.html

PoE Injectors
PoE Injectors มีความสามารถในการเพิ่มคุณสมบัติ PoE ให้กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ PoE ได้ และในทางกลับกัน มันก็อนุญาตให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่รองรับ PoE เข้ากับอุปกรณ์ที่ไม่มี PoE ได้ด้วย

PoE Injectors
ภาพจาก : https://www.shopat24.com/p/TP-Link-TL-PoE150S-PoE-Injector/358612/?

PoE Splitters
PoE Splitters ทำหน้าที่แยกสัญญาณ PoE ที่ได้รับมา เพื่อแบ่งสัญญาณของข้อมูล และพลังงานไฟฟ้า ออกจากกัน โดยแยกออกเป็นสองสาย เพื่อให้รองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับเทคโนโลยี PoE

PoE Splitters
ภาพจาก : https://th.aliexpress.com/item/4000994057903.html

PoE Repeaters / PoE Extenders
ตามปกติแล้ว PoE จะสามารถส่งสัญญาณได้ไกลสุด 100 เมตร แต่ถ้าเราต้องการขยายระยะทางให้ไกลมากขึ้น ก็ต้องใช้ PoE Repeaters หรือ PoE Extenders มาช่วยทำงานด้วย

อุปกรณ์ขยายสัญญาณ PoE หรือ PoE Repeaters / PoE Extenders
ภาพจาก : https://www.amazon.com/Extender-Repeater-Supported-100Mbps-Ethernet/dp/B07RLFPVZM

PoE Media Converters
PoE Media Converters เป็นตัวแปลงสัญญาณจากสายไฟใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) หรือสายทองแดง ไปเป็นสาย Ethernet โดยที่รองรับการใช้งานเทคโนโลยี PoE ด้วย

PoE Media Converters


Power over Ethernet (PoE) แตกต่างกับ Powerline Ethernet อย่างไร ?
Power over Ethernet (PoE) กับ Powerline Ethernet ชื่อมันมีความคล้ายคลึงกันมาก จนหลายคนอาจจะสับสนได้ แต่ความจริงมันเป็นเทคโนโลยีคนละชนิด และมีคุณสมบัติการทำงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า PoE เป็นการเพิ่มระบบไฟฟ้าเข้าไปในระบบเครือข่ายผ่านสาย Ethernet แต่สำหรับ Powerline Ethernet มันตรงข้ามกันเลย โดยมันเป็นการเพิ่มระบบเครือข่ายเข้าไปในระบบสายไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม

Powerline Ethernet จะช่วยให้คุณวางระบบเครือข่ายแบบสาย โดยที่ไม่ต้องเดินสาย Ethernet เพิ่ม ในขณะที่ PoE เพิ่มระบบไฟฟ้าเข้าไปในเครือข่ายสาย Ethernet โดยที่ไม่ต้องเดินสายไฟฟ้าเพิ่ม

พอร์ต PoE หรือ Power over Ethernet คืออะไร ? ต่างจากพอร์ต LAN ธรรมดาอย่างไร ?



ที่มา : www.howtogeek.com , en.wikipedia.org , www.black-box.de

93
8 บทเรียนสำคัญที่อยากบอกตัวเองเมื่อเริ่มเป็นเทรดเดอร์

ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปส่งบทความนี้ให้ตัวเองในวันแรกที่เข้าตลาดได้ คงช่วยให้ประหยัดทั้งเงิน เวลา และความเจ็บปวดไปได้มาก นี่คือ 8 บทเรียนสำคัญจากเส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ที่อยากให้คุณได้เรียนรู้ก่อนจะสายเกินไป

1. ออกจาก Comfort Zone อย่ามัวรีรอ
ถ้าระบบเทรดที่ใช้อยู่ไม่พาเราไปถึงเป้าหมาย หรือไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ และอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เทรดไม่ใช่แฟชั่น ไม่จำเป็นต้องตามกระแส SMC, ICT หรือระบบไหนๆ ถ้ามันไม่ใช่ของเรา จงเลือกเส้นทางที่เหมาะกับตัวเองแล้วพัฒนาให้สุด

2. เราเรียนรู้เพื่อ "พัฒนาระบบ" ไม่ใช่เพื่อ "เอาชนะตลาด"
การพยายามเอาชนะตลาดก็เหมือนกับการพยายามควบคุมมหาสมุทร สิ่งที่ควรทำคือเรียนรู้และพัฒนาระบบที่เข้ากับตัวเอง ทดสอบและเก็บสถิติให้แน่น จนสามารถเทรดแบบอัตโนมัติ (Auto Pilot) ได้ อย่าก๊อปปี้ระบบใครมาใช้โดยไม่เข้าใจจริง เพราะสุดท้ายแล้ว ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ "ระบบของเราเอง" ไม่ใช่ของคนอื่น

3. ค่อยๆ เพิ่ม Lot / % Risk อย่างมีสติ
"การเพิ่ม Lot แบบก้าวกระโดด = การพนันกับอนาคตโดยไม่จำเป็น"
เมื่อทำกำไรได้ อย่าปล่อยให้ความโลภพาไป อย่าเพิ่งรีบเพิ่ม Lot หรือเติมเงินลงทุนหากระบบยังไม่นิ่งพอ เทรดไม่ใช่การแข่งขันว่าใครรวยเร็วที่สุด แต่เป็นเรื่องของ "การอยู่รอดให้นานพอ" กำไรคือรางวัลของคนที่อยู่ในตลาดได้นานพอ

4. อย่าเทรดตามกระแส แต่จงเทรดในแบบที่ใช่
แต่ละคนมีสไตล์ที่เหมาะสมต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น Price Action, SMC, ICT, RTM, Elliott Wave หรือ Quant มันจะมี "1 ระบบที่เป็นของเรา"
ในช่วง 1-3 ปีแรก จงเรียนรู้ให้เยอะที่สุด แต่ใช้ให้น้อยที่สุด แล้วค้นหา "ระบบของตัวเอง" ให้เจอ จากนั้นพัฒนาและตกผลึกมันให้สุด

5. Money/Risk Management คือ "หัวใจ" ของเทรดเดอร์มืออาชีพ
หลายคนคิดว่า "การอ่านกราฟ" คือทักษะสำคัญที่สุด แต่จริงๆ แล้ว "การบริหารความเสี่ยงและเงินทุน" คือสิ่งที่แยกเทรดเดอร์ที่อยู่รอดออกจากเทรดเดอร์ที่ล้างพอร์ต

มี Money Management ที่ดี แม้เทรดตามสัญชาตญาณก็ยังอยู่รอดได้

ถ้าบริหารเงินผิด ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ล้างพอร์ตได้ง่ายๆ

ถ้าแพ้ไม่กี่ครั้งแล้วล้างพอร์ต นั่นแปลว่าเรายังสอบตกเรื่อง Money Management

6. สังคมรอบตัวจะหล่อหลอมให้เราเป็นแบบไหน
"เราคือค่าเฉลี่ยของคนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด" ถ้าอยากเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ จงเลือกอยู่กับกลุ่มคนที่ส่งเสริมให้เราเติบโต หลีกเลี่ยงคนที่มีแต่พลังลบหรือทำให้ไขว้เขวจากเป้าหมาย เพราะสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่คิด

7. อย่ายึดติดกับ "สูตรสำเร็จ" มากเกินไป
ตลาดมีวัฏจักร ไม่มีสูตรไหนที่เวิร์ค 100% ตลอดกาล เคยยึดติดแต่ "การเทรด Direction" จน COVID-19 มาทำให้ต้องปรับตัว สุดท้ายแล้ว "ความสามารถในการปรับตัวให้ทันตลาด" คือจุดแข็งของเทรดเดอร์มืออาชีพ อย่ากลัวการลองใช้วิธีใหม่ๆ

8. เทรดเพื่อสร้าง "สินทรัพย์" ไม่ใช่แค่กำไรระยะสั้น
เทรดเดอร์ที่ร่ำรวยไม่ได้แค่หาเงินจากการเทรด แต่ยังลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวควบคู่กันไป

Cashflow → รายได้ที่หมุนเวียนจากการเทรด

Asset → ทรัพย์สินที่สร้างมูลค่าในระยะยาว เช่น หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, Crypto
อย่าเทรดเพียงเพื่อหาเงินใช้ไปวันๆ แต่จงวางแผนเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน เพราะเราไม่อยากเทรดไปจนถึงอายุ 60 ใช่ไหม?

ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ ขอเพียงแค่คอมเมนต์ "ขอบคุณ" และแชร์ต่อให้เพื่อนๆ
แล้วพบกันใหม่ใน 10 บทเรียนต่อไป มาเรียนรู้ด้วยกันเพื่อเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ

แด่เราและผู้ที่เป็นเหมือนเรา ซึ่งมีอยู่น้อยนัก
เทรดเดอร์นักเฉือนคม มุ่งมั่นพิชิตฝัน


94
8 บทเรียนสำคัญที่เรียนรู้จากเส้นทางสู่เทรดเดอร์มืออาชีพ
และอยากย้อนเวลากลับไปส่งบทความนี้ให้ตัวเองตอนเข้าตลาดใหม่ๆ อ่าน
1. ออกจาก Comfort Zone อย่ามัวรีรอ
   หากระบบเทรดที่ใช้อยู่ ไม่พาเราไปถึงเป้าหมายทางการเงิน หรือ ไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง และ อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ
   ไม่ได้บอกให้เปลี่ยนระบบเทรดไปมาเป็นว่าเล่น แต่บางครั้งระบบเดิมอาจ ไม่เหมาะกับเรา จริงๆ อย่าฝืนไปต่อเพียงเพราะ “มันเป็นกระแส” เช่น SMC, ICTถ้าเรารู้ว่ามันไม่ใช่ ก็ไม่มีอะไรผิดที่จะเลือกทางอื่นที่เหมาะกับตัวเอง
2. เราเรียนรู้เพื่อ “พัฒนาระบบ” ไม่ใช่เพื่อ “เอาชนะตลาด”
คอร์สส่วนใหญ่มักสอนให้ “ชนะตลาด” แต่แท้จริงแล้ว ความสำเร็จอยู่ที่การพัฒนาระบบให้เข้ากับตัวเอง
 เรียนรู้เพื่อปรับแต่ง ไม่ใช่เรียนเพราะอยากเก่งขึ้นอย่างเดียว
 ทดสอบและเก็บสถิติให้แน่น จนสามารถเทรดแบบอัตโนมัติ (Auto Pilot)
 ตกผลึกระบบของตัวเอง ไม่ใช่ก๊อปปี้ระบบคนอื่นมาใช้โดยไม่เข้าใจจริง
3. ค่อยๆ เพิ่ม Lot / % Risk ให้เหมาะสม
“การเพิ่ม Lot แบบก้าวกระโดด = การพนันกับอนาคตโดยไม่จำเป็น”
   เมื่อทำกำไรได้ อย่าเพิ่งรีบเพิ่ม Lot หรือเติมเงินลงทุน เพราะหากระบบยังไม่นิ่งพอ ความโลภจะทำให้คุณเจ็บหนัก
   การเทรด ไม่ใช่การแข่งขันว่าใครรวยเร็วที่สุด แต่เป็นเรื่องของ การอยู่รอดให้นานพอ จนสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ
 อยู่รอดก่อน รวยทีหลัง กำไรคือรางวัลของคนที่อยู่ในตลาดได้นานพอ
4. อย่าเทรดตามกระแส แต่จงเทรดในแบบที่ใช่
แต่ละคน มีสไตล์เทรดที่เหมาะสมต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็น Price Action, SMC, ICT, RTM, Elliott Wave หรือ Quant
มันจะมี “1 ระบบที่เป็นของเรา”
 ช่วง 1-3 ปีแรก ของการเรียนรู้ ให้เรียนรู้เยอะ แต่ใช้ให้น้อยที่สุด
จงหา “ระบบของตัวเอง” ให้เจอ แล้วตกผลึกมันให้สุด
5. Money/Risk Management คือ “หัวใจ” ของอาชีพเทรดเดอร์
คนส่วนใหญ่คิดว่า “การอ่านกราฟ” คือสกิลที่สำคัญสุด
แต่ “การบริหารความเสี่ยงและเงินทุน” ต่างหากที่เป็น “ทักษะที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องมี”
 ถ้ามี Money Management ที่ดี แม้เทรดตามสัญชาตญาณก็ยังอยู่รอดได้
 ถ้าบริหารเงินผิด ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ล้างพอร์ตได้ง่ายๆ
 ถ้าคุณแพ้แค่ไม่กี่ครั้งแล้วล้างพอร์ต นั่นแปลว่าคุณสอบตกเรื่อง Money Management
6. สังคมรอบตัวจะหล่อหลอมให้คุณเป็นแบบไหน
เราเปลี่ยนไปเป็น “ค่าเฉลี่ยของคนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด”
 ถ้าอยากเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ จงเลือกอยู่กับกลุ่มคนที่ส่งเสริมให้เราเติบโต
หลีกเลี่ยงคนที่มีแต่พลังลบ หรือ ทำให้คุณไขว้เขวจากเป้าหมาย
7. อย่ายึดติดกับ “สูตรสำเร็จ” มากเกินไป
สูตรเทรดที่ใช้ได้ดีวันนี้ อาจใช้ไม่ได้ตลอดไป
 ตลาดมีวัฏจักรเสมอ ไม่มีสูตรไหนที่เวิร์ค 100% ตลอดกาล
 กลยุทธ์การเทรดมีหลายแบบ อย่ากลัวการลองใช้วิธีใหม่ๆ
 เคยยึดติดแต่ “การเทรด Direction” จน COVID-19 มาทำให้ต้องปรับตัว
 “เปิดใจเรียนรู้ และปรับตัวให้ทันตลาด” นั่นคือจุดแข็งของเทรดเดอร์มืออาชีพ
8. เทรดเพื่อสร้าง “สินทรัพย์” ไม่ใช่แค่กำไรระยะสั้น
เทรดเดอร์ที่ร่ำรวย มักลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวควบคู่ไปกับการเทรด
Cashflow → รายได้ที่หมุนเวียนจากการเทรด
Asset → ทรัพย์สินที่สร้างมูลค่าในระยะยาว เช่น หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, Crypto
 อย่าเทรดเพียงเพื่อหาเงินใช้ไปวันๆ แต่จงวางแผนเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน
 เพราะเราไม่อยากเทรดไปจนถึงอายุ 60 ใช่ไหมครับ
ถ้าชอบบทความนี้ และมีประโยชน์ ขอแค่เพียงคอมเม้นท์กล่าวคำ "ขอบคุณ" และคนละ 1 แชร์
แล้วเดี๋ยวมาต่ออีก 10 บทเรียนกัน
มาเรียนรู้ด้วยกันเพื่อเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
"แด่เราและผู้ที่เป็นเหมือนเรา ซึ่งมีอยู่น้อยนัก"
เทรดเดอร์นักเฉือนคม มุ่งมั่นพิชิตฝัน

95
ฝึกๆ รอบคอบ  รอวางแผนตามเดย์  สติ ฝึกรอเทรด กำไรตามทุน ตั้งเป้าหมาย 100$ 10%ทุน. ทุ่มเทปฏิวัติตนเอง ฝันใหญ่แค่ไหน.


1.เรียนรู้
2.รอบคอบ
 
- ทุน
-สติ   
3.

96
"สำรองข้อมูล เรื่องไม่ยาก ถ้าอยากให้ชีวิตง่ายขึ้น"
1. สำรองข้อมูลสำคัญแค่ไหน?
กันข้อมูลสูญหาย: เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดได้เสมอ เช่น ฮาร์ดดิสก์เสีย ไฟล์โดนลบ หรือไวรัสโจมตี
ช่วยกู้คืนงานได้ทันที: ลดเวลาเสียหายจากการทำงาน
เป็นเรื่องจำเป็นทางกฎหมาย: สำหรับองค์กรที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลตามข้อกำหนด
2. รูปแบบการสำรองข้อมูล (Backup Types)
Full Backup:

เก็บทุกอย่างในระบบ
ข้อดี: กู้คืนง่ายและครบถ้วน
ข้อเสีย: ใช้พื้นที่และเวลามาก
Incremental Backup:

สำรองเฉพาะไฟล์ที่เปลี่ยนแปลงจากครั้งล่าสุด
ข้อดี: ประหยัดเวลาและพื้นที่
ข้อเสีย: กู้คืนอาจใช้เวลามาก
Differential Backup:

สำรองไฟล์ที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่การ Full Backup ครั้งล่าสุด
ข้อดี: กู้คืนง่ายกว่า Incremental
ข้อเสีย: ใช้พื้นที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
3. สื่อสำหรับการสำรองข้อมูล
External Hard Drive:

เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจขนาดเล็ก
พกพาได้ แต่ควรระวังการสูญหายหรือเสียหายทางกายภาพ
Cloud Backup:

เก็บข้อมูลในระบบออนไลน์ เช่น Google Drive, Dropbox, หรือ OneDrive
ข้อดี: เข้าถึงได้ทุกที่
ข้อเสีย: ต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
Network Attached Storage (NAS):

เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลในเครือข่าย
ใช้งานง่ายและรองรับผู้ใช้หลายคน
Tape Backup:

ใช้เก็บข้อมูลระยะยาว
เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัย
4. หลักการสำรองข้อมูลที่ดี (Best Practices)
ใช้หลัก 3-2-1 Backup Rule:

เก็บข้อมูลสำรอง 3 ชุด
ในสื่อที่แตกต่างกัน 2 ประเภท (เช่น ฮาร์ดดิสก์+คลาวด์)
และ 1 ชุดนอกสถานที่
ตั้งตารางเวลาสำรอง: เช่น สำรองข้อมูลรายวันหรือรายสัปดาห์

ตรวจสอบไฟล์สำรองเป็นประจำ: เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้

เข้ารหัสไฟล์สำรอง: เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

5. ขั้นตอนง่าย ๆ ในการเริ่มต้นสำรองข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ: แยกข้อมูลที่จำเป็นต้องสำรอง
เลือกวิธีสำรองที่เหมาะสม: เช่น ใช้คลาวด์หรือฮาร์ดดิสก์
กำหนดนโยบายการสำรอง: เช่น สำรองรายวันหรือรายสัปดาห์
ติดตั้งและตั้งค่าระบบสำรอง: เช่น ใช้ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลที่เหมาะสม
ทดสอบการกู้คืนข้อมูล: เพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์สำรองสามารถใช้งานได้
6. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
เก็บข้อมูลไว้ที่เดียว: ถ้าสถานที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ข้อมูลจะหายหมด
ไม่ตรวจสอบข้อมูลสำรอง: สำรองแล้ว แต่กู้ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์
ลืมอัปเดตข้อมูลสำรอง: ไฟล์สำรองที่ล้าหลังก็เหมือนเก็บความทรงจำในอดีตที่ไม่มีประโยชน์
"การสำรองข้อมูลเหมือนการเตรียมร่มในวันที่อากาศดี... คุณอาจไม่ต้องใช้บ่อย แต่วันที่ฝนตก คุณจะขอบคุณตัวเองที่เตรียมไว้!"

97
"สำรองข้อมูล... เรื่องใหญ่ที่เราอยากให้คุณหัวเราะก่อนปวดหัว!"
1. ทำไมต้องสำรองข้อมูล?
กันไฟล์หาย: "ฮาร์ดดิสก์พังที เหมือนโดนแฟนบอกเลิก... เสียใจแต่ต้อง Move On"
กันลบผิด: “ลบไฟล์ผิดเหรอ? ไม่มีปัญหา... ถ้าคุณสำรองไว้! ถ้าไม่... สวัสดีโลกใบใหม่”
กันไวรัส: รู้จักมั้ย แรนซัมแวร์? มันคือโจรที่บอกว่า “อยากได้ไฟล์คืน จ่ายมาสิ!”
2. สำรองยังไงให้เทพ?
Full Backup: เหมือนถ่ายรูปตอนตัวเองหล่อที่สุด เก็บไว้ดูทุกอย่างครบ!
Incremental Backup: สำรองเฉพาะที่เปลี่ยนแปลง... เหมือนเติมน้ำมันแค่พอขับ ไม่ต้องเต็มถัง
Differential Backup: เก็บเพิ่มทุกวัน เหมือนจดรายการหนี้... วันไหนลืมก็จบกัน!
3. สำรองอะไรดี?
แฟลชไดรฟ์: พกง่าย แต่ถ้าหาย? โทษแมวไปก่อน
ฮาร์ดดิสก์: ทนถึกเหมือนคนอึด แต่ถ้าเผลอหล่น... RIP ไฟล์
คลาวด์: เก็บบนฟ้า ไม่มีวันลืม... เว้นแต่ลืมรหัสผ่าน
NAS: คลังข้อมูลส่วนตัว ถ้า NAS เสีย... ก็เหมือนตู้เซฟที่ไขไม่ได้
4. หลัก 3-2-1 จำง่ายเหมือนสูตรลับ
3 สำเนา: ไฟล์เดียวเก็บ 3 ที่ เผื่อโดนผีหลอกหายหมด
2 สื่อ: ฮาร์ดดิสก์+คลาวด์ (กันตายสองชั้น เหมือนใส่หมวกกันน็อกซ้อนกัน)
1 สำรองนอกสถานที่: กันน้ำท่วม ไฟไหม้ หรือแฟนงอนจนลบงาน
5. อะไรที่ไม่ควรทำ (แต่ชอบเผลอทำ)
เก็บไฟล์ในเครื่องเดียว: "ไฟล์เดียว บ้านเดียว... พังทีร้องเป็นปี"
ไม่เช็คไฟล์สำรอง: "สำรองแล้ว... แต่เปิดไม่ได้! เหมือนล็อกบ้านแล้วลืมใส่ลูกบิด"
ไม่อัปเดตข้อมูล: “สำรองไว้เมื่อปี 2010... พอเปิดมาดู เหมือนดูประวัติชาติไทย!”
6. ทิ้งท้ายแบบขำ ๆ
"สำรองข้อมูลไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ... แต่ถ้าคุณไม่ทำ เดี๋ยวก็ได้เล่นเกมชีวิต!"
"มีไฟล์สำรอง ก็เหมือนมีร่มชูชีพ... ไม่ได้ใช้บ่อย แต่ถ้าขาดไป ร่วงแน่นอน!"
"ไฟล์งานคือแฟน สำรองคือเมียน้อย... มีไว้ช่วยชีวิตตอนฉุกเฉิน!"
จำไว้! สำรองข้อมูลวันนี้ ดีกว่ามานั่งเศร้าพรุ่งนี้... เพราะคอมพังไม่ถามก่อนพัง!

98
ระบบสำรองข้อมูล: จำง่าย ใช้ง่าย และรอดแน่นอน!
1. สำรองข้อมูลไปทำไม?
กันข้อมูลหาย!: ฮาร์ดดิสก์ก็เหมือนมนุษย์... แก่ตัวแล้วก็พังได้!
กันลืมตัวลบเอง: “ใครลบไฟล์นี้?” เงียบกันทั้งแผนก... นี่แหละเหตุผลที่ต้องสำรอง
กันไวรัส: แรนซัมแวร์มาที งานหายหมด! สำรองไว้ไม่โดนขู่กรรโชก
2. แบบไหนที่ควรรู้?
Full Backup: เหมือนก๊อปปี้บ้านทั้งหลัง เหนื่อยหน่อยแต่ครบ
Incremental Backup: เอาเฉพาะที่เปลี่ยนแปลง เหมือนแค่เติมน้ำแข็งในแก้วที่เหลือ
Differential Backup: คล้ายกับถ่ายรูปบ้านทุกวันหลังจากทำความสะอาด
3. สำรองที่ไหน?
External Hard Drive: ฮาร์ดดิสก์ตัวจิ๋ว สบายกระเป๋า (แต่ห้ามลืมพก)
Cloud: เก็บบนฟ้า ชัด ๆ คือไม่หาย (ยกเว้นลืมจ่ายค่าเช่า)
NAS: เหมือนห้องเก็บของส่วนตัว เชื่อมต่อได้ทั้งออฟฟิศ
เทป: ใช้เก็บระยะยาว... เหมือนกล่องภาพเก่า แต่อาจต้องเป่าให้ฝุ่นหลุดก่อนใช้
4. ขั้นตอนแบบง่าย ๆ
แยกข้อมูลสำคัญออกมา: อะไรที่ขาดไม่ได้ ก็สำรองให้หมด!
เลือกสื่อให้เหมาะสม: อย่าเก็บแค่ในแฟลชไดรฟ์นะ แค่เดินชนโต๊ะก็พังแล้ว
ตั้งเวลาสำรอง: ทำเหมือนกินข้าว เช้า-เย็นสำรองไว้จะดี
ตรวจสอบประจำ: สำรองแล้วแต่กู้คืนไม่ได้ ก็เหมือนใส่กุญแจบ้านแต่ลืมเอากุญแจไว้
5. หลัก 3-2-1 (แบบไม่งง)
3 ชุด: สำรอง 3 สำเนา เผื่อเจ๊งซ้ำ
2 ประเภท: เก็บในฮาร์ดดิสก์+คลาวด์ (กันพังคู่)
1 ชุดนอกสถานที่: กันไฟไหม้ น้ำท่วม หรือแมวพัง
6. ทิ้งท้ายแบบฮา ๆ
"ถ้าข้อมูลหาย คำถามแรกคือใครลบ... แต่ถ้าสำรองไว้ คำถามจะเปลี่ยนเป็น 'แล้วทำไมไม่สำรองให้ครบ?' "
"ระบบสำรองคือประกันชีวิตของไฟล์... ขาดไม่ได้ถ้าอยากให้ชีวิตงานสงบสุข"
สำรองวันนี้ ชีวิตพรุ่งนี้จะง่ายขึ้น!

99
การสำรองข้อมูล (Data Backup) เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการรักษาความปลอดภัยและความต่อเนื่องของข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ความเสียหายของฮาร์ดแวร์ การโจมตีจากมัลแวร์ หรือการลบข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ การสำรองข้อมูลมีองค์ประกอบและปัจจัยที่ควรพิจารณา ดังนี้:

1. ความสำคัญของการสำรองข้อมูล
ป้องกันการสูญเสียข้อมูล: ลดความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญจะสูญหายเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ
การกู้คืนระบบ: ช่วยให้องค์กรหรือบุคคลสามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและลดเวลาหยุดชะงัก
ปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐาน: ในบางองค์กรจำเป็นต้องสำรองข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบ
2. รูปแบบของการสำรองข้อมูล
Full Backup: สำรองข้อมูลทั้งหมดในระบบ ข้อดีคือการกู้คืนรวดเร็ว แต่ใช้พื้นที่และเวลามาก
Incremental Backup: สำรองเฉพาะข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสำรองครั้งล่าสุด ใช้เวลาน้อยลง แต่การกู้คืนอาจซับซ้อน
Differential Backup: สำรองข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ Full Backup ล่าสุด การกู้คืนง่ายกว่า Incremental แต่ใช้พื้นที่มากกว่า
Mirror Backup: การทำสำเนาข้อมูลที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับข้อมูลที่ต้องการความทันสมัย
3. อุปกรณ์และสื่อในการสำรองข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์ภายนอก (External Hard Drive): เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจขนาดเล็ก
เซิร์ฟเวอร์สำรอง (Backup Server): ใช้ในองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลที่ดี
คลาวด์ (Cloud Backup): การเก็บข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์ เช่น Google Drive, Dropbox, AWS หรือ Azure
เทปสำรองข้อมูล (Tape Backup): ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเก็บข้อมูลระยะยาว
NAS (Network Attached Storage): อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสำหรับการสำรองข้อมูลในองค์กร
4. ขั้นตอนการสำรองข้อมูล
วิเคราะห์ความต้องการ: ระบุข้อมูลสำคัญและความถี่ในการสำรอง
เลือกวิธีและสื่อที่เหมาะสม: เลือกประเภทของการสำรองและอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการ
ตั้งค่าระบบสำรองข้อมูล: ใช้ซอฟต์แวร์หรือระบบที่เหมาะสม เช่น Acronis, Veeam, หรือ Windows Backup
กำหนดตารางเวลา: วางแผนการสำรองข้อมูล เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
ตรวจสอบและทดสอบ: ทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์
5. ข้อควรระวัง
หลีกเลี่ยงการสำรองในสถานที่เดียวกับข้อมูลต้นฉบับ: ในกรณีไฟไหม้หรือภัยพิบัติ อาจทำให้ข้อมูลทั้งหมดสูญหาย
เข้ารหัสข้อมูล (Encryption): เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
รักษาความต่อเนื่องของข้อมูล (Retention Policy): ตั้งนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลที่ไม่จำเป็นเพื่อลดการใช้พื้นที่
ตรวจสอบอุปกรณ์สำรองข้อมูล: เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ยังทำงานได้ดี
6. แนวทางปฏิบัติที่ดี
ใช้หลักการ 3-2-1 Backup Rule:
3: สำรองข้อมูลอย่างน้อย 3 ชุด
2: เก็บไว้ในสื่อที่แตกต่างกันอย่างน้อย 2 ประเภท
1: เก็บข้อมูลสำรองไว้นอกสถานที่ 1 ชุด
การสำรองข้อมูลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องข้อมูลสำคัญและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

100
เครื่องถอดเทป ฟิลลิป vendor เค้ายังซัพพอร์ตอยู่ป่ะครับ หาไลน์ไม่เจอแล้ว
intelligent service ถอดเทป philip
0655791365

หน้า: [1] 2 3 ... 7