กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1
ถ้าคุณเป็นคนอ่อนไหวง่าย การกดดันตัวเองหนักๆ อาจทำให้ท้อ... แต่การค่อยๆ สร้างความมั่นใจทีละนิดอาจได้ผลดีกว่า"
.
"คำถามสำคัญคือ..." เขาหยิบกระจกบานหนึ่งขึ้นมา 
.
"อะไรที่สนุกสำหรับคุณ แต่เป็นงานสำหรับคนอื่น?
อะไรที่ทำแล้วคุณลืมเวลา?
อะไรที่คุณทำได้ดีกว่าคนทั่วไป?
อะไรที่เป็นธรรมชาติสำหรับคุณ?"
.
"ความลับของการสร้างนิสัยคือ... การเลือกเกมที่คุณมีโอกาสชนะ" 
.
เขาหยิบเมล็ดพืชที่กระจายบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งเมล็ด "เหมือนต้นไม้... บางต้นชอบแดด บางต้นชอบร่ม บางต้นต้องการน้ำมาก บางต้นต้องการน้ำน้อย"
.
"ยีนส์ของคุณไม่ได้กำหนดชะตาชีวิต... แต่มันบอกว่าคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในด้านไหนมากกว่ากัน"
.
"Warren Buffett ไม่ใช่นักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก... แต่เขาเลือกเล่นเกมที่เขาถนัด - การลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่เข้าใจง่าย
.
Michael Phelps ไม่ใช่นักกีฬาที่แข็งแรงที่สุด... แต่เขามีร่างกายที่เหมาะกับการว่ายน้ำ - แขนยาว เท้าใหญ่ ขาสั้น
.
Einstein ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด... แต่เขามีความอยากรู้อยากเห็นในฟิสิกส์มากกว่าใคร"
.
"และถ้าคุณหาเกมที่เหมาะกับคุณไม่เจอ..." เขายิ้ม "ก็สร้างเกมของคุณเองขึ้นมา"
.
"Steve Jobs ไม่ใช่วิศวกรที่เก่งที่สุด ไม่ใช่นักออกแบบที่ดีที่สุด... แต่เขารวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน สร้างสิ่งที่ไม่มีใครทำมาก่อน
.
LeBron James ไม่ใช่การ์ดที่เก่งที่สุด ไม่ใช่ฟอร์เวิร์ดที่แข็งแกร่งที่สุด... แต่เขาผสมความเร็วกับพละกำลัง สร้างสไตล์การเล่นของตัวเอง"
.
"จำไว้..." เขาวางเมล็ดพืชลงในกระถาง 
.
"เมื่อคุณไม่สามารถชนะด้วยการเป็นคนที่ดีที่สุด... คุณสามารถชนะด้วยการเป็นคนที่แตกต่าง
.
เมื่อคุณผสมผสานทักษะหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน... คุณลดการแข่งขัน และทำให้ตัวเองโดดเด่น"
.
.
----------------------------------
.
[ ความเบื่อ ]
.
.
James หยิบนาฬิกาทรายขึ้นมา พลิกมันช้าๆ 
.
"แต่มีศัตรูตัวร้ายที่จะทำลายนิสัยดีๆ ของคุณ..." เขามองเม็ดทรายที่ไหลลงมาทีละเม็ด "มันไม่ใช่ความขี้เกียจ ไม่ใช่การขาดวินัย..."
.
"มันคือความเบื่อ"
.
"ความเบื่อคือศัตรูที่อันตรายที่สุดของความสำเร็จ" เขาวางนาฬิกาทรายลง "เพราะเราเบื่อกับสิ่งที่ทำซ้ำๆ เมื่อมันไม่ให้ความตื่นเต้นเหมือนเดิม"
.
"นี่คือเหตุผลที่คนเปลี่ยนแผนออกกำลังกายบ่อยๆ 
เปลี่ยนจากโยคะเป็นวิ่ง จากวิ่งเป็นเวท...
เปลี่ยนจากไดเอทนี้เป็นไดเอทนั้น... 
เปลี่ยนจากธุรกิจนี้เป็นธุรกิจโน้น..."
.
"ทั้งที่แผนเดิมยังได้ผลดีอยู่" เขาส่ายหน้า "แต่พอเริ่มรู้สึกเบื่อ เราก็อยากหาอะไรใหม่ๆ ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว"
.
"แล้วเราจะเอาชนะความเบื่อได้ยังไง?" เขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา
.
"1. Variable Rewards - รางวัลที่ไม่แน่นอน
.
เหมือนเกมพนัน... ที่บางทีชนะ บางทีแพ้ ทำให้คนติด
เหมือนโซเชียลมีเดีย... ที่บางโพสต์ได้ไลค์เยอะ บางโพสต์ไม่มีคนสนใจ
เหมือนการเล่นเกม... ที่บางครั้งได้ไอเทมเทพ บางครั้งไม่ได้อะไรเลย
.
จุดที่สมบูรณ์แบบคือ 50/50... ได้รางวัลครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ครึ่งหนึ่ง เพียงพอให้รู้สึกพอใจ แต่ไม่มากเกินไปจนไม่ตื่นเต้น"
.
"2. Goldilocks Rule - กฎทองของความยากที่พอดี
.
งานที่ง่ายเกินไปทำให้เบื่อ
งานที่ยากเกินไปทำให้ท้อ
งานที่ท้าทายพอดีๆ ทำให้อยากทำต่อ
.
เหมือนเกมที่ยากพอจะท้าทาย แต่ไม่ยากจนเล่นไม่ได้
เหมือนหนังสือที่เข้าใจยากนิดหน่อย แต่ไม่ยากจนอ่านไม่รู้เรื่อง
เหมือนงานที่ต้องคิด แต่ไม่ถึงกับปวดหัว"
.
"3. Deliberate Practice - การฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย
.
อย่าแค่ทำซ้ำๆ... แต่ให้ทำให้ดีขึ้นทีละนิด
อย่าแค่วิ่งทุกวัน... แต่พยายามวิ่งให้เร็วขึ้น ไกลขึ้น
อย่าแค่เล่นดนตรี... แต่ลองเพลงที่ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้น
อย่าแค่ทำงาน... แต่หาวิธีทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"
.
"4. Reflection and Review - ทบทวนและปรับปรุง
.
เหมือนดูตัวเองในกระจก..." เขาหยิบกระจกขึ้นมาอีกครั้ง
.
"ถ้าดูใกล้เกินไป คุณจะเห็นแต่ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ จนลืมภาพรวม
ถ้าไม่ดูเลย คุณจะไม่เห็นสิ่งที่ควรปรับปรุง
แต่ถ้าดูในระยะที่พอดี คุณจะเห็นทั้งจุดที่ต้องแก้ไขและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น"
.
"5. Identity-Based Habits - นิสัยที่มาจากตัวตน
.
แทนที่จะบอกว่า 'ฉันกำลังพยายามเลิกบุหรี่'
ให้บอกว่า 'ฉันไม่ใช่คนสูบบุหรี่'
.
แทนที่จะบอกว่า 'ฉันกำลังลดน้ำหนัก'
ให้บอกว่า 'ฉันเป็นคนรักสุขภาพ'
.
แทนที่จะบอกว่า 'ฉันอยากเขียนหนังสือ'
ให้บอกว่า 'ฉันเป็นนักเขียน'"
.
"เพราะแรงจูงใจอาจทำให้คุณเริ่มนิสัยใหม่..." เขาวาดรูปหัวใจบนกระดาน "แต่มีแต่ตัวตนเท่านั้นที่จะทำให้คุณรักษานิสัยนั้นไว้ได้"
.
"สุดท้าย..." เขาหยิบเมล็ดพืชที่เพิ่งปลูกขึ้นมาดู "จงจำไว้ว่าการเติบโตเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบ"
.
"เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำ แสงแดด และการดูแลไปตลอดชีวิต
เหมือนร่างกายที่ต้องการอาหาร การพักผ่อน และการออกกำลังกายทุกวัน
เหมือนความสัมพันธ์ที่ต้องการความเข้าใจ การให้อภัย และความรักอย่างต่อเนื่อง"
.
.
-----------------------------------
.
[ บทสรุป ]
.
.
"ความลับของความสำเร็จไม่ใช่การได้ผลลัพธ์... แต่เป็นการรักษากระบวนการ
ไม่ใช่การชนะเกม... แต่เป็นการเล่นเกมต่อไป
ไม่ใช่การถึงจุดหมาย... แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันจบ"
.
James หยิบไดอารี่เล่มเก่าขึ้นมาอีกครั้ง เปิดไปหน้าสุดท้าย
.
"และนี่คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด..." เขาเริ่มอ่าน
.
"1. นิสัยเป็นดอกเบี้ยทบต้นของการพัฒนาตัวเอง
.
ถ้าคุณดีขึ้น 1% ทุกวัน สิ้นปีคุณจะดีขึ้น 37.8 เท่า
ถ้าคุณแย่ลง 1% ทุกวัน สิ้นปีคุณจะเหลือแค่ 0.03 เท่า
.
2. เป้าหมายสำหรับชนะเกม ระบบสำหรับเล่นเกมต่อ
.
เป้าหมายช่วยกำหนดทิศทาง
แต่ระบบคือสิ่งที่พาคุณไปถึง
.
3. คุณไม่ได้ขาดแรงจูงใจ คุณขาดความชัดเจน
.
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มตรงไหน
ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
.
4. สภาพแวดล้อมสำคัญกว่าแรงจูงใจ
.
คนที่มีวินัยที่สุดคือคนที่ต้องใช้วินัยน้อยที่สุด
เพราะเขาออกแบบสภาพแวดล้อมให้พฤติกรรมที่ดีเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด
.
5. ตัวตนสำคัญกว่าผลลัพธ์
.
ทุกครั้งที่คุณทำอะไรซ้ำๆ
คุณไม่ได้แค่สร้างนิสัย
คุณกำลังสร้างตัวตนใหม่
.
6. ความก้าวหน้าไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
.
แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สะสมไปเรื่อยๆ
เหมือนหยดน้ำที่กัดหิน
เหมือนดอกเบี้ยที่ทบต้น
.
7. นิสัยที่ดีที่สุดคือนิสัยที่คุณสามารถรักษาไว้ได้
.
ดีกว่าทำ 100% แล้วเลิก
คือทำ 1% แต่ทำไปเรื่อยๆ"
2
Atomic Habits: ตำราพลิกชีวิตด้วยพลังของนิสัยเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
.
"ถ้า Elon Musk ยังต้องตื่นตี 4 ครึ่งทุกวัน
Bill Gates ยังอ่านหนังสือ 50 เล่มต่อปี
Mark Zuckerberg ยังวิ่งทุกเช้าแม้เป็น CEO
แล้วคุณล่ะ... คิดว่าความสำเร็จมาจากไอเดียเจ๋งๆ หรือนิสัยเล็กๆ ที่ทำซ้ำ 10,000 ครั้ง?"
.
นี่คือแนวคิดจาก James Clear ผู้เขียน Atomic Habits ที่พลิกโฉมวงการพัฒนาตัวเองด้วยการพิสูจน์ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่ได้มาจากความพยายามครั้งใหญ่ แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สะสมทีละ 1% ทุกวัน
.
"เหมือนดอกเบี้ยทบต้นของการพัฒนาตัวเอง" เขาอธิบาย "ถ้าคุณพัฒนาขึ้น 1% ทุกวัน สิ้นปีคุณจะดีขึ้น 37 เท่า แต่ถ้าแย่ลง 1% ทุกวัน สิ้นปีคุณจะแทบไม่เหลืออะไรเลย"
.
ในบทความนี้ คุณจะได้พบกับ:
- วิธีสร้างระบบที่ทำให้นิสัยดีเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
- กฎ 4 ข้อที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างถาวร
- วิธีทำให้การพัฒนาตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนคุณ
.
และที่สำคัญ... เทคนิคการเอาชนะตัวเองโดยไม่ต้องต่อสู้กับตัวเอง
.
.
------------------------------------
.
[ ATOMIC HABITS ]
.
เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ แสงสลัวค่อยๆ เผยให้เห็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ขนาดยักษ์ มีหลอดทดลองและสารเคมีสีสันต่างๆ วางเรียงราย ตรงกลางเวทีมีโมเดลอะตอมขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนวนช้าๆ
.
"รู้ไหมครับว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง?" James Clear ก้าวออกมาในชุดกาวน์ขาว พร้อมแว่นตานักวิทยาศาสตร์ "เพราะพวกเขาพยายามเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป... เหมือนคนอยากผอมที่ลดน้ำหนัก 10 กิโลในหนึ่งเดือน แล้วก็โยโย่กลับมาอ้วนกว่าเดิม"
.
เขาหยิบแท่งคาร์บอนขึ้นมา "เหมือนเพชรกับถ่านหินครับ รู้ไหมว่าอะไรทำให้มันต่างกัน? ทั้งที่มันทำจากธาตุคาร์บอนเหมือนกัน"
.
เสียงกระซิบซุบซิบในห้อง
.
"การจัดเรียงตัวของอะตอมครับ" เขาชี้ไปที่โมเดลอะตอม "เพชรกับถ่านมีอะตอมคาร์บอนเหมือนกัน แต่วิธีจัดเรียงตัวต่างกันนิดเดียว... และนั่นทำให้มูลค่าต่างกันหลายล้านเท่า"
.
"เช่นเดียวกับชีวิตครับ บางทีสิ่งที่แยกคนธรรมดากับคนพิเศษ ไม่ใช่พรสวรรค์หรือโชคชะตา... แต่เป็นวิธีจัดเรียงนิสัยเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน"
.
เขาหยิบไดอารี่เล่มเก่าขึ้นมา "ผมเคยเป็นนักกีฬาเบสบอลที่โดนลูกบอลฟาดหน้าจนสลบ ต้องผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาฟื้นฟูนานมาก... แต่ผมค้นพบบางอย่างระหว่างนั้น..."
.
เขาเปิดไดอารี่ช้าๆ "ตอนนั้นผมทำได้แค่นอนบนเตียง แทบขยับตัวไม่ได้ ผมเลยเริ่มทำสิ่งเดียวที่ทำได้... จดบันทึกนิสัยเล็กๆ ที่จะทำทุกวัน"
.
"วันแรก: นอนก่อน 4 ทุ่ม
วันที่สอง: กินผักหนึ่งคำก่อนมื้อเที่ยง
วันที่สาม: อ่านหนังสือหนึ่งหน้าก่อนนอน"
.
"มันดูไร้สาระมากครับ" เขาหัวเราะ "แค่นอนเร็วขึ้นนิดหน่อย กินผักนิดเดียว อ่านหนังสือแค่หน้าเดียว... เหมือน Mark Zuckerberg ลองเขียนโค้ดวันละบรรทัด หรือ Warren Buffett อ่านงบการเงินวันละบริษัท"
.
เขาเดินไปที่กระดานดำขนาดใหญ่ เขียนสมการ:
.
1.01^365 = 37.8
0.99^365 = 0.03
.
"นี่คือพลังของการเปลี่ยนแปลงทีละ 1% ครับ ถ้าคุณดีขึ้น 1% ทุกวัน สิ้นปีคุณจะดีขึ้น 37.8 เท่า แต่ถ้าแย่ลง 1% ทุกวัน คุณจะเหลือแค่ 3% ของจุดเริ่มต้น"
.
"เหมือนหยดน้ำที่หยดลงในแก้ว วันละหยด... วันหนึ่งมันจะล้น
เหมือนดอกเบี้ยที่ทบต้นทุกวัน... วันหนึ่งมันจะเป็นภูเขา
เหมือนการเรียนรู้ทีละนิด... วันหนึ่งคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ"
.
.
-------------------------------------
.
[ Valley of Disappointment ]
.
.
"แต่!" เขายกนิ้ว "มีกับดักใหญ่ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ล้มเหลว..."
.
"กับดักนั้นคือ... การมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง" James เดินไปที่โต๊ะทดลอง หยิบน้ำแข็งก้อนหนึ่งขึ้นมา
.
"สมมติว่าอุณหภูมิห้องอยู่ที่ 25 องศา และน้ำแข็งอยู่ที่ -5 องศา" เขาชูน้ำแข็งให้ทุกคนเห็น "ถ้าอุณหภูมิค่อยๆ เพิ่มขึ้น... -4... -3... -2... -1... 0 องศา คุณจะไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงเลย"
.
"แต่พอถึง 1 องศา..." น้ำแข็งเริ่มมีหยดน้ำไหลออกมา "ทุกคนจะคิดว่า 'ว้าว! มันเปลี่ยนแปลงทันทีเลย' ทั้งที่จริงๆ มันค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่แรก"
.
"เหมือนคนที่ออกกำลังกาย 2 เดือนแรกไม่เห็นผล เลยเลิก ทั้งที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน
เหมือนคนที่เขียนบล็อกทุกวัน 6 เดือนไม่มีคนอ่าน เลยท้อ ทั้งที่ทักษะกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนคนที่เก็บเงินทุกเดือนแล้วรู้สึกว่าไม่คืบหน้า ทั้งที่ดอกเบี้ยกำลังทบต้น"
.
"นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า Valley of Disappointment" เขาวาดกราฟบนกระดาน "ช่วงที่คุณทำทุกอย่างถูกต้อง แต่ยังไม่เห็นผล... คนส่วนใหญ่จะล้มเลิกตรงนี้"
.
"แต่ถ้าคุณผ่านช่วงนี้ไปได้..." เขาวาดกราฟพุ่งขึ้น "คุณจะเข้าสู่ Phase of Breakthrough ที่ทุกอย่างดูเหมือนระเบิดขึ้นมาในคืนเดียว... ทั้งที่จริงๆ มันค่อยๆ สะสมมานานแล้ว"
.
"เหมือน Amazon ที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืน ทั้งที่ Jeff Bezos ทำมา 20 ปี
เหมือน BTS ที่ดูเหมือนดังเป็นพลุแตก ทั้งที่พวกเขาซ้อมมาหลายแสนชั่วโมง
เหมือน Cristiano Ronaldo ที่ดูเหมือนมีพรสวรรค์ ทั้งที่เขามาซ้อมก่อนและกลับหลังเพื่อนทุกวันมา 20 ปี"
.
"แล้วรู้ไหมครับว่าอะไรคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผ่านช่วง Valley of Disappointment ไปได้?" James หยิบกุญแจทองคำขึ้นมา "การเปลี่ยนระบบความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง"
.
เขาหยิบบัตรประจำตัวเก่าๆ ขึ้นมา "ทุกครั้งที่คุณทำอะไรซ้ำๆ คุณไม่ได้แค่สร้างนิสัย... แต่คุณกำลังสร้างตัวตนใหม่"
.
"เมื่อคุณอ่านหนังสือทุกวัน คุณไม่ได้แค่อ่านหนังสือ แต่คุณกำลังบอกตัวเองว่า 'ฉันเป็นคนรักการเรียนรู้'
เมื่อคุณออกกำลังกายทุกวัน คุณไม่ได้แค่ยกเวท แต่คุณกำลังพูดว่า 'ฉันเป็นคนรักสุขภาพ'
เมื่อคุณเขียนทุกวัน คุณไม่ได้แค่เขียน แต่คุณกำลังประกาศว่า 'ฉันเป็นนักเขียน'"
.
"นี่คือเหตุผลที่คนเลิกสูบบุหรี่ยากนัก" เขาหยิบซองบุหรี่เก่าขึ้นมา "เพราะพวกเขาพยายามเลิกพฤติกรรม โดยไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อ... พวกเขายังมองตัวเองว่าเป็น 'คนสูบบุหรี่ที่กำลังพยายามเลิก' ไม่ใช่ 'คนที่ไม่สูบบุหรี่'"
.
"คำถามสำคัญไม่ใช่ 'ฉันต้องทำอะไร?' แต่เป็น 'ฉันต้องเป็นใคร?'"
.
.
-------------------------------------
.
[ สภาพแวดล้อม ]
.
.
"และนี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..."
.
James หยิบแก้วน้ำสองใบขึ้นมา ใบหนึ่งใส่น้ำเปล่า อีกใบใส่น้ำผสมสีฟ้า
.
"สมมติว่าคุณอยากดื่มน้ำให้มากขึ้น" เขาชูแก้วทั้งสองขึ้น "คุณมีทางเลือกสองทาง:
1. พยายามฝืนใจดื่มน้ำเปล่าทุกวัน ต้องใช้วินัยสูง
2. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้การดื่มน้ำง่ายขึ้น เช่น ใส่สีฟ้าลงไป ทำให้น่าดื่มขึ้น"
.
"คนส่วนใหญ่เลือกทางแรก... พยายามใช้วินัย ฝืนใจ บังคับตัวเอง" เขาส่ายหน้า "แต่จริงๆ แล้ว คนที่มีวินัยที่สุดคือคนที่ต้องใช้วินัยน้อยที่สุด"
.
"คนที่ออกกำลังกายทุกวันไม่ได้มีวินัยมากกว่าคนอื่น แต่เขาจัดบ้านให้มีอุปกรณ์ออกกำลังกายพร้อม
คนที่กินอาหารสุขภาพไม่ได้มีความตั้งใจมากกว่า แต่เขาจัดตู้เย็นให้มีแต่อาหารดีๆ
คนที่อ่านหนังสือทุกวันไม่ได้มีสมาธิมากกว่า แต่เขาวางหนังสือไว้ข้างเตียง ปิด notification ในมือถือ"
.
"สิ่งแวดล้อมคือมือที่มองไม่เห็นที่หล่อหลอมพฤติกรรมมนุษย์" เขาเดินไปที่โต๊ะทดลองอีกตัว "การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้มาจากภายใน แต่มาจากภายนอก... จากโลกรอบตัวเรา"
.
เขาหยิบกล่องทดลองใสขึ้นมา ข้างในมีหนูตัวหนึ่งกำลังวิ่งวนในเขาวงกต
.
"เหมือนหนูในเขาวงกตครับ" เขาชี้ไปที่หนู "ถ้าคุณอยากให้มันไปทางขวา คุณมีสองทางเลือก:
1. พยายามสอนให้มันฉลาดขึ้น
2. ออกแบบเขาวงกตใหม่ให้ทางขวาง่ายกว่า"
.
"นิสัยก็เหมือนกัน... มันเป็นแค่วิธีแก้ปัญหาที่เกิดซ้ำๆ ในสภาพแวดล้อมของเรา ถ้าคุณอยากเปลี่ยนนิสัย อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเอง... ให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมแทน"
.
"ลองคิดดูครับ... ทำไมคนที่ย้ายบ้านหรือเปลี่ยนงานถึงเปลี่ยนนิสัยได้ง่าย?
ทำไมคนที่เข้ามหาวิทยาลัยถึงเปลี่ยนบุคลิกได้เยอะ?
ทำไมการไปเที่ยวถึงทำให้เราทำอะไรที่ไม่เคยทำ?"
.
"เพราะสภาพแวดล้อมใหม่ไม่มีนิสัยเก่าๆ ของเราติดมาด้วย" เขายิ้ม "มันเหมือนได้เริ่มต้นใหม่"
.
"แต่คุณไม่จำเป็นต้องย้ายบ้านหรือเปลี่ยนงานเพื่อเปลี่ยนนิสัย..." เขาหยิบกระดาษขึ้นมาเขียน
.
.
------------------------------------
.
[ กฎ 4 ข้อ ]
.
.
"กฎ 4 ข้อในการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างนิสัยใหม่:
.
1. ทำให้มันชัดเจน (Make it Obvious)
- วางรองเท้าวิ่งไว้หน้าประตู ถ้าอยากวิ่งตอนเช้า
- วางหนังสือไว้บนหมอน ถ้าอยากอ่านก่อนนอน
- ตั้งขวดน้ำไว้บนโต๊ะ ถ้าอยากดื่มน้ำมากขึ้น
.
2. ทำให้มันน่าดึงดูด (Make it Attractive)
- จัดโต๊ะทำงานให้สวยงาม ถ้าอยากทำงานให้มีสมาธิ
- ทำอาหารให้น่ากิน ถ้าอยากกินอาหารสุขภาพ
- หาเพื่อนออกกำลังกาย ถ้าอยากมีแรงจูงใจ
.
3. ทำให้มันง่าย (Make it Easy)
- ตัดชุดออกกำลังกายไว้ตอนเย็น ถ้าจะวิ่งตอนเช้า
- เตรียมอาหารเช้าไว้ก่อนนอน ถ้าอยากกินอาหารสุขภาพ
- ดาวน์โหลดหนังสือเสียง ถ้าไม่มีเวลาอ่าน
.
4. ทำให้มันน่าพอใจ (Make it Satisfying)
- จดบันทึกความก้าวหน้า ถ้าอยากเห็นพัฒนาการ
- ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำได้ตามเป้า
- แชร์ความสำเร็จกับคนอื่น"
.
"และถ้าอยากเลิกนิสัยเก่า..." เขาพลิกกระดาษ "ก็ใช้กฎตรงข้าม:
.
1. ทำให้มันมองไม่เห็น (Make it Invisible)
- เอาขนมออกจากโต๊ะทำงาน
- ปิดแจ้งเตือนโซเชียลในมือถือ
- เก็บบัตรเครดิตไว้ในลิ้นชัก
.
2. ทำให้มันไม่น่าดึงดูด (Make it Unattractive)
- จินตนาการถึงผลเสียระยะยาว
- คบเพื่อนที่มีนิสัยดี
- เปลี่ยนมุมมองต่อนิสัยเก่า
.
3. ทำให้มันยาก (Make it Difficult)
- ใส่รหัสผ่านยากๆ ในเว็บที่เสียเวลา
- วางของที่ไม่อยากแตะไว้ไกลๆ
- สร้างอุปสรรคให้ตัวเอง
.
4. ทำให้มันไม่น่าพอใจ (Make it Unsatisfying)
- หาคนมาคอยเช็ค
- ทำสัญญากับตัวเอง
- ตั้งบทลงโทษที่ไม่ชอบ"
.
"จำไว้ครับ..." เขายิ้ม "คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีความตั้งใจมากกว่าคนอื่น... แต่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความสำเร็จเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด"
.
"เหมือนน้ำครับ" เขาชี้ไปที่แก้วน้ำสองใบ "มันไม่ต้องพยายามไหลลงที่ต่ำ... มันแค่ทำตามสิ่งแวดล้อมที่ถูกออกแบบมา"
.
"คุณก็เช่นกัน... อย่าพยายามฝืนธรรมชาติ แต่จงออกแบบสภาพแวดล้อมให้พฤติกรรมที่คุณต้องการกลายเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด"
.
.
--------------------------------
.
[ DNA ของคุณ ]
.
.
James วางแก้วน้ำลง แล้วหยิบเมล็ดพืชขึ้นมาหนึ่งกำมือ
.
"แต่การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอย่างเดียวไม่พอ..." เขาโปรยเมล็ดพืชลงบนโต๊ะ "เหมือนการปลูกต้นไม้ คุณต้องรู้ว่าเมล็ดพันธุ์ไหนเหมาะกับดินแบบไหน"
.
"คนเราก็เช่นกัน... เราทุกคนมี DNA ไม่เหมือนกัน มีบุคลิกภาพต่างกัน มีพรสวรรค์คนละด้าน การจะสร้างนิสัยให้ติด คุณต้องเลือกนิสัยที่เข้ากับตัวตนของคุณ"
.
เขาหยิบแผนภูมิบุคลิกภาพ Big Five ขึ้นมา
.
"นักจิตวิทยาค้นพบว่า บุคลิกภาพของมนุษย์มี 5 มิติหลัก:
.
1. ความเปิดรับประสบการณ์ (Openness)
- ถ้าคุณได้คะแนนสูง = ชอบลองของใหม่ สร้างสรรค์ จินตนาการดี
- ถ้าคุณได้คะแนนต่ำ = ชอบความแน่นอน มั่นคง เป็นระบบ
.
2. ความรอบคอบ (Conscientiousness)
- ถ้าคุณได้คะแนนสูง = มีระเบียบ ตรงเวลา วางแผนดี
- ถ้าคุณได้คะแนนต่ำ = ยืดหยุ่น สปอนเทเนียส ปรับตัวเก่ง
.
3. การชอบเข้าสังคม (Extraversion)
- ถ้าคุณได้คะแนนสูง = ชอบพบปะผู้คน กล้าแสดงออก
- ถ้าคุณได้คะแนนต่ำ = ชอบอยู่คนเดียว ต้องการพื้นที่ส่วนตัว
.
4. ความเป็นมิตร (Agreeableness)
- ถ้าคุณได้คะแนนสูง = เห็นอกเห็นใจ ชอบช่วยเหลือ
- ถ้าคุณได้คะแนนต่ำ = ตรงไปตรงมา กล้าขัดแย้ง
.
5. ความมั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism)
- ถ้าคุณได้คะแนนสูง = อ่อนไหว รู้สึกลึกซึ้ง
- ถ้าคุณได้คะแนนต่ำ = ใจเย็น มั่นคง ปรับตัวง่าย"
.
"บุคลิกภาพพวกนี้ไม่มีถูกผิด" เขายิ้ม "แต่มันจะช่วยบอกว่านิสัยแบบไหนเหมาะกับคุณ"
.
"เช่น ถ้าคุณเป็นคน Introvert การบังคับตัวเองไปเข้าสังคมทุกวันอาจไม่ใช่ไอเดียที่ดี... แต่การหาเวลาอยู่คนเดียวเพื่อชาร์จพลังอาจเหมาะกว่า
.
ถ้าคุณเป็นคนชอบความยืดหยุ่น การวางแผนทุกอย่างล่วงหน้าอาจทำให้อึดอัด... แต่การมีกรอบกว้างๆ แล้วปรับตามสถานการณ์อาจเวิร์คกว่า
.
3
สรุปวิธีคิด 8 ปี ที่เปลี่ยนชีวิตการเทรดใน 1 บทความ
(อ่านโหด โคตรยาว แต่บางประโยคอาจเปลี่ยนชีวิตคุณ)


เกริ่นนำก่อนว่า บทความนี้จะเป็น 1 ในบทความที่สรุปให้ฟังเป็นข้อๆ
ตั้งแต่เข้าวงการเทรดมาเลย ว่ามีอะไรที่ทำให้เปลี่ยนชีวิตไปได้บ้าง
ผมหวังอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นวิทยาธาน และ เป็นประโยชน์
ให้กับผู้ติดตามทั้งหลายที่อ่านจบแล้วอาจจะสะกิดใจอะไรได้
จนมันทำให้จุดประกายไฟเล็กๆ และ เปลี่ยนชีวิตคุณในที่สุด
หากชอบ ก็อย่าลืมส่งต่อ หรือ แชร์ ให้กับเพื่อน
หวังอย่างยิ่งว่าคุณ “จะอ่านจบ”

(1) ไม่ใช่ทุกคนที่เป็น “เทรดเดอร์” ได้
ผมอยู่ในวงการ Forex นี้นับเป็นปีที่ “8” แล้ว

นับเป็นเวลาที่จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้นน่าดู
แต่ 1 ในสิ่งที่ผมได้เห็นตลอดจากการอยู่ในวงการมาคือ
วงการนี้ “คัดคน” ออกเรื่อยๆ
คนส่วนนึง ยังอยู่ต่อ เพราะหวังว่าจะประสบความสำเร็จ
คนส่วนนึง ออกไป เพราะ รู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางรอด
คนส่วนนึงยังอยู่ต่อ เพราะกอบโกยผลประโยชน์จากวงการได้
คนส่วนนึง ออกไป เพราะ รู้ว่ามีแต่ โค้ช IB ที่อยู่รอด
เชื่อมั้ยว่า เพื่อนที่เทรดด้วยกันกับผมตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว
ตอนนี้ “ส่วนมาก” เรียกว่าเกิน 95% ออกจากวงการไปแล้ว
บ้างก็ไปทำงานประจำ ในวงการหุ้น
บ้างก็เลิกเทรดไปถาวร หันไปโฟกัสงานประจำ
บ้างก็คิดได้ว่าแค่เลิกเติมพอร์ทก็รู้แล้วว่าตัวเองหาเงินเก่งแค่ไหน
ผมเลยอยากจะบอก “ความจริง” กับทุกคนก่อนข้อนึงว่า
ตลาด CFD ที่ใช้ Leverage แห่งนี้ ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
คนส่วนมากอิงจากสถิติโบรกเกอร์ ทุกที่เขียนหมด
80 - 90% ของลูกค้าของแทบทุกโบรกเกอร์
เสียเงินมากกว่าได้เงิน สถิตินั้นเป็นจริงเสมอ
สุดท้ายถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ลองพิจารณาดูดังนี้
แล้วนับเป็นคะแนนให้ผม
- ทุกวันนี้หมั่นศึกษา “ความรู้ใหม่ๆ” ด้วยมั้ย?
- ทุกวันนี้มีระบบที่ “มั่นใจ” ได้แล้วหรือยัง?
- ทุกวันนี้มี “ความรู้” ที่วิเคราะห์เองได้หรือยัง?
- ทุกวันนี้ “เลิกเทรดด้วยหู” หรือยัง?
- ทุกวันนี้ winrate มากกว่า 50% หรือยัง?
- สุดท้าย ทุกวันนี้ฝากน้อยกว่า “ถอน” หรือยัง?
ถ้าคุณมีในนี้มากกว่า 3/6 ข้อ ยินดีด้วย คุณเริ่มมาถูกทางแล้ว
แต่ถ้าในนี้มีแค่ 1 , 2 ข้อที่คุณติ๊กถูก ผมอยากให้คุณพิจารณาช้าๆ
สูดหายใจลึกๆ แล้วลองคิดดูอีกทีก่อนจะเดินทางต่อไปว่า
คุณเหมาะกับตลาด Forex จริง หรือ ไม่
อย่าไปเสียดายเงินที่เสียไปแล้วครับ
เพราะถ้าเทรดโดยปราศจากความรู้ ความเข้าใจ
เงินที่เสียไปมันจะทับถมกันเป็นเงินกองใหญ่
แล้วเราจะไม่มีวันได้โงหัวขึ้นมาเห็นแสงตะวันอีก
ฉะนั้นข้อแรกเลยที่ผมตกผลึกได้
ก่อนจะพาเข้าสู่ข้อถัดๆไปคือ
“ทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเทรดเดอร์”
ถ้าคุณตระหนักได้แล้วว่าไม่เหมาะ
ปิดคอม ออกไปตั้งใจทำงาน
ลงทุนแบบ No leverage
ETF , DCA , หุ้นกู้ , สลากออมสิน , ทองคำแท่ง
รอคุณอยู่ครับ รับประกันว่า รวยกว่าเอาเงิน
มาถมทิ้งกับ Forex แน่นอน เพราะ ตลาด Forex
เหมือนทะเลที่ถมได้ด้วยความรู้เท่านั้น
ถ้าถมด้วยเงินโดยไม่มีความรู้
ถมเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันพอ

(2) ทุกคนเป็น “บทเรียน” ให้คุณได้
ฟังละอาจจะ งงๆ อยู่บ้าง มาฟังขยายความกัน
ถ้านาย A เป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้สม่ำเสมอ
ถ้านาย B เป็นเทรดเดอร์ที่พอร์ทแตกยับๆ
ใครๆก็อยากเรียนรู้จากนาย A จริงมั้ย?
แต่ไม่ใช่ครับทุกคนเป็นบทเรียนให้เราได้หมด
นาย A อาจจะสอนเราได้เรื่องต่างๆเช่น
การคุมความเสี่ยง , ระบบที่ใช้ , แนวความคิด ที่ถูกต้อง
แต่ในขณะเดียวกัน นาย B ก็สอนเราได้เช่นกัน
สิ่งที่ไม่ควรทำ , อะไรที่เค้าทำผิดพลาด , อะไรทำให้เค้าคิดแบบนั้น
สมัยก่อนผมชอบคิดเสมอว่า เวลาเห็นใครสอน Logic ในการเทรด
ที่มันค่อนข้างวิบัติ ผมเองก็จะเลื่อนๆผ่านไป แต่ทุกวันนี้
ถ้าผมมีเวลา ผมก็จะนั่งดู เพื่อดูสิว่า ในคลิปพูดถึงอะไรบ้าง
อย่าเพิ่งปฏิเสธ อะไรก็ตามที่คุณคิดว่า “ไม่ดี” เพียงเพราะ Bias ของเรา
เรามีหน้าที่ “ประเมิน” สื่อที่ได้รับ และ เราสามารถเลือกรับแต่สิ่งดีดีๆได้
สิ่งนึงที่ผมเรียนรู้มาชัดเจนจากพี่ท่านนึงสมัยก่อนคือ
พี่เค้าคุยกับผมว่า
เทรดเดอร์หลายๆคนจะด่า เทรดเดอร์ที่เบิ้ลพอร์ทได้เยอะๆ
ว่า “เดี๋ยวก็แตก” “เดี๋ยวก็ยืนระยะไม่ได้”
แต่ในความจริงแล้วเราสามารถศึกษาได้ว่า
- ทำยังไงให้เค้าเบิ้ลพอร์ทได้หลายเท่า
- เค้าใช้แนวคิดยังไงถึงทำได้
- อะไรทำให้เค้ากล้าที่จะทำแบบนั้น
รวมไปถึง
- จุดที่ทำให้เค้าล้มเหลวคืออะไร
- จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอย่างไร
จะเห็นได้ว่า แม้การเรียนรู้จากความล้มเหลว
จะไม่น่าทึ่ง น่าปรารถนา เท่ากับเรียนรู้จากคนสำเร็จ
แต่มันทำให้เราได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปอีกแบบ
ฉะนั้นเราเลือกได้เสมอครับทั้งสองแบบ
1. Learning from the Best
2. Learning from Failure

(3) ไม่จำเป็นต้องหา “คำนิยาม” ให้ตัวเอง
Scalper
Day Trader
Swing Trader
Position Trader
สมัยก่อนผมเทรดใหม่ๆ ผมก็เริ่มเทรดจากบอกตัวเองว่า
เป็น Swing Trader เทรดรอบใหญ่ กินคำใหญ่กินเยอะ
โดยไปมีภาพจำว่า เทรดเดอร์เก่งๆหลายคน
เน้นกดลอตใหญ่ ถือยาว กำไรเยอะ เข้าคมๆ
ถือนานๆ โคตรจะเท่ โคตรจ๊าบ
สักพักผมเริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็น Day Trader
เก็บในวัน สบายใจได้นอนหลับ
เพราะเห็นหลายๆคนเริ่มทำกำไรจบได้ในวัน
มันสบายใจ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องสะดุ้งมาดูออเดอร์
ที่ผ่านมาผม อคติ กับการเทรดแบบ Scalping มาตลอด
เทรด TF เล็กมันจะไปได้ ได้ยังไง ไปๆมาๆ
ผมอัดไป 104 ออเดอร์ (ณ วันที่เขียน) Winrate 88% แบบงงๆ
ทำกำไรจากทุน 12,000$ ตอนนี้กำไรทั้งหมด 325,000$
เลยอยากจะบอกทุกคนก่อนว่า “อย่าไปสร้างกรอบให้ตัวเอง”
เราอาจจะได้ค้นพบเจออะไรใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยลองทำ
ได้พบเจออะไรใหม่ๆที่เรารู้ว่าเราทำได้ดีก็ได้
อย่าไปตีกรอบว่า เราต้องเป็นอันนั้น เราต้องเป็นแบบนี้
นอกจากนี้ อย่าไปตีกรอบโดยเอาใครสักคนมาเป็นไอดอล
เราไม่มีทางเป็นใครคนที่สองได้ เพราะทุกคนเกิดมาต่างกัน
เลี้ยงดูต่างกัน สภาพแวดล้อมต่างกัน วิธีคิดก็ยังต่างกันโดยสิ้นเชิง
สมัยก่อนผมอยากเป็นแบบคนนู้นคนนี้จนตัวสั่น
ไปพยายามทำแบบเค้า ไปลอก Routine การใช้ชีวิตของเค้า
จนตอนนี้ชีวิตผม อิลุ่ย ฉุยแฉกมาก
ตื่นมา 10 โมง สอนเลย
พักเที่ยงกินข้าว ให้ข้าวแมว
ตอนบ่ายสอนอีกละ
ตอนเย็นถ้าว่างก็เทรด ไม่ว่างก็เล่นกับแมว ทำงาน
ตอนค่ำ เทรดๆ
ตอนกลางคืน สอนอีกละ
จะให้คนอื่นมาลอกชีวิตผม ผมว่ามันไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
แถม ส อ ผมก็ยังสอนอีกเหมือนกัน ทำงานยังกะคนเป็นหนี้สิบล้าน
ฉะนั้น “ชีวิตใครชีวิตมัน” คุณไม่สามารถเป็นใครคนที่สองได้
หาเส้นทางที่เหมาะสม
ทุกคนควรถางเส้นทางเดินของตัวเอง
เมื่อคุณทำมันได้ นั่นแหละ คุณจะรู้ว่าต้องเดินทางไหน
เพื่อเดินหน้าเข้าหาความสำเร็จ

(4) คุณเทรดเพื่อ “เข้ารอบ” ไม่ใช่ “เข้าร่วม”
อย่าไปสนใจถ้าใครพูดอะไรที่มันไม่ตรงกับสิ่งที่คุณทำ
ชีวิตการเทรดของผมเจอคนดูถูก และ ปรามาทมากมาย
- เทรดแบบนี้ เดี๋ยวก็ล้าง
- เทรด Lot เท่านี้พอร์ทใหญ่แค่ไหน?
- เทรดแบบนี้ Demo หรือเปล่า
- เทรดแบบนี้เหมือนเทรดมั่วเลย
- เทรดได้มาขายคอร์สทำไม
ก็เจอคนมาหลายแบบ ก็พบว่า
ผมคงไปเทรดให้คนทั้งโลกถูกใจไม่ได้
แต่ที่แน่ๆ ผมก็ได้แตะเงินล้านจากการเทรด
(ตั้งแต่ก่อนขายคอร์สมานานมาก)
สุดท้ายผมเคยทั้งพิสูจน์ตัวเองทุกรูปแบบ
ไม่มี Myfx เอ้าทำให้ดู
ไม่ถือยาวๆเลย ถือให้แล้ว 4000-5000 จุด
ปั้นพอร์ทแบบนี้เดี๋ยวก็ล้าง ล่าสุด 12,000$ กำไร 325,000$ winrate 88%
ฉะนั้นอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาครับ
คุณจะเทรดสั้น … เรื่องของคุณ
คุณจะเทรด Lot แค่ไหน … เรื่องของคุณ
คุณจะปิดกำไรทั้งที่ยังไม่ถึง TP … เรื่องของคุณ
อย่าให้ใครมาคอยบอกว่าคุณต้องทำอะไร
ตราบใดที่คุณมั่นใจว่ายังเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง
เพราะสุดท้าย คุณมาเพื่อ “เลี้ยงชีพ” ตัวเองจากตลาด
ไม่ได้มาเพื่อให้ใครบอกว่าคุณทำอะไรถูกหรือผิด
อย่าสนคำคน เพราะ ถ้า สองพี่น้องตระกูลไรท์ สนใจ
ทุกวันนี้คงไม่มีเครื่องบินให้ใช้ครับ
คำว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เสมอ
จนกว่าจะมีคนทำได้ คุณเชื่อว่ามันไปเป็นได้หรือไม่ แค่นั้น
เพราะคำว่าเป็นไปได้ คนจะรู้จักหน้าตาของมัน
ก็คือตอนมันสำเร็จแล้วเท่านั้นครับ

(5) การเทรดคือเกม “ด่านใหม่”
สมัยผมเทรดใหม่ๆ
ผมคิดอยู่เสมอว่า
การหาจุดเข้า “แม่นๆ” นั้นยากมาก
พอผมทำได้ … ผมกลับถือออเดอร์ไม่ได้
เมื่อผมถือ “ออเดอร์” ได้
ผมพบว่า Lot ที่เล็กเกินไปทำให้กำไรไม่เยอะมาก
ไม่คุ้มกับเวลาที่ถือมันไป ผมจึงพยายาม “เพิ่ม Lot”
พอผมเพิ่ม Lot … ผมกลับไปถือออเดอร์ไม่ได้
พอผม “ถือออเดอร์ได้” ผมกลับไม่สามารถ
“ถือให้ถึง TP” ได้ เพราะบางครั้งผมพอใจกับกำไรแล้ว
พอผมพอใจกับกำไรแล้ว เริ่มเทรดได้กำไรเยอะ
ผมเริ่มซื้อขาย​ Lot ที่มันใหญ่ขึ้นมากๆ
ผมค้นพบว่า พอจะโดน Stop Loss
บางครั้งผมไปเลื่อนมันหนี เพราะผมไม่เคยเสียเงินขนาดนี้
และ ผมไม่เคยมีเงินขนาดนี้มาก่อน ผมกลัวที่จะเสียเงินขนาดนี้ไป
จะเห็นได้ว่า นี่เป็นแค่บางช่วงชีวิตของการเทรด
เชื่อมั้ยผมเชื่อเสมอว่า การเทรดก็เหมือนกับการใช้ชีวิต
ผ่านจากจุดนึง คุณก็จะไปเจออีกจุดนึงที่ยากขึ้น
เจอจุดนึงที่เป็นปัญหาที่ใหม่ เจอปัญหาที่ใหญ่ขึ้น
ปัญหาที่คุณแก้มันไม่ได้สักที จนกว่าคุณจะแก้มันได้
แล้วคุณก็จะไปเจอปัญหาใหม่อีก
ทุกวันนี้ผมก็ยังเจอปัญหาอยู่เหมือนเดิม
เพียงแค่ปัญหาเหล่านั้นมันเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆ
อยากจะบอกทุกคนเฉยๆว่า
มุมมองของผมที่หลายๆคนเค้าพูดกันว่า
เข้าออเดอร์ไป แล้ว ไปใช้ชีวิต
ผมคนนึงทำแบบนั้นไม่ได้
ผมชอบที่จะนั่งดูมัน เผื่อผมจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
ผมชอบที่จะดูกำไรมันวิ่งไปวิ่งมา (อย่างน้อยเปิดจอคอมไว้)
ผมชอบที่จะได้ปิดมือด้วยตัวเอง (ผมแทบไม่ตั้ง TP เลย)
เพราะสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่า ถ้ารายได้ “หลัก” ของคุณ
อยู่กับการเทรดจริงๆ คุณจะเข้าใจเลยว่า
ไม่มีทางที่คุณจะเทรดได้เดือนนึงหลายๆล้าน
แล้วคุณไม่รู้สึกดีใจเวลาได้เงิน รู้สึกเสียใจเวลาเสียเงินเลย
การเป็นเทรดเดอร์มันเป็นอาชีพที่เป็นมนุษย์ที่สุดแล้วครับ
คุณมีความสุข ตอนคุณได้เงิน
คุณเครียด ตอนคุณโดนลาก
คุณโมโห ตอนคุณเจอปัญหาต่างๆ
คุณโลภ ตอนคุณเห็นกำไรเยอะๆแล้วไม่อยากปิด
คุณเสียใจเวลาคุณเสียเงินทั้งหมดไป
ไม่มีอาชีพไหนเป็นมนุษย์เท่านี้อีกแล้วครับโลกนี้
ฉะนั้นผมอยากจะบอกคุณเอาไว้ว่า
หากทุกวันนี้คุณรู้สึกว่า
ทำไมคุณไม่บรรลุในการเทรดสักที
ทำไมเหมือนเจออะไรใหม่ๆที่คุณต้องแก้เสมอ
ยินดีด้วยครับ คุณกำลังก้าวไปอีกขั้นแล้ว
และ ผมหวังอย่างยิ่งจริงๆว่า
บทความนี้ก็จะเป็นเกมอีกด่านนึงที่คุณเล่นผ่านมันไป
แล้วคุณจะนึกถึงมันเสมอ ว่า ด่านนี้สอนอะไรกับคุณ
แล้วหวังว่าคุณจะนึกถึงเกมด่านนี้ในวันที่คุณ
“ประสบความสำเร็จ”


4
หุ้น - Forex / เจอความล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก!!
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 03/10/24 »
เจอความล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก!!

ผมเอาเงินทั้งชีวิตและครอบครัวที่บ้าน กู้มาเทรด และลาออกจากงานมาเทรด ตอนนั้นคิดว่าถ้าไปไม่รอดค่อยกลับมาเริ่มใหม่

ช่วงที่ผมเรียนและทำงานและเทรดไปด้วย ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ Focus ผมเลยคิดว่าถ้าออกมาเทรดเต็มตัว คงจะมีเวลาศึกษาและทำเงินได้จากตลาดทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้

ทุกๆวันผมจะนั่งทบทวนกราฟตามร้านกาแฟที่เปิด 24 ชม. เพราะดึกๆคนจะน้อยและเงียบ และผมก็ค้นพบว่าอาชีพเทรดนี่แหละ ที่จะทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตได้

แต่ที่เข้ามาตอนแรกแล้วเสียเยอะเพราะผมไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เลยเสี่ยงเยอะ บวกกับความกลัวและความโลภ มันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมเทรดเสียไปถึง 2 ล้านกว่าบาทในช่วงเริ่มต้น 1-2 ปี
.
กลัวขาดทุน ไม่กล้าคัทสุดท้ายพอร์ตแตก

กลัวกำไรหายไปก่อน รีบปิดหนี พอฟ้านิดเดียวหนีก่อน สุดท้ายพอร์ตไม่โต ขายหมูอยู่เสมอ

กลัวเข้าไม่ทัน ตกรถ พอไปตามสุดท้ายติดดอยติดเหวอีก
.
.
ชุดความคิดแบบนี้ต่อให้มีเงินมาเทรด 100 ล้านผมก็เเพ้ได้หมดทั้ง 100 ครับเพราะไม่เกี่ยวกับตัวเงินแต่มันเกี่ยวกับวิธีคิด

ซึ่งผมตกผลึกว่าการเทรดไม่ต้องชนะทุกครั้งก็ได้ แต่ต้องได้บทเรียนทุกครั้ง
.
.
ช่วงแรกผมจดไว้ตลอดว่าผมผิดพลาดเพราะอะไร พอกลับมาทบทวนจะเห็นตัวเองตอนนั้นว่าเสียเงินเพราะอะไร
ตอนจดมันอาจจะดูเสียเวลา แต่วันที่เรากลับมาดูมันจะรู้สึกคุ้มค่าที่จดไว้ครับ
.
วันนี้ตลาดง่าย กำไรถึงเป้าเทรดง่ายก็จดเอาไว้ วันที่ตลาดยากเทรดยาก ก็จดเอาไว้
และอย่าลืมหาเพื่อนในวงการเทรด เอาไว้ปรึกษา พากันไปสู้ต่อ เราจะเก่งขึ้นครับ

ผมเองก่อนจะตัดสินใจมาเทรดแบบเต็มตัว มีความมั่นใจมากๆตอนนั้นว่าจะสามารถพลิกชีวิตได้ เลยไม่อยากยอมแพ้ไปก่อนที่จะสำเร็จ

ถ้าเราไม่กลัวที่จะผิดหวัง เราจะไม่หมดหนทาง ดังนั้นถ้าคิดจะประสบความสำเร็จ อย่ากลัวความล้มเหลว

ล้มเหลวได้แต่อย่าล้มเลิก
อยู่ให้นานพอ แล้วจะสำเร็จครับ
.
.
ขอเป็นกำลังใจให้ในการเทรดนะครับทุกท่าน

ใครอ่านจบแล้วพิมพ์‘’ไม่ล้มเลิก
.
.
.
และโค้ชเจมส์สอนเทรดสั้น จะออกมาแชร์ความรู้ฟรีและวิธีคิดที่ทำให้ประสบความสำเร็จจากการเทรดกับเทรดเดอร์ทุกท่านที่ติดตามโค้ชเจมส์ ในเนื้อหาฟรีและดีต่อไป

เพื่อเป็นแสงสว่างสำหรับวงการเทรดเดอร์ ว่าตลาดนี้ยังมีคนสำเร็จจากตลาดนี้จริงและคุณก็สำเร็จได้ถ้าเรียนรู้และฝึกฝนให้มากพอ
5
ระบบแต้มสะสม อีกตัวช่วย "เรื่องทำการบ้านแล้วลูกขมขื่น(จากตอนที่ 473)”

บ้านเรา....เด็กมีการบ้านเยอะจริงๆ หากโรงเรียนสามารถปรับการบ้านให้เหมาะสมจะดีมาก เพราะชีวิตเด็กมีอะไรให้ทำ ให้เรียนรู้อื่นๆอีกมากมาย....
ยิ่งการบ้านเยอะ ยิ่งทำนาน ยิ่งยาก ยิ่งหมดหวัง เด็กไม่มีพลังใจที่จะทำต่อ ความรู้สึกท้อถอยจะพาลให้ต่อต้านในการทำการบ้านได้

หมอเชื่อว่า หากปริมาณการบ้านเหมาะสม ไม่มากจนเด็กห่อเหี่ยว เด็กจะต่อต้านการทำการบ้านน้อยลง
แต่หากการบ้านเหมาะสมแล้ว เด็กก็ยังไม่อยากทำอีก เกิดจากสาเหตอะไร?

เราเคยสังเกตมั๊ยคะ... เวลาที่ลูกทำงานที่ชอบ เขาจะมีสมาธิจดจ่อได้นาน เช่น ต่อตัวต่อ วาดรูป ระบายสี เขาจะทำอย่างตั้งใจและได้งานดีๆด้วย

อะไรทำให้เกิดพฤติกรรมแบบนี้?...
คำตอบคือ “แรงจูงใจ”....

แรงจูงใจที่จะทำให้ดี ทำให้เสร็จ.....เกิดจาก?
1. การรับรู้ในศักยภาพตนเองว่า “ฉันสามารถ”
หากลูกชอบวาดรูป เราก็จะเห็นลูกหยิบดินสอมาขีดเขียนเองโดยไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ ทำได้นานสองนาน ทำจนเสร็จ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าตัวเองทำได้ดี ดังนั้น การบ้านที่มีหลากหลายวิชา วิชาไหนที่ลูกรู้สึกว่าเขาทำได้ดีแน่ๆ เขาจะลงมือทำไม่ยาก แต่วิชาไหนที่ไม่เข้าใจ ไม่ถนัด เขาจะมีข้ออ้างสารพัดที่จะไม่อยากทำ

2. “ความมั่นใจ”ในความพยายามของตนเอง เมื่อเจอความยาก ลูกจะ“รู้สึกท้าทาย ไม่ใช่ท้อถอย”
ความมั่นใจชนิดนี้ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆจากคำพูดให้กำลังใจของพ่อแม่แต่เพียงอย่างเดียว ความมั่นใจของคนเราต้องเกิดจากประสบการณ์ตรง และบ่อยๆเป็นสำคัญ.....

บ้านไหนเลี้ยงลูกให้สบาย เด็กไม่ค่อยได้ลงมือทำอะไรเอง ดูเหมือนเด็กมีหน้าที่เรียนกับเล่นสนุกแค่ 2 อย่างเท่านั้น เด็กกลุ่มนี้จะท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคได้ง่าย บ่อยครั้งการบ้านก็ไม่ยาก แต่เด็กรักสบายและเข้าใจว่าหมดเวลาเรียนแล้ว แต่เด็กที่ต้องช่วยงานบ้าน ต้องทำสารพัดอย่างในชีวิต จะมองเรื่องยากหรืออุปสรรคเป็นความธรรมดาหรืออาจเป็นความท้าทายด้วยซ้ำ

วิธีการกระตุ้นให้เด็กมีแรงจูงใจในการทำการบ้าน....
1. หากลูกมีความสามารถในสิ่งนั้นๆอยู่แล้ว พ่อแม่ก็เพียงแต่เตือนเมื่อถึงเวลาทำการบ้าน.....
2. หากลูกไม่เก่ง ไม่ถนัดวิชานั้นๆ พ่อแม่ควรสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น แต่แรงจูงใจภายในที่ลูกจะบอกตนเองว่า “ฉันสามารถ” นั้น ต้องใช้เวลา เพราะลูกจะเชื่อมั่นในฝีมือตนเองอย่างนั้นจริงๆ ลูกก็ต้องมีผลงานออกมาก่อน

เราจะใช้ระบบสติกเกอร์หรือแต้มคะแนนสะสม (ถือเป็นแรงจูงใจภายนอก) มาดึงดูดให้ลูกอยากทำ โดยกำหนดกติกา เช่น หากลูกทำการบ้านอย่างตั้งใจ จะได้คะแนน (มูลค่าของคะแนน) ...และเมื่อลูกทำได้จริง เราจะชื่นชมลูกเพื่อให้เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝีมือของเขาเอง

ตรงรอยต่อนี้แหละที่จะผันแรงจูงใจภายนอกไปสู่แรงจูงใจภายใน (แม้ว่าตอนมาทำ จะอยากได้คะแนน แต่ตอนจะรับคะแนน จะได้ฟังเสียงชื่นชมจากพ่อแม่) ให้เรามองสบตาลูก พูดด้วยเสียงมั่นใจและชื่นใจ “ลูกทำได้แล้ว... ตั้งใจทำจนเสร็จ เยี่ยมเลยครับ”

การชื่นชมด้วยท่าทีมั่นใจและภูมิใจของพ่อแม่นั้น คือแรงเสริมที่จะไปหนุนให้เขามองเห็นศักยภาพตนเองให้หนักแน่นมากขึ้น เมื่อเด็กทำได้บ่อยๆ ก็จะภูมิใจในตนเองมากขึ้นๆ จนเกิดเป็นแรงจูงใจภายในว่า "ฉันสามารถ" หรือ "ฉันพยายามได้ดี"

3. เลี้ยงลูกให้มีวินัยเชิงบวก เด็กที่รู้เวลา รับผิดชอบกับเรื่องต่างๆในชีวิตตนเองได้ เช่น รู้จักกินข้าวเอง อาบน้ำเอง เก็บของเล่น ฯลฯ จะมีปัญหาเรียกให้มาทำการบ้านแล้วไม่มาน้อยกว่ามาก.....

ดังนั้น ผู้ปกครองต้องแก้ไขภาพรวมของการเลี้ยงดูที่บ้านด้วย เพราะหากมุ่งแก้แค่เรื่องการบ้าน จะไม่ค่อยสำเร็จ เพราะเด็กไม่มี mind set เรื่องความรับผิดชอบ....

4. พยายามเลี้ยงลูกให้อดทน ไม่รักสบาย การเสพสื่อ ไม่ว่าจะเป็นดูการ์ตูนหรือเล่นเกม อาจสนับสนุนให้ลูกรักสบายมากขึ้นได้ ควรดึงลูกมาทำกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ลงมือ ได้คิด ได้แก้ปัญหา ได้ออกแรง จะเป็นกิจกรรมในร่มหรือนอกอาคารก็ได้....

อย่าปล่อยให้ลูกนั่งแช่เก้าอี้ ก้มหน้าดูการ์ตูนจนติดความสบาย....

ปล. ระบบคะแนนสะสมไม่ใช่การล่อด้วยสิ่งของ มีการวางแผน มีการกำหนดระยะเวลาทำ ดังนั้นระวังการใช้ผิด ไม่มีการพูดเชิงขู่ ในผู้ที่เพิ่งทำระบบนี้ ไม่แนะนำให้หักคะแนน ก่อนใช้ระบบนี้ ควรสำรวจตาชั่งความสัมพันธ์ บ้านที่เลี้ยงลูกตามใจมากๆ ระบบนี้จะไม่ค่อยสำเร็จ ควรแก้เรื่องวินัยร่วมด้วย รบกวนอ่านรายละเอียดเทคนิคระบบคะแนนและอื่นๆ ในหนังสือ “ปราบลูกดื้อ รับมือลูกกินยาก”)
6
หุ้น - Forex / การออก Lot Size
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 23/09/24 »
สวัสดีครับ ในบทความนี้ผมจะมาแชร์เรื่องที่สำคัญ ที่จะทำให้ Trader สามารถอยู่รอดในตลาดได้นานขึ้น ซึ่งการจะประสบความสำเร็จในการเป็น Trader มืออาชีพต้องมีหลายๆ ส่วนประกอบกัน และบทความนี้เป็นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งผมได้ทดลองจากประสบการณ์การเทรดของตัวเอง นั่นก็คือ การออก Lot Size เพราะนี้คือปัจจัยแรกสุดที่จะเป็นตัวกำหนดว่า พอตของคุณจะแตกในกี่นาที หรือ กี่วัน การกำหนดขนาด Lot Size ในการเทรด Forex เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อการจัดการความเสี่ยงและกำไร การคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสมช่วยให้สามารถควบคุมการขาดทุนและรักษาทุนไว้ได้
***หากคุณเป็น Trader ที่ชอบวัดดวง ชอบลุ้นเหมือนการถูกหวย หรือ ชอบพนัน และความตื่นเต้นเร้าใจ บทความนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้มีความเป็นมืออาชีพในการเทรดมากยิ่งขึ้นก็ลองศึกษาจากบทความนี้ในเบื้องต้นก่อนครับ***
-------------------------------------------------------------------------
ทุกท่านมีวิธีการออก Lot Size กันอย่างไรบ้างครับ? หากคุณเป็น Trader มือใหม่ที่พึ่งเข้ามาในตลาดก็อาจจะยังไม่เข้าใจ ว่าการออก Lot Size สำคัญอย่างไร เพราะมันไม่มีกฏตายตัวว่าออกเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเหมาะสม
ผมเลยขอมาแชร์ 5 วิธีการออก Lot Size ให้มีประสิทธิภาพ เรียงลำดับตามความซับซ้อนของการคำนวณจากง่ายไปยาก ซึ่งทุกท่านสามารถเลือกใช้แต่ละวิธีตามสไลต์ที่ตัวเองชอบหรือวิธีที่เข้ากับแผนการเทรดของตัวเองได้เลยครับ
-------------------------------------------------------------------------
1. Fixed Lot Size by balance (การใช้ขนาด Lot คงที่ ตาม Balance ที่เติบโตขึ้นหรือลดลง)
แนวคิด: กำหนดขนาด Lot Size แบบคงที่ตาม Balance คือการที่เราจะสามารถเติบโตและคุ้นชินกับการวิ่งของเงินในพอตเมื่อเงินเยอะขึ้นหรือลดลง ขนาด Lot ที่ออกก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงตาม Balance
วิธีการใช้: นำเงินทุน หรือ Balance / 10,000 โดยประมาณ เช่น Balance < 200 จะออก Lot Size เพียง 0.01 order เดียวเท่านั้น
Balance 100 ออก lot Size = 0.01
Balance 200 ออก lot Size = 0.02
Balance 900 ออก lot Size = 0.09
Balance 1000 ออก lot Size = 0.1
Balance 1100 ออก lot Size = 0.11
Balance 10,000 ออก lot Size = 1
Balance 10,100 ออก lot Size = 1.01
ข้อดี: ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ต้องคิดซับซ้อน ทำให้เราคุ้นชินกับขนาด lot ได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็น Trader ที่ค่อยๆ ปั้นพอตจากเล็กๆ ไปใหญ่ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเติบโตได้อย่างมั่นคงมากๆ เพราะนอกจาก Balance ที่สูงขึ้น กับ ขนาด lot ที่สูงขึ้น จิตใจของคุณก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย อาการทนแดง ไม่ทนฟ้า จะหมดไป เพราะคุณจะชินความไวของเงินในพอตได้เป็นอย่างดี ไม่ปิดก่อน ไม่ทนลาก เล่นตามแผนได้อย่างมั่นคง
ข้อเสีย: ไม่ได้คำนึงถึงการจัดการความเสี่ยงตามทุนหรือความผันผวน การขาดทุนแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะการวาง SL ซึ่งบางครั้งระยะ SL ไกลก็จะทำให้ขาดทุนเยอะกว่าปกติ
-------------------------------------------------------------------------
2. Leverage-Based Lot Sizing (การใช้ขนาด Lot ตามเลเวอเรจ)
แนวคิด: ใช้เลเวอเรจที่มีให้ กำหนดขนาด Lot โดยคำนึงถึงกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากเลเวอเรจ เช่น ใช้เลเวอเรจ 1:100 จะทำให้สามารถเทรดในขนาดที่ใหญ่กว่าเงินทุนที่มี
วิธีการใช้: คำนวณกำลังซื้อโดยใช้เลเวอเรจที่มี ใช้ขนาด Lot ที่เหมาะสมตามกำลังซื้อนั้น
ข้อดี: เพิ่มขนาดการเทรดได้แม้มีทุนจำกัด
ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม
ตัวอย่างการคำนวณ:
ทุน = $1,000
เลเวอเรจ 1:100
หมายถึงสามารถเทรดได้ถึง $100,000 1 Lot ในคู่เงิน EUR/USD มี
มูลค่า $100,000 ดังนั้นสามารถเปิดตำแหน่งที่ 1 Lot ได้
ข้อแนะนำ: สำหรับวิธีนี้เน้นไปที่การออก Lot สูงสุดเท่าที่จะออกได้ คือการเล่นแบบไม่ต้องคำนวณ lot แบบ วิธีที่ 1 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงจะสูงมาก สำหรับคนที่ไม่ชอบคำนวณออก lot ตามใจ ต้องเน้นไปที่การกำหนด ขนาดของ Leverage ระดับบัญชีแทน ซึ่ง สูงสุดไม่ควรเกิน 1:50 จะปลอดภัยในระดับนึง แก้อาการชอบ Overtrade ได้
-------------------------------------------------------------------------
3. Percentage Risk Per Trade (การกำหนดความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์ของทุน)
แนวคิด: กำหนด Lot Size โดยใช้เปอร์เซ็นต์ของทุนที่ต้องการเสี่ยงในแต่ละการเทรด เช่น 1% หรือ 2% ของทุนทั้งหมด
วิธีการใช้: กำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง (เช่น 1%) คำนวณจำนวนเงินที่พร้อมจะขาดทุนจาก Balance ใช้ระดับ Stop-Loss และความเสี่ยงต่อ pip เพื่อคำนวณขนาด Lot
ข้อดี: ควบคุมความเสี่ยงตามขนาดของทุนได้ดี
ข้อเสีย: ต้องมีการคำนวณที่ซับซ้อนเมื่อเปลี่ยนขนาด Stop-Loss ต้องคำนวณทุกครั้งที่ออก order จะพิจารณาทั้งระยะการวาง Stop-loss และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น 1% หรือ 2% เป็นต้น
ตัวอย่างการคำนวณ:
ทุน = $10,000
ความเสี่ยงที่ยอมรับ 1% ของทุน = $100
Stop-Loss = 50 pips , 1 pip = $1 , สำหรับ 0.1 Lot
ขนาด Lot = ความเสี่ยงที่ยอมรับของทุน /ระยะการวาง Stop-Loss /
10 สำหรับบัญชีมาตรฐานปกติ ($100 / 50 Pips / 10 = 0.2 lot)
-------------------------------------------------------------------------
4. Risk-to-Reward Ratio Lot Sizing (การใช้ขนาด Lot ตามอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง)
แนวคิด: กำหนดขนาด Lot ตามอัตราส่วน Risk-to-Reward (เช่น 1:2 หรือ 1:3) โดยพิจารณาจากขนาด Stop-Loss และ Take-Profit ที่ต้องการ
วิธีการใช้: กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง คำนวณ Stop-Loss และ Take-Profit คำนวณขนาด Lot ให้สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ข้อดี: ช่วยให้การเทรดมีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
ข้อเสีย: ต้องมีการวางแผนและคำนวณหลายส่วน
ตัวอย่างการคำนวณ:
ทุน = $10,000
อัตราส่วน Risk-to-Reward = 1:3
ความเสี่ยงที่ยอมรับ = $100
Take-Profit = 150 pips, Stop-Loss = 50 pips
ขนาด Lot = $100 / 50 pips / 10 = 0.2 Lot
-------------------------------------------------------------------------
5. Volatility-Based Lot Sizing (การกำหนด Lot ตามความผันผวนของตลาด)
แนวคิด: ปรับขนาด Lot ตามความผันผวนของคู่เงินในช่วงเวลานั้นๆ หากตลาดมีความผันผวนสูงจะใช้ขนาด Lot ที่เล็กลง และหากตลาดมีความผันผวนน้อยจะใช้ขนาด Lot ที่ใหญ่ขึ้น
วิธีการใช้: วัดความผันผวนของตลาด เช่น ใช้ ATR (Average True Range) เป็นตัวชี้วัด คำนวณความเสี่ยงต่อ pip และกำหนดขนาด Lot ตามความผันผวนที่วัดได้
ข้อดี: ปรับขนาดการเทรดตามความเสี่ยงของตลาดในขณะนั้น
ข้อเสีย: ต้องการการวิเคราะห์ความผันผวนและคำนวณ Lot ใหม่ในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาที่เทรด
ตัวอย่างการคำนวณ:
ทุน = $10,000
ATR แสดงความผันผวนเฉลี่ยต่อวัน = 100 pips
ความเสี่ยงที่ยอมรับ = $100
ขนาด Lot = $100 / 100 pips / 10 = 0.1 Lot
-------------------------------------------------------------------------
สรุป
การเลือกใช้วิธีการกำหนด Lot Size ควรสอดคล้องกับสไตล์การเทรดและการบริหารความเสี่ยงของคุณ โดยการใช้ Percentage Risk Per Trade และ Volatility-Based Lot Sizing มักจะเป็นวิธีที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
1. Fixed Lot Size by balance (การใช้ขนาด Lot คงที่ตาม Balance ที่เติบโตขึ้นหรือลดลง)
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เนื่องจากไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงหรือระยะการวาง SL วิธีนี้เพียงแค่กำหนด Lot Size คงที่ตาม Balance ทุกครั้งที่เทรด
ใช้งานง่าย: ไม่ต้องคำนวณซับซ้อน เพียงเลือกขนาด Lot ที่ต้องการตาม Balance ที่เปลี่ยนแปลง
2. Leverage-Based Lot Sizing (การใช้ขนาด Lot ตามเลเวอเรจ)
กำหนดขนาด Lot ตามเลเวอเรจที่มี วิธีนี้เข้าใจง่ายแต่ต้องระวังการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ใช้งานง่าย: ขึ้นอยู่กับการใช้เลเวอเรจที่มี แต่ไม่ต้องคำนวณซับซ้อน
3. Percentage Risk Per Trade (การกำหนดความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์ของทุน)
ต้องคำนวณความเสี่ยงที่ยอมรับได้จากทุนที่มีและความเสี่ยงต่อ pip ของคู่เงินที่เทรด แต่ยังคงเป็นระบบที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพในการควบคุมความเสี่ยง
การใช้งานซับซ้อนปานกลาง: ต้องคำนวณขนาด Lot ตามเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงและจำนวน pip ระยะการวาง SL
4. Risk-to-Reward Ratio Lot Sizing (การใช้ขนาด Lot ตามอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง)
ต้องวางแผนการเข้าออกเทรดอย่างชัดเจน และคำนวณอัตราส่วน Risk-to-Reward ทำให้ซับซ้อนมากขึ้น แต่มีประโยชน์ในการรักษาความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
การใข้งานซับซ้อนปานกลาง: ต้องคำนวณทั้ง Stop-Loss, Take-Profit และ Lot Size ตาม Risk-to-Reward Ratio
5. Volatility-Based Lot Sizing (การกำหนด Lot ตามความผันผวนของตลาด)
วิธีนี้ซับซ้อนที่สุด เพราะต้องคำนวณความผันผวนของตลาด เช่น ใช้เครื่องมือ ATR และคำนวณ Lot Size ตามความผันผวนนั้น ทำให้วิธีนี้มีการวิเคราะห์ที่ละเอียดมากขึ้น
การใช้งานซับซ้อนสูง: ต้องใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง ATR และคำนวณขนาด Lot ให้เหมาะสมตามความผันผวน
-------------------------------------------------------------------------
การควบคุมความเสี่ยงจากการออก Lot Size เป็นเพียงปัจจัยนึงที่จะทำให้การเทรดของคุณมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ แก่ Trader ทุกท่านนะครับ หากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถทักมาพูดคุยหรือ Comment ได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ
No Risk , No Reward
7
เครื่องคอมพิวเตอร์ / HP 20-c428l All-in-One Desktop PC Product Specifications
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 23/09/24 »

HP 20-c428l All-in-One Desktop PC Product Specifications



Dual channel memory architecture
Two DDR4 SODIMM (260-pin) sockets
Supports up to PC4-17000 (DDR4-2133)
Supports 2 GB, 4 GB, and 8 GB DDR4 SODIMMs
Supports up to 4 GB on 32-bit systems
note: 32-bit systems cannot address a full 4.0 GB of memory.
Supports up to 16 GB (unbuffered) on 64-bit systems
note: Maximum memory shown reflects the capability of the hardware and can be limited further in the operating system.
8
ดิฉันอาศัยอยู่เนเธอร์แลนด์ มีลูกชายอายุ 16 ปี ตั้งแต่ลูกยังเป็นเด็ก จนก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ดิฉันพบว่า สภาพสังคมที่ลูกเติบโตมา ต่างกับเด็กไทยอย่างสุดขั้ว
   -เมื่อลูกเรียนชั้นประถม ต้องนำอาหารกลางวันไปทานเอง แต่โรงเรียนจะสั่งห้าม ไม่ให้เด็ก นำขนม ลูกอม ไปกิน แม้แต่ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีรสหวาน ก็ห้าม ของว่าง อนุญาตให้แต่ผลไม้ กับแครกเกอร์ เท่านั้น
     ส่วนเรื่องการเรียน ในปีแรกของการเรียน (5 ขวบ) ลูกกลับบ้านมา พร้อมงานศิลปะ แทบทุกวัน อยู่โรงเรียน เน้น เล่น ทำกิจกรรมกลางแจ้ง และวาดรูป …เด็กนักเรียนที่นี่ื เกือบ 100% ไปโรงเรียน ด้วยการขี่จักยาน ข้อดีของการขี่จักรยานคือ ฝึกความอดทน ประหยัด สุขภาพดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
   - พอลูกเข้าวัยมัธยม ก็ยังคงนำอาหาร มื้อกลางวันไปเอง เพราะ ประหยัด และเด็กทุกคนทำกันเป็นเรื่องปกติ…เมื่อ เดือน พค ที่ผ่านมา รัฐบาลเพิ่งประกาศห้าม นักเรียนนำโทรศัพท์มือถือไปโรงเรียน ข้อห้ามนี้ มีผลบังคับสำหรับ นักเรียนระดับ ประถม และมัธยม เด็กนักเรียนต้องปฏิบัติตามกฏนี้ ไม่มีดราม่าใดๆ เกิดขึ้นในสังคมที่คนส่วนใหญ่เคารพกฏหมายอย่างเคร่งครัด

   ข้อน่าสังเกตุคือ เด็กๆ ที่นี่ส่วนใหญ่ มีกิจกรรม การเล่นกีฬาที่ตัวเองชอบ อย่างน้อยคนละ 1 อย่าง ในทุกวันเสาร์ ทั้งวัน เราจะพบ เด็กและวัยรุ่น ส่วนใหญ่ อยู่ตามชมรมกีฬาที่ตนเองสังกัด …ดังนั้น ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศเล็กๆ มีประชากรแค่ 17 ล้านคน แต่สามารถ ติดอันดับต้นๆ ในวงการกีฬาระดับโลกได้

   ความน่าสนใจอีกอย่างคือ เด็กๆ ที่นี่ถูกสอนให้ตั้งคำถาม (Why) ให้หาคำตอบ ไม่ใช่ เชื่ออะไรโดยไม่คิด …จนบางครั่ง ดิฉันเองยังหงุดหงิดกับลูก และสามี ว่า “จะถามอะไรหนักหนา ทำๆ ตามไปเถอะ“ จุดนี้ ดิฉันทัศนคติไม่ดีเอง ยอมรับค่ะ
   เรื่องความประหยัด จนชนชาติดัชท์ ถูกมองว่า ”ขี้เหนียว“ ที่สุดในโลก…เด็กที่นี่ พออายุ 16 ปี กฏหมายอนุญาตให้เริ่มทำงานพิเศษได้  พวกเขาก็จะเริ่มหางานพาร์ทไทม์ ต่อให้ครอบครัวมีฐานะแค่ไหน แต่พ่อแม่ ส่วนใหญ่ก็จะมี ”งบ“ ให้ลูก เช่น ถ้าอยากได้ของที่มีราคาสูง พ่อแม่ ออกให้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องไปหาเงินมาเอง
   สังคมที่นี่ ยิ่งรวย ยิ่งเก็บตัว ไม่โชว์รวย เพราะ กลัวการตรวจสอบเรื่อง ภาษี…ดังนั้น เวลาคนดัชท์ ส่วนใหญ่คุยกัน จะบ่นเรื่อง “ของแพง”  เช่น สินค้าแบรนด์นี้ แพงไป ไม่คุ้มกับคุณภาพ..,แม้แต่งานวันเกิดดัชท์ ก็สังสรรค์กันแบบง่ายๆ เค็ก กาแฟ ของว่างเล็กน้อย ส่วนใหญ่ไม่มีอาหาร…ถ้าจะไปงานวันเกิด เราต้องอิ่มไปจากบ้านของเราเองค่ะ
    ร้านสะดวกซื้อ  แบบ 24 ชั่วโมง ไม่มีในประเทศนี้  สมัยก่อน เคยมีค่ะ แต่เจ๊งไปแล้ว เพราะไม่มีลูกค้า เนื่องจาก คนที่นี่ ส่วนใหญ่ กิน นอน เป็นเวลา ไม่กินพร่ำเพรื่อ…เลยไม่ค่อยมีที่ให้ใช้เงิน แบบ non-stop ไปในตัว

   เพราะความต่างกันสุดขั้วแบบนี้ ทำให้ดิฉันสงสัยว่า ทำไมฝรั่งหัวทอง ไม่แนะให้คนทั่วโลกใช้ชีวิตแบบพวกเขา เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง แต่กลับไปให้ราคากับ เรื่องที่ ”ธุระไม่ใช่“ เช่น สิทธิมนุษยชน หรือ ความไม่เป็นประชาธิปไตย ตามแบบที่ฝรั่งออกแบบไว้

   แต่ดิฉันก็แอบดีใจนะคะ เมื่อได้ยินลูกชายพูดว่า ”มัม ระบบประชาธิปไตย จะได้ผลดี ก็ต่อเมื่อ ประชากรมีความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้น ในแต่ละประเทศ ควรออกแบบ ระบบการปกครองให้เหมาะสมกับคนในประเทศของตัวเอง“


รักคอมเม้นนี้ครับ
9
แนะนำตัว / Re: ขรก. (ย้าย รอบ ต.ค.67)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 13/09/24 »
1.นางพัณณ์วรา  พันธ์จินาธนกุล   จพ.ชำนาญการ       นางศิริจันทร์  แก้วอนุรักษ์    จพ.ชำนาญการ
2.นายดนุสรณ์  มากจงดี   จพ.ปฏิบัติการ       นายอภิชาติ  ดือเร๊ะ   จพ.ปฏิบัติการ
3.นายอับดุลมุตตอลิฟ  ปุเตะ    จพ.ปฏิบัติการ   นางวลัยพร  คำคง  จพ.ชำนาญการ
4.นางสาวมารีน่า  ดีนะลี  จพ.ปฏิบัติการ        นางวัลยา  มนต์พานทอง   จพ.ชำนาญการ
5.นางไลลา  ฏิยาอุลอิสลาม   จพ.ชำนาญการ    นางสาวปัณฑารีย์  เรืองแก้ว   จพ.ปฏิบัติการ
6.นางสาวอธิตติญา  รักธรรม   จนท.ปฏิบัติงาน    นางสาวเกตสุดา  เพ็ชรนรินทร์    จนท.ปฏิบัติงาน
7.นางสาววรรณา  เหลือกนุ้ย  จนท.ปฏิบัติงาน    นางสาวสาวิตรา  โต๊ะยง   จนท.ชำนาญงาน
8.นางสาวมารียะ  มีซา   จนท.ปฏิบัติงาน   นางสาวปานจิตร์  มาสินธุ์   จนท.ปฏิบัติงาน
9.นางสาวมุทิตา  จ่ายแจก   จนท.ปฏิบัติงาน   นางจุรีภรณ์  สุทธิล   จนท.ชำนาญงาน
10.นางสาวเกศริน  คล้ายมณี   จนท.ปฏิบัติงาน   นางสาววรินทร  นวลแก้ว  จนท.ปฏิบัติงาน
11.        รอ                                                       นางสาวณิชารีย์  แก้วขุนจบ  นิติกรปฏิบัติการ
10
แนะนำตัว / Re: ขรก. (ย้าย รอบ ต.ค.67)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 13/09/24 »
1.นางสาวปุณิกา  ทองหวาน
2.นางศิริจันทร์  แก้วอนุรักษ์
3.นายอภิชาติ  ดือเร๊ะ
4.นางวลัยพร  คำคง
5.นางวัลยา  มนต์พานทอง
6.นางสาวปัณฑารีย์  เรืองแก้ว
7.นางสาวเกตสุดา  เพ็ชรนรินทร์
8.นางสาวสาวิตรา  โต๊ะยง
9.นางสาวปานจิตร์  มาสินธุ์
10.นางจุรีภรณ์  สุทธิล
11.นางสาววรินทร  นวลแก้ว
12.นางสาวณิชารีย์  แก้วขุนจบ
หน้า: [1] 2 3 ... 10