กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1
Cafe / วิธีเริ่มต้นทำช่อง Faceless + เสียง AI (Step-by-step)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 29/05/25 »
วิธีเริ่มต้นทำช่อง Faceless + เสียง AI (Step-by-step)
1. เลือก "แนวช่อง" ที่ถนัดหรือคนสนใจ
 ตัวอย่างแนวที่ทำ Faceless ได้ดี:

สรุปหนัง / ซีรีส์

จิตวิทยา / พัฒนาตัวเอง

ประวัติศาสตร์ / ปรัชญา

คดีดัง / ปริศนา / เรื่องเล่า

ความรู้ทั่วไป (3 นาทีเข้าใจโลก)

2. ใช้ AI เขียนสคริปต์วิดีโอ
ใช้ ChatGPT หรือ Claude เขียนสคริปต์ง่ายๆ เช่น:
"ช่วยเขียนสคริปต์ YouTube ความยาว 2 นาที เรื่อง 3 เทคนิคสร้างนิสัยคนสำเร็จ"

 เคล็ดลับ: เขียนให้ สั้น กระชับ เหมือนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง

3. แปลงสคริปต์เป็นเสียงด้วย AI (Text-to-Speech)
เครื่องมือยอดนิยม:

ElevenLabs.io (เสียงสมจริงมาก)

Narakeet.com

Google Cloud TTS (ใช้งานฟรีเบื้องต้น)

 มีเสียงภาษาไทย/อังกฤษให้เลือกหลายแบบ
 เลือกเสียงที่ฟังแล้ว "น่าเชื่อถือ + สบายหู"

4. สร้างวิดีโอแบบไม่ต้องถ่ายเอง
 วิธีทำภาพประกอบวิดีโอ:

ใช้คลิปฟรีจาก Pexels / Pixabay

ใช้ Canva ทำภาพ + ตัวอักษร

หรือใช้ AI Video Generator อย่าง Pictory / InVideo

 ไม่ต้องสวยมาก ขอแค่ “ภาพเคลื่อนไหวสลับกับเสียง” ที่ดึงคนไว้ได้

5. ตัดต่อในแอปง่าย ๆ
แนะนำ:

CapCut (ฟรี + มีเทมเพลต)

VN Video Editor

หรือใช้ Canva ทำเป็น Slideshow แล้ว export

6. อัปโหลดลง YouTube
 อย่าลืมตั้งชื่อคลิปให้น่าสนใจ เช่น:

“3 สิ่งที่คนฉลาดทำทุกวัน”

“ถ้าขงเบ้งอยู่ยุคนี้…เขาจะสอนอะไรเรา?”

 ใส่คำอธิบายดี ๆ + Hashtag + ปกคลิป (Thumbnail) ให้สะดุดตา

7. เปิดสร้างรายได้เมื่อถึงเกณฑ์ YouTube Partner Program
ต้องมี:

ผู้ติดตาม 1,000 คน

ยอดชม 4,000 ชม.ใน 12 เดือน
หรือ

ยอดวิว Shorts 10 ล้านวิวใน 90 วัน

แล้วคุณจะเริ่มมีรายได้จากโฆษณา (AdSense)

 เคล็ดลับความสำเร็จ:
โพสต์สม่ำเสมอ (2-3 คลิป/สัปดาห์)

ปั้น Shorts ควบคู่เพื่อโตเร็ว

อ่านคอมเมนต์คนดู แล้วเอามาปรับเนื้อหา

อย่าเพิ่งสนใจรายได้ในเดือนแรก — โฟกัสที่ คุณภาพ + ความต่อเนื่อง ดูน้อยลง
2
Forex / Re: ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
ทำความเข้าใจกับการใช้งานไทม์เฟรม
ไทม์เฟรมเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเทรดเป็นอย่างมาก ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์หรือคาดการณ์ทิศทางของราคาในตลาดได้อย่างแม่นยำลดโอกาสการทเรดผิดทางลงไปได้มาก และ ยังช่วยให้ได้จุดเข้าออเดอร์ที่ราคาดี และ มีระยะ SL ที่แคบ แต่ปลอดภัย ตัวอย่างที่จะหล่าวต่อไปนี้ จะยกตัวอย่างกราฟในอดีตมาเป็นตัวอย่างราคากราฟได้เฉลยแล้วทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้ ✨แต่ในตอนท้ายบทยังมีตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟปัจจุบันที่เกิดขึ้น ณ.วันที่ทำบทความคู่มือนี้ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
จะเห็นได้ว่ายิ่งย่อไทม์เฟรมให้เล็กลงเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นการขึ้นลงของราคาได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น จากภาพล่างนี้ที่ M1 จะเห็นการขึ้นลงของราคาละเอียดมากทำให้เห็นการ Pullback ได้ชัดเจน ต้องไม่ลืมว่าการเทรดที่มีคุณภาพจะเทรดหลังจบ Pullback ใหม่ๆแล้วเท่านั้น เพื่อให้ได้จุดเข้าออเดอร์ที่ราคาดี และ ได้ SL ที่แคบแต่ปลอดภัย

EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
EQH EQL TLL
3
Forex / Re: ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
กลไกการสร้างสภาพคล่อง
Liquidity Zone คือบริเวณที่มีคำสั่งสะสมจำนวนมาก เช่น SL หรือ Pending Orders ผู้เล่นรายใหญ่มักสร้างพฤติกรรมราคาให้สอดคล้องกับตำรา เพื่อดึงดูดคำสั่งจากรายย่อย แล้วใช้สภาพคล่องจากบริเวณนั้นในการผลักดันราคาไปตามทิศทางที่ต้องการ ในภาพล่างนี้ ไม่ได้กล่าวถึง Market Order ที่เกิดขึ้นหลังการ SL ของออเดอร์ เพราะได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ Order Flow ข้างต้น

ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาวิ่งชน SL ของ Sell ก็จะเกิด Market Buy ขึ้นมาโดยกลไกตลาด เพื่อขึ้นไปจับคู่กับ Sell Limit ที่ Supply zone ข้างบน ในขณะราคาชน SL ของ Sell ยังมีออเดอร์ Buy Stop ที่วางไว้บริเวณนั้นเปิดตามขึ้นมาด้วย ทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปเปิดออเดอร์ Sell Limit ที่ผู้เล่นรายใหญ่วางรออยู่ข้างบนได้โดยไม่ออกแรงมาก อาศัยแรงของการทำสภาพคล่องตามกลไกตลาดผลักราคาขึ้นไปสบายๆ
EQH EQL TLL
Liquidity Zone ขาขึ้น ในแต่ละช่วงของเทรนด์ก็จะมีการเข้ามาสร้างสภาพคล่องของผู้เล่นรายใหญ่ เพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ รูปแบบตามภาพล่างนี้มักจะขึ้นขึ้นบ่อยๆในเทรนด์ขาขึ้น การสร้างรูปแบบกราฟหลอกเพื่อทำให้รายย่อยรีบเข้าออเดอร์ก่อนโซนสำคัญ ในภาพโซนสำคัญคือ Demand Zone ข้างล่าง ผู้เล่นรายใหญ่ได้สร้างแนวรับหลอกไว้เหนือ Demand Zone เพื่อสร้างสภาพคล่องให้ราคาไหลลงไปหา Demand Zone โดยผู้เล่นรายใหญ่ได้แอบวาง Buy Limit รอไว้บริเวณ Demand Zone

EQH EQL TLL
Liquidity Zone ขาลง ในแต่ละช่วงของเทรนด์ก็จะมีการเข้ามาสร้างสภาพคล่องของผู้เล่นรายใหญ่ เพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ รูปแบบตามภาพล่างนี้มักจะขึ้นขึ้นบ่อยๆในเทรนด์ขาลง การสร้างรูปแบบกราฟหลอกเพื่อทำให้รายย่อยรีบเข้าออเดอร์ก่อนโซนสำคัญ ในภาพโซนสำคัญคือ Supply Zone ข้างบน ผู้เล่นรายใหญ่ได้สร้างแนวต้านหลอกไว้เหนือใต้ Supply Zone เพื่อสร้างสภาพคล่องให้ราคาไหลขึ้นไปหา Supply Zone โดยผู้เล่นรายใหญ่ได้แอบวาง Sell Limit รอไว้บริเวณ Supply Zone
EQH EQL TLL
4
Forex / Re: ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
ความสัมพันธ์ระหว่าง BoS กับ โซนราคา
การที่ราคาสามารถวิ่งทะลุ BoS ได้นั้นมันต้องมีแรงหรือพลังค่อนข้างมากผลักดันราคาให้สามารถวิ่งได้แรงๆจนทะลุ BoS ได้ และ แรงที่มีพลังเหล่านี้ก็คือโซนราคาสำคัญนั้นเอง เช่น Demand zone หรือ Supply zone อีกอย่างในบทความคู่มือนี้จะเรียกโซนสำคัญว่า Demand zone หรือ Supply Zone แทนที่จะเรียก Bullish Order Block หรือ Bearish Order Block ซึ่งอาจจะดูไม่คุ้นเคยเท่าไหร่

จริงๆแล้วทั้ง Demand & Supply หรือ Order Block มันก็คือโซนราคาที่ทำหน้าที่เป็นโซนแนวรับ และ โซนแนวต้าน เหมือนกัน ต่างกันที่ Order Block จะโฟกัสมองให้โซนแคบลงเท่านั้น โดย Demand & Supply จะมองโซนเป็นกลุ่มแท่งเทียนพักตัวสะสมกำลัง ส่วน Order Block จะมองโซนเป็นแท่งเพียง 1-2 แท่งเท่านั้น ทำให้ได้โซนที่แคบลง

ตัวอย่างการใช้งาน BoS และ ChoCH
ตัวอย่างการใช้งาน BoS และ ChoCH
5
Forex / Re: ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS (Break of Structure) และ CHoCH(Change of Character) ราคาตลาดเคลื่อนไหวตามแรงซื้อหรือขายหลักหรือแนวโน้มหรือเทรนด์หลักในตลาดได้ไกล แต่ก็จะมีแรงวิ่งสวนทางแนวโน้มหลักเป็นช่วงๆ (Pullback) แต่วิ่งได้ไม่ไกลมาก การที่ราคาวิ่งสวนเทรนด์หลักเพราะเทรดเดอร์เก็บกำไรระยะสั้น และเรื่องของต้นทุนออเดอร์ในขณะที่ราคาวิ่ง และ ผู้เล่นรายใหญ่ทำการเก็บสภาพคล่องในจุดสำคัญๆ ทำให้ราคาไม่วิ่งตรง แต่เคลื่อนไหวเป็นรอบๆ คือวิ่งตามเทรนด์แล้วก็วิ่งสวนเทรนด์ เพื่อรักษาสมดุลในตลาด รูปแบบของการเคลื่อนที่ของราคาสามารถอธิบายได้ด้วย BoS และ CHoCH

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
CHoCH หรือ Change Of Character คือการเปลี่ยนทิศทางของโครงสร้างขณะนั้น ก็คือการกลับตัวของโครงสร้างขณะนั้นนั้นเอง CHoCH เกิดได้ในทุกๆเทรนด์หลัก และ ทุกเทรนด์ย่อยที่วิ่งสวนทางเทรนด์หลัก CHoCH ก็จะเป็นตัวบอกว่าโครงสร้างของเทรนด์ขณะนั้นได้กลับทิศทางแล้ว สมมุติเป็นเทรนด์ขาขึ้นราคาได้วิ่งขึ้นไป และ ได้เกิดการวิ่งสวนทางลงมา (Pullback) หากเราต้องการรู้ว่าราคาจะกลับตัวคืนทิศทางเดิม หรือ การจบการ Pullback เมื่อไหร่ โดยการดูว่าราคาขณะนั้นได้เกิด CHoCH ขึ้นหรือยัง เพื่อเป็นการยืนยันการกลับไปยังทิศทางเดิมคือขาขึ้น

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
✨ ในคู่มือการเทรด SMC ครั้งนี้เราจะเน้นมองหา สถานการณ์เมื่อราคากำลังเกิดการ Pullback คือราคาวิ่งสวนเทรนด์หลัก เราจะเน้นหา CHoCH ที่ทำลายโครงสร้างของ Pullback ที่ราคาวิ่งสวนเทรนด์นี้ ซึ่งส่งผลให้ราคาวิ่งกลับไปยังทิศทางตามเทรนด์หลักเหมือนเดิม ตรงจุดนี้แหละที่เราจะเข้าเทรดตามเทรนด์หลัก

โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
โครงสร้างราคา BoS และ CHoCH
Market Structure Shift หรือ MSS มักจะพบเห็นตามคลิปสอนการเทรด SMC จริงๆแล้วมันก็คือรูปแบบการเปลี่ยนเทรนด์นั้นแหละครับ เช่น จากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งมักแสดงออกผ่านสัญญาณ CHoCH (Change of Character) ที่บ่งชี้ว่าพฤติกรรมราคากำลังเปลี่ยนไป ในส่วนนี้ยกมาให้เห็นเฉยๆว่า มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเป็นแค่ชื่อเรียกเฉพาะบางกลุ่ม บางสำนักแค่นั้น บริบทของมันก็คือการเปลี่ยนเทรนด์นั้นเอง

Market Structure Shift
6
Forex / Re: ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
แนวรับ-แนวต้าน หัวใจของการทำกำไร
แนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance) ถือว่าเป็นเครื่องมือหลักของงานเทรดและเกิดขึ้นมานับร้อยปี แนวรับ-แนวต้าน เป็นเครื่องมือที่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับจิตวิทยาการเทรดได้เป็นอย่างดี ผู้เล่นรายใหญ่ก็อาศัยแนวรับ-แนวต้านนี่แหละเป็นตัวสร้างสภาพคล่องโดยการหลอกกอน SL ของรายย่อย แนวรับ-แนวต้านถือว่าเป็นเครื่องมือที่สุดคลาสสิกมากที่สุดในวงการเทรด เส้นค่าเฉลี่ยก็คือแนวรับ-แนวต้านที่โค้งงอไปตามราคาได้ เส้นเทรนด์ไลน์ก็คือแนวรับ-แนวต้านแบบเฉียง แม้แต่ Fibonacci ก็มองเป็นแนวรับ-แนวต้านได้เช่นกัน

ในสมัยก่อนแนวรับ-แนวต้านจะมองกันเป็นเส้นเดียว หรือ มองเป็นระดับราคาใดราคาหนึ่ง หรือ มองเป็นแบบโซนราคาระหว่างราคาหนึ่งถึงราคาหนึ่ง โดยมีหลักการมองว่า หากราคาเข้าไปทดสอบที่โซนราคานั้นหลายๆครั้งแล้วไม่ผ่านถือว่าโซนราคานั้นแข็งแรงมาก ซึ่งวิธีนี้เป็นการมองโซนราคาในภาพรวมกว้างเป็นหลัก ต่อมาก็มีการคิดค้นการมองโซนราคาที่มีนัยยะสำคัญซ้อนเร้นอยู่เป็นการมองโซนราคาในระยะใกล้ โดยมีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปว่า หากราคาเข้ามาทดสอบครั้งแรกแล้วราคาดีดออดจากโซนไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองหรือสาม หากราคาเข้ามาทดสอบหลายๆครั้ง โซนราคานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอ สุดท้ายก็ทะลุไปได้ โซนราคาพวกหลังนี้ได้แก่ Demand Supply หรือ Order Block ซึ่งเป็นการมองโซนราคาในระยะแคบ

การมองพฤติกรรมของราคากับแนวรับ-แนวต้านจะเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบคือ
1. การกลับตัวของราคา (Reversal)
2. การทะลุไปต่อของราคา (Breakout)

ซึ่งทั้งสองรูปแบบมันก็คือการบ่งบอกว่าเมื่อราคาไปทดสอบที่แนวรับ-แนวต้าน จะต้องเกิดปฎิกริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเป็นจุดหรือโซนที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้เป็นบริเวณที่จะเข้าเทรด ก็ถือได้ว่าเป็นการเทรดตามระบบอีกแบบหนึ่ง อย่างน้อยๆคือไม่ได้เทรดมั่วๆแบบไม่มีหลักยึด



โครงสร้างราคา
โครงสร้างราคา (Market Structure) โครงสร้างราคาเป็นตัวหลักสำคัญที่สามารถอธิบายให้เห็นภาพพฤติกรรมของราคาได้เป็นอย่างดี จะทำให้เรารู้ว่าจะเข้าเทรด Buy หรือ Sell ที่บริเวณไหนที่มีโอกาสจะสามารถทำกำไรได้สูง โอกาสขาดทุนน้อย โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า โครงสร้างราคาตามทฤษฎีดาว (Dow Theory) เทรดเดอร์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพการเทรดจะปฎิเสธที่จะไม่ศึกษาเรื่องโครงสร้างราคาไม่ได้เลย หากปฎิเสธโครงสร้างราคาก็ไม่ต่างกับการหลับตาขับรถซึ่งมีความเสี่ยงที่สูงมาก

กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
7
Forex / ระบบเทรด SMC คุณภาพสูง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/05/25 »
เทคนิค SMC ดีอย่างไร

 เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคตามแนวคิด Smart Money Concept (SMC) เท่านั้น มิได้มีเจตนาเพื่อชักชวน แนะนำ หรือเสนอให้ลงทุนหรือซื้อขายสินทรัพย์ใด ๆ ทั้งสิ้น


SMC (Smart Money Concept) คือแนวคิดการเทรดที่วิเคราะห์พฤติกรรมของ "Smart Money" หรือนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด โดยพวกเขามักสร้างความผันผวนเพื่อกิน SL (Stop Loss) ของรายย่อยก่อนจะดันราคาไปทิศทางที่ต้องการ การเข้าใจ SMC จะช่วยให้เราเลี่ยงการเป็นเหยื่อ และสามารถเทรดทำกำไรไปพร้อมกับ Smart Money ได้ เทคนิคการเทรดในบทนี้สามารถนำไปใช้เทรดได้กับทุกๆแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น MT4 ,MT5 ,cTrader ,NinjaTrader ,TradingView


SMC คือเทคนิคการเทรดที่สื่อสารโดยตรงกับตลาด เป็นเทคนิคที่แม่นยำมากที่สุด เป็นเทคนิคที่ไม่มีสัญญาณหลอกใดๆ นอกจากเราหลอกตัวเอง เป็นเทคนิคที่สร้างความได้เปรียบในการทำกำไร เพราะเป็นการเทรดตามเจ้าของตลาดโดยตรง

เพื่อให้การใช้งาน ระบบเทรด SMC PRO มีประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพื้นฐานของเทคนิคการเทรดด้วย SMC ก่อน จึงได้จัดทำคู่มือนี้ขึ้นมาท่านสามารถนำเอาเทคนิคที่นำเสนอนี้ไปใช้เทรดได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ระบบเทรดก็ได้เช่นกัน


Order Flow กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC
Order Flow คือกลไกการไหลของคำสั่งซื้อขายในตลาด ที่ช่วยรักษาสมดุลระหว่างฝั่ง Buy และ Sell เปรียบเสมือนการเดิมพัน ที่ถ้าฝั่ง Buy เปิด 500 Lot ก็ต้องมีฝั่ง Sell รับ 500 Lot เท่ากัน ออเดอร์ฝั่งหนึ่งหายไปจากการ SL/TP/Close ก็จะเกิดออเดอร์ฝั่งตรงกันข้ามขึ้นมาทดแทน เพื่อให้ตลาดเกิดสภาพสมดุล และ เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น การสมดุลของแรงซื้อและแรงขายจึงเป็นหัวใจสำคัญของตลาดเทรด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นักเทรดรายย่อยส่งคำสั่งผ่านโบรกเกอร์ โบรกก็ส่งต่อไปยังธนาคารหรือผู้ให้สภาพคล่องที่โบรกคุยงานกันอยู่ พวกธนาคารกับสถาบันใหญ่เหล่านี้จะมีระบบจับคู่คำสั่งซื้อขายระหว่างสถาบันการเงิน ซึ่งกระจายอยู่หลายจุดทั่วโลก คำสั่งซื้อขายจะถูกจับคู่กันในระบบระหว่างสถาบันการเงินเหล่านี้ ทำให้เกิดการซื้อขายขึ้นจริง และราคาก็ขยับไปตามความต้องการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระบบนั้นเอง หรือ จะเรียกได้ว่าเป็นการเทรดระหว่างสถาบันการเงินก็ไม่ผิด

จากขั้นตอนซื้อขายที่ต้องส่งผ่านเป็นทอดๆไปสุดที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ จึงเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมผู้เล่นรายใหญ่จึงรู้ว่าตอนนี้มีปริมาณออเดอร์ Buy หรือ Sell อยู่บริเวณนั้นเท่าไหร่ ต้องการเพิ่มอีกเท่าไหร่ เพื่อจะได้ทำการสร้างสภาพคล่องได้ตามจำนวนที่ต้องการ

การเข้าใจ Order Flow ทำให้เรามองเห็นเหตุผลของการทำ Liquidity Sweep คือการกวาด SL เพื่อสร้างสภาพคล่องในตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งช่วยให้เราคาดการณ์ ทิศทางราคาล่วงหน้า ได้อย่างแม่นยำ เพราะเข้าใจแรงซื้อขายและการจัดการสภาพคล่องจริงในตลาด

Market order คือออเดอร์ที่เปิดจริงไม่ใช่ Pending Order ถ้าเราเปิดออเดอร์เอง Market order ก็จะเป็นออเดอร์ของเรา แต่หากออเดอร์ของเรา SL หรือ TP ก็จะเกิด Market order ฝั่งตรงกันข้ามที่โอนไปเป็นของคนอื่นที่จะถูกจับคู่ต่อไป

สำหรับเรื่องของ Order Flow นี้เป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยาก แต่หากเข้าใจได้ก็ถือว่าดีจะทำให้อ่านเกมของผู้เล่นรายใหญ่ได้แม่นยำมากขึ้น แต่หากไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรสามารถข้ามไปได้

กลไกของตลาดหัวใจสำคัญของ SMC


8
ส่วนที่ 1: แนะนำ 5 โปรแกรมช่วยแต่งกลอนด้วย AI
1. ChatArt【ยอดนิยม】
2. AI Poem Generator
3. PoemGenerator.io
4. DeepAI
5. ChatGPT
9
Forex / Re: สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 22/05/25 »
1. Mark Minervini – เจ้าพ่อ SEPA System
คนนี้คือสายเป๊ะทุกจุด เขาใช้ระบบที่เรียกว่า SEPA (Specific Entry Point Analysis) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำสุดๆ
หุ้นที่เขาชอบจะต้องมีแนวโน้มขาขึ้นแรงแบบ “Super Performance” และต้องมีแรงซื้อมากพอ (วอลุ่มต้องมาด้วย)
Minervini เน้นทั้งพื้นฐานและเทคนิค แต่จะเข้าเทรดเฉพาะจังหวะที่ “คอนเฟิร์มชัดเจน” เท่านั้น
เรียกได้ว่า ถ้ายังไม่ชัวร์ – ไม่เข้าเด็ดขาด
2. David Ryan – ลูกศิษย์สายตรงของ William O’Neil
Ryan เทรดตามระบบ CAN SLIM โดยใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคแบบกลมกล่อม
เขาจะรอรูปแบบราคาที่ชัดเจน เช่น Cup with Handle, Flat Base ก่อนเข้าเทรด
สิ่งที่ไอชอบในสไตล์เขาคือ “ความอดทน” เขาไม่เร่ง ไม่รีบ รอแผนมาอย่างเดียว
และพอหุ้นเริ่มวิ่งปุ๊บ ก็พร้อมถือยาวเพื่อดึงกำไรให้มากที่สุด
3. Dan Zanger – เทพกราฟตัวจริง
ถ้าใครเป็นสายเทคนิคแบบไม่สนปัจจัยพื้นฐานเลย คนนี้คือไอดอล
Zanger เทรดด้วยการอ่านกราฟ 100% ใช้ pattern แบบคลาสสิก เช่น Head & Shoulders, Flag, Pennant, Cup & Handle
เขาถือหุ้นสั้น แต่เข้าหนัก และกล้าหมุนพอร์ตไวมาก
จุดแข็งของเขาคือ อ่านพฤติกรรมราคาได้เฉียบขาด แล้วกล้าลุยเมื่อเห็นโอกาส
4. Mark Ritchie II – นักคิดสายจิตวิทยา
Ritchie ไม่ได้เน้นรูปแบบการเทรดมากเท่าคนอื่น แต่เขาเก่งเรื่อง การจัดการความเสี่ยงและ mindset
เขามองว่า การอยู่รอดในตลาดสำคัญกว่ากำไรแบบหวือหวา
เน้นบริหารพอร์ตให้ยั่งยืน และวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นเพื่อปรับตามสภาวะตลาด
ถ้าพี่ๆ เคยรู้สึก “วุ่นวายใจตอนเทรด” หรือ “ไม่มั่นใจเวลาเจอ drawdown” ลองศึกษามุมมองของ
10
Forex / สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 22/05/25 »
สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
1. ขนาดการเทรด (Position Sizing)
“ไม่ใช่แค่เทรดถูกทาง แต่ต้องขนาดถูกด้วย”
- ขนาดการเทรด (position size) คือจำนวนเงินที่เราต้องจัดสรรให้กับออเดอร์หนึ่งๆ ซึ่งจะกำหนด ระดับความเสี่ยง โดยตรง
- เทรดเดอร์ระดับโลกอย่าง Mark Minervini แนะนำว่า อย่าเสี่ยงเกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- หากเจอโอกาสที่มั่นใจมาก เช่น เบรกเอาท์จากฐานที่แน่นด้วย Volume สูง อาจเพิ่ม position size ขึ้น
- ส่วนสำคัญคือ “ไม่เพิ่มขนาดการเทรดในเทรดที่แพ้” ต้องเพิ่มเฉพาะตอนที่ “ตลาดเป็นเทรนด์”
เคล็ดลับ: เริ่มต้นออเดอร์เล็กๆก่อน เพื่อทดสอบตลาด แล้วค่อยเพิ่มขนาดเมื่อแน่ใจ
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
“อย่าฟังข่าว ให้ดูกราฟ”
- นักเทรด Momentum เชื่อมั่นในการดู พฤติกรรมของราคา (price action) และ ปริมาณ (volume)
- มองหาสัญญาณอย่าง Breakout (ราคาทะลุแนวต้าน) หรือ Pullback ในขาขึ้นที่มีลักษณะ Bullish Flag หรือ Cup & Handle
- Base ที่แน่น ซึ่งเป็นการสะสมหุ้นของรายใหญ่
- ใช้เครื่องมือเช่น Moving Average, Relative Strength, Volume, MACD เพื่อตรวจสอบแรงส่งของราคาที่เกิดขึ้น
เคล็ดลับ: กราฟคือภาพสะท้อนทุกอย่าง แม้ข่าวยังไม่ออก ราคาก็วิ่งไปแล้ว
3. ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamentals)
“โมเมนตัมที่ดี มักตามมาด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง”
- ถึงจะเน้นเทคนิค แต่นักเทรดหลายคนยังใช้ปัจจัยพื้นฐานช่วยกรองหุ้นที่ “มีของ”
- พิจารณา:
- EPS (กำไรต่อหุ้น) โตต่อเนื่อง
- รายได้โตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรม
- อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแรง
- หนี้สินต่ำ และ ROE สูง
- หุ้นเติบโต (growth stocks) ที่มีพื้นฐานดี มักให้โมเมนตัมการเติบโตที่ยาวนาน
เคล็ดลับ: ใช้พื้นฐานกรองหุ้น แล้วใช้เทคนิคเลือกจังหวะเข้า


4. สภาวะตลาด (General Market)
“รู้ตัวว่าเล่นอยู่ในเทรนด์อะไร แล้วเทรดให้ถูกจังหวะ”
- ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หากตลาดโดยรวมอยู่ในเทรนด์ขาลง การเทรดฝั่ง Long ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง
- Momentum Traders
- จะดูภาพใหญ่ผ่านดัชนีเช่น S&P500, Nasdaq
- สังเกต breadth เช่น จำนวนหุ้นที่ทำ New High vs. New Low
- หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดตอนที่ตลาดแกว่งแรงหรือขัดแย้งกันหลาย Timeframe
เคล็ดลับ: เทรดเฉพาะตอนที่ตลาดสนับสนุน ไม่ฝืนกระแสใหญ่
5. เกณฑ์การเข้าซื้อ (Entry Criteria)
“เข้าเมื่อทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน”
- นักเทรดระดับโลกมี “เกณฑ์เข้าเทรดที่ตายตัว” และไม่ยอมละเมิด
- ตัวอย่าง entry:
- ราคาทะลุแนวต้านหลังสร้างฐานที่แน่น
- Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไม่มีแรงขายสวนหรือเกิดแท่ง red candle ใหญ่ระหว่าง breakout
- บางคนรอให้ “เบรก” แล้ว “ย่อกลับมาทดสอบ” เพื่อความปลอดภัย
เคล็ดลับ: อย่าเดา อย่าเร่งจังหวะ รอให้สัญญาณเกิดจริง
6. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
“เงินทุนคือกระสุน อย่าใช้เปลืองถ้าไม่ได้เป้า”
- ตั้ง Stop loss ทุกครั้ง โดยคิดจาก % ความเสี่ยงของพอร์ต
- อย่าถัวเฉลี่ยขาดทุน! เทรดเดอร์ Momentum จะเพิ่มเฉพาะหุ้นที่กำลังทำกำไรเท่านั้น
- ใช้ R-multiple หรือ Reward:Risk Ratio เช่น ต้องอย่างน้อย 2:1
- คำแนะนำจาก Minervini: “เทรดให้ชนะ 50% แต่มี R มากกว่า 2 ก็พอรอดได้แล้ว”
เคล็ดลับ: รอดก่อนรวย อย่าเสี่ยงถ้าไม่มีโอกาสใหญ่
7. การบริหารการเทรด (Trade Management)
“การเข้าถูกทางไม่พอ ต้อง ‘ถือเป็น’ ด้วย”
- จัดการสถานะอย่างมีระบบ เช่น
- เมื่อกำไร 20–30% ให้ย้าย SL ตาม
- แบ่งขายบางส่วนเมื่อถึงเป้าแรก
- ถืออีกบางส่วนเพื่อเล่น trend ใหญ่
- หากราคากลับตัวแรงหรือมีสัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ ต้องพร้อมขายทิ้งทันที
เคล็ดลับ: ไม่ปล่อยให้ขาดทุนย้อนกลับมา บริหารแบบนักธุรกิจ
8. จิตวิทยาการเทรด (Psychology)
“ใจที่แกว่ง คือพอร์ตที่ร่วง”
- เทรดเดอร์ที่ดีต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
- ไม่โลภตอนกำไร
- ไม่กลัวตอนเข้าเทรด
- ไม่แก้แค้นตอนขาดทุน
- ฝึกวินัย เช่น เขียนบันทึกการเทรด สรุปบทเรียน
- พัฒนาความมั่นใจจาก “แผนที่ใช้ได้จริง” ไม่ใช่ความรู้สึก
เคล็ดลับ: ชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ กำไรก็อยู่แค่เอื้อม
9. สรุปรวมความคิด (Integrated Thinking)
“ระบบดี + จิตใจมั่นคง + บริหารความเสี่ยงได้ = เทรดเดอร์มือโปร”
- ความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่จุดเข้า แต่คือ “กระบวนการที่ครอบคลุมทุกด้าน”
- การเทรดแบบ Momentum ต้องมีระบบที่ทดสอบได้
- วินัยในการทำซ้ำ
- ความเข้าใจตลาดในเชิงลึก
- เทรดเดอร์ที่สำเร็จจะคิดเป็นระบบ (System Thinking) ไม่ทำตามอารมณ์ หรือความรู้สึกชั่ววูบ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้เข้าใจการเทรดนะครับ
แต่ยังช่วยให้ “เรารู้จักตัวเอง” มากขึ้นด้วยว่าเราชอบแบบไหน เหมาะกับสไตล์ใคร
สุดท้าย…ไม่มีสไตล์ไหนดีหรือแย่กว่า แต่อยู่ที่ว่า “เราคุมมันได้มั้ย” ต่างหากครับ
ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ แล้วชอบ คอมเม้นท์
หน้า: [1] 2 3 ... 10