กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
71
ในการเทรด Forex สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)" เพราะไม่ว่าคุณจะมีกลยุทธ์การเทรดที่ดีแค่ไหน หรือมีความรู้เกี่ยวกับตลาดมากเพียงใด หากคุณไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณอาจสูญเสียทุนทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ทำไมการจัดการความเสี่ยงสำคัญที่สุด?
ป้องกันการสูญเสียทุน:

ตลาด Forex มีความผันผวนสูง และไม่มีใครสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาได้ถูกต้อง 100% การจัดการความเสี่ยงช่วยป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียทุนมากเกินไป

รักษาทุนเพื่อโอกาสในอนาคต:

หากคุณสูญเสียทุนไปมากเกินไป คุณจะไม่มีเงินเหลือเพื่อเทรดในโอกาสต่อไป การจัดการความเสี่ยงช่วยให้คุณรักษาทุนและมีโอกาสทำกำไรในระยะยาว

ควบคุมอารมณ์:

การขาดทุนใหญ่สามารถส่งผลต่อจิตวิทยาการเทรด ทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ การจัดการความเสี่ยงช่วยลดความเครียดและช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีสติ

หลักการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ
กำหนด Risk-Reward Ratio:

ควรกำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2) เพื่อให้กำไรที่ได้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ

ใช้ Stop Loss (SL):

ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ เพื่อจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ควบคุมขนาด Lot:

ไม่ควรเทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อทุนทั้งหมด

กระจายความเสี่ยง:

ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียว หรือเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่เกินไป

มีแผนสำรอง:

เตรียมแผนสำรองในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด เช่น การปิดออเดอร์ก่อนกำหนดหากขาดทุนถึงระดับหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญรองลงมา
ความรู้และความเข้าใจในตลาด:

การมีความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

จิตวิทยาการเทรด:

การควบคุมอารมณ์และมีวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามแผนการเทรดได้อย่างเคร่งครัด

กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน:

การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและทดสอบแล้วจะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีระบบและลดความเสี่ยง

สรุป
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด Forex เพราะช่วยป้องกันการสูญเสียทุนและรักษาโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะมีกลยุทธ์ที่ดีแค่ไหน หากไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี คุณอาจสูญเสียทุนทั้งหมดได้ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงเป็นอันดับแรก และพัฒนาความรู้และทักษะอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย
72
การเทรด Forex เป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ต่อไปนี้คือหลักสำคัญที่ต้องมีในการเทรด Forex:

1. ความรู้และความเข้าใจในตลาด Forex
เข้าใจพื้นฐาน Forex: เช่น คู่สกุลเงิน (Currency Pairs), Pip, Spread, Leverage, Margin

เรียนรู้การวิเคราะห์ตลาด:

การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis): ศึกษาข่าวเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย, นโยบายการเงิน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): ใช้กราฟและอินดิเคเตอร์เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคา

เข้าใจความเสี่ยง: ตลาด Forex มีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงในการสูญเสียทุน

2. กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน
มีแผนการเทรด: กำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน เช่น เทรดตามเทรนด์, เทรดช่วง Sideway, Scalping

ทดสอบกลยุทธ์: ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทดสอบกลยุทธ์ก่อนนำไปใช้จริง

ปรับปรุงกลยุทธ์: บันทึกผลการเทรดและปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด

3. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
กำหนด Risk-Reward Ratio: อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss (SL): ตั้ง SL ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ควบคุมขนาด Lot: ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

กระจายความเสี่ยง: ไม่ลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียว

4. จิตวิทยาการเทรด
ควบคุมอารมณ์: อย่าให้ความโลภหรือความกลัวมาบดบังการตัดสินใจ

มีวินัย: ปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด

ยอมรับความผิดพลาด: ไม่ตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

5. การเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้
ตรวจสอบใบอนุญาต: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FCA, ASIC, SEC

ค่าธรรมเนียมต่ำ: เปรียบเทียบ Spread และ Commission ของโบรกเกอร์ต่างๆ

ระบบการเทรดที่เสถียร: ตรวจสอบความเร็วในการดำเนินการออเดอร์และความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม

6. การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด
บันทึกการเทรด: จดบันทึกทุกออเดอร์ รวมถึงสาเหตุที่เข้าเทรด, ผลลัพธ์, และบทเรียนที่ได้

วิเคราะห์ผลการเทรด: หาจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น

เรียนรู้จากความผิดพลาด: ใช้ข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเอง

7. การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
อัปเดตความรู้: ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ ในตลาด Forex

ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: ใช้บัญชีทดลองเพื่อฝึกเทรดและทดสอบกลยุทธ์ใหม่ๆ

เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ: อ่านหนังสือ, ดูวิดีโอ, และเข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับ Forex

8. การตั้งเป้าหมายที่ realist
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน: เช่น กำไร 5-10% ต่อเดือน

ไม่โลภ: อย่าคาดหวังกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น

มีแผนสำรอง: เตรียมแผนสำรองในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด

สรุป
การเทรด Forex ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หลักสำคัญที่ต้องมีได้แก่ ความรู้ในตลาด Forex, กลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน, การจัดการความเสี่ยง, จิตวิทยาการเทรด, การเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้, การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด, การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง, และการตั้งเป้าหมายที่ realist การปฏิบัติตามหลักเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการสูญเสียทุน
73
การสังเกตคลื่น Elliott Wave ให้ง่ายขึ้นต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน รวมถึงการใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average นอกจากนี้ การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละ TF จะให้รายละเอียดของคลื่นที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายๆ และการเลือก TF ที่เหมาะสม:

1. การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่าย
คลื่น 1 (Wave 1):

มักเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของเทรนด์ก่อนหน้า

มักมีแรงซื้อหรือขายที่ค่อยเป็นค่อยไป

คลื่น 2 (Wave 2):

ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1

มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1 (ใช้ Fibonacci Retracement ช่วย)

คลื่น 3 (Wave 3):

คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง

มักมีแรงซื้อหรือขายที่รุนแรงและรวดเร็ว

คลื่น 4 (Wave 4):

ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

มักปรับตัวประมาณ 38.2-50% ของคลื่น 3

คลื่น 5 (Wave 5):

คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง

มักไม่ยาวเท่าคลื่น 3

คลื่น A (Wave A):

เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

มักมีแรงขายหรือซื้อที่ค่อยเป็นค่อยไป

คลื่น B (Wave B):

ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A

คลื่น C (Wave C):

คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง

2. การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสม
TF สูง (Higher Timeframe):

เช่น H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน)

เหมาะสำหรับการวิเคราะห์คลื่นใหญ่ (Higher Degree Waves)

ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า แต่ต้องรอนานกว่าจะเกิดคลื่น

TF ต่ำ (Lower Timeframe):

เช่น M15 (15 นาที), M30 (30 นาที)

เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นและจับคลื่นย่อย (Lower Degree Waves)

มีสัญญาณบ่อยกว่า แต่มีความผันผวนสูง

แนะนำ:

เริ่มต้นด้วย TF สูง (เช่น H4 หรือ D1) เพื่อระบุคลื่นใหญ่

ใช้ TF ต่ำ (เช่น M15 หรือ M30) เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ

3. ขั้นตอนการสังเกตคลื่นอย่างง่าย
ระบุเทรนด์หลัก:

ใช้เส้น Moving Average (MA) เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อระบุทิศทางเทรนด์

ระบุคลื่น 1-5:

คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่

คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1

คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด

คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3

คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์

ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:

คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว

4. ตัวอย่างการสังเกตคลื่น
ตัวอย่าง 1: คลื่น 3

คลื่น 1: ราคาเริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น

คลื่น 2: ราคาปรับตัวลงประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1

คลื่น 3: ราคาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง

ตัวอย่าง 2: คลื่น C

คลื่น A: ราคาเริ่มต้นปรับตัวลงจากคลื่น 5

คลื่น B: ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A

คลื่น C: ราคาเริ่มต้นลงอีกครั้งและมีแรงขายที่แข็งแกร่ง

5. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4

Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์

Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3

6. สรุป
การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน การเลือก TF ที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์คลื่นแม่นยำขึ้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วย TF สูงเพื่อระบุคลื่นใหญ่ และใช้ TF ต่ำเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุคลื่น
74
การเทรดตามกลยุทธ์ "Elliott Wave" เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดที่อาศัยทฤษฎีคลื่นของ Ralph Nelson Elliott ซึ่งเชื่อว่าตลาดเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบคลื่น (Wave) ที่สามารถคาดการณ์ได้ โดยคลื่นเหล่านี้ประกอบด้วยคลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves) และคลื่นปรับตัว (Corrective Waves) ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเทรดตามกลยุทธ์ Elliott Wave:

1. เข้าใจพื้นฐาน Elliott Wave
คลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves): ประกอบด้วย 5 คลื่น (Wave 1-5) โดยคลื่น 1, 3, 5 เป็นคลื่นขึ้น ส่วนคลื่น 2 และ 4 เป็นคลื่นปรับตัวลง

คลื่นปรับตัว (Corrective Waves): ประกอบด้วย 3 คลื่น (Wave A, B, C) โดยคลื่น A และ C เป็นคลื่นลง ส่วนคลื่น B เป็นคลื่นขึ้น

2. ขั้นตอนการวิเคราะห์ Elliott Wave
ระบุคลื่น 1-5:

คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่ มักมีแรงซื้อหรือขายที่แข็งแกร่ง

คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1

คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง

คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง

ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:

คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5

คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A

คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง

3. กลยุทธ์การเทรดตาม Elliott Wave
เทรดตามคลื่นกระแสหลัก (Impulse Waves):

รอให้คลื่น 1 และคลื่น 2 เกิดขึ้น

เปิดออเดอร์ซื้อเมื่อคลื่น 3 เริ่มต้น และตั้ง Stop Loss (SL) ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

ตั้ง Take Profit (TP) ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น 3 หรือคลื่น 5

เทรดตามคลื่นปรับตัว (Corrective Waves):

รอให้คลื่น A และคลื่น B เกิดขึ้น

เปิดออเดอร์ขายเมื่อคลื่น C เริ่มต้น และตั้ง Stop Loss (SL) ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น B

ตั้ง Take Profit (TP) ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น C

4. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4

Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์

Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3

5. การจัดการความเสี่ยง
กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

6. ตัวอย่างการเทรด
ตัวอย่าง 1: เทรดคลื่น 3

ระบุคลื่น 1 และคลื่น 2 บนแผนภูมิ

เปิดออเดอร์ซื้อเมื่อราคาเริ่มต้นคลื่น 3

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น 1

ตั้ง TP ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น 3 หรือคลื่น 5

ตัวอย่าง 2: เทรดคลื่น C

ระบุคลื่น A และคลื่น B บนแผนภูมิ

เปิดออเดอร์ขายเมื่อราคาเริ่มต้นคลื่น C

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุดสิ้นสุดของคลื่น B

ตั้ง TP ไว้ที่จุดสิ้นสุดของคลื่น C

7. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

สรุป
การเทรดตามกลยุทธ์ Elliott Wave ต้องอาศัยความเข้าใจในทฤษฎีคลื่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ควรใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average เพื่อเพิ่มความแม่นยำ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว
75
Forex / การเทรด Forex ใน timeframe M5 (5 นาที)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 02/03/25 »
การเทรด Forex ใน timeframe M5 (5 นาที) เป็นการเทรดที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว แต่ไม่เร็วเท่า timeframe M1 ทำให้มีเวลาตัดสินใจมากขึ้น และยังสามารถจับเทรนด์ระยะสั้นได้ดี กลยุทธ์ที่ใช้ควรมีความชัดเจนและมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง:

1. เทรดตามเทรนด์ด้วย Moving Average (MA)
เครื่องมือที่ใช้:

Moving Average ระยะสั้น (MA 10) และระยะกลาง (MA 50)

Relative Strength Index (RSI) ระยะ 14

วิธีการ:

ใช้ MA 10 และ MA 50 เพื่อระบุเทรนด์:

เทรนด์ขาขึ้น: MA 10 อยู่เหนือ MA 50

เทรนด์ขาลง: MA 10 อยู่ใต้ MA 50

รอให้ราคากลับตัวใกล้เส้น MA 10 หรือ MA 50

ตรวจสอบ RSI ว่าไม่เข้าโซน Overbought (เกิน 70) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 30) เพื่อยืนยันสัญญาณ

เปิดออเดอร์ตามทิศทางของเทรนด์ และตั้ง Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ที่เหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคากลับตัวใกล้ MA 10 หรือ MA 50 ในเทรนด์ขาขึ้น และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

ขายเมื่อราคากลับตัวใกล้ MA 10 หรือ MA 50 ในเทรนด์ขาลง และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

2. Price Action และ Support/Resistance
เครื่องมือที่ใช้:

เส้น Support และ Resistance

แท่งเทียน (Candlestick)

วิธีการ:

ระบุระดับ Support และ Resistance บนแผนภูมิ M5

รอให้ราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ และสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Pin Bar หรือ Engulfing

เปิดออเดอร์เมื่อราคาเกิดการกลับตัวที่ระดับ Support/Resistance

ตั้ง TP ที่ระดับถัดไปของ Resistance/Support และ SL ไว้ด้านหลังระดับ Support/Resistance

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตีระดับ Support และเกิด Pin Bar หัวขึ้น

ขายเมื่อราคาตีระดับ Resistance และเกิด Pin Bar หัวลง

3. Breakout Trading
เครื่องมือที่ใช้:

เส้นแนวโน้ม (Trendline)

Bollinger Bands

วิธีการ:

วาดเส้น Trendline เพื่อระบุแนวโน้มหรือช่วง Sideway

รอให้ราคา Breakout ออกจากเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands

เปิดออเดอร์ตามทิศทาง Breakout และตั้ง TP ที่ระยะห่างเท่ากับช่วง Sideway ก่อนหน้า

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุด Breakout

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคา Breakout สูงกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านบน

ขายเมื่อราคา Breakout ต่ำกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านล่าง

4. การใช้ Stochastic Oscillator
เครื่องมือที่ใช้:

Stochastic Oscillator (ตั้งค่า 5, 3, 3)

วิธีการ:

รอให้ Stochastic เข้าโซน Overbought (เกิน 80) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 20)

เปิดออเดอร์เมื่อ Stochastic กลับตัวออกจากโซนเหล่านี้

ตั้ง TP และ SL ตามความเหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Oversold

ขายเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Overbought

5. การจัดการความเสี่ยง
Risk Management:

กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

จิตวิทยาการเทรด:

อย่าโลภ รับกำไรตามแผนที่กำหนด

อย่าตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

6. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

7. ตัวอย่างการตั้งค่า TP และ SL
TP: 20-30 pips สำหรับ M5

SL: 10-15 pips สำหรับ M5

สรุป
กลยุทธ์การเทรด Forex ใน timeframe M5 ต้องอาศัยความรวดเร็วและวินัยสูง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชำนาญ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดระยะสั้นนี้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว
76
Forex / การเทรด Forex ใน timeframe M1 (1 นาที)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 02/03/25 »
การเทรด Forex ใน timeframe M1 (1 นาที) เป็นการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วและความแม่นยำสูง เนื่องจากตลาดเคลื่อนไหวเร็วและมีความผันผวนมาก ดังนั้นกลยุทธ์ที่ใช้ต้องมีความชัดเจนและมีวินัยในการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงและมีโอกาสทำกำไร:

1. Scalping ด้วย Moving Average (MA) และ RSI
เครื่องมือที่ใช้:

Moving Average (MA) ระยะสั้น เช่น MA 5 หรือ MA 10

Relative Strength Index (RSI) ระยะ 14

วิธีการ:

ตั้งค่าแผนภูมิ M1 และเพิ่มเส้น MA 5 และ RSI 14

รอให้ราคาตัดเส้น MA 5 จากด้านล่างขึ้นด้านบน (สัญญาณซื้อ) หรือจากด้านบนลงด้านล่าง (สัญญาณขาย)

ตรวจสอบ RSI ว่าไม่เข้าโซน Overbought (เกิน 70) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 30) เพื่อยืนยันสัญญาณ

เปิดออเดอร์ตามทิศทางของสัญญาณ และตั้ง Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ที่เหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตัด MA 5 ขึ้นด้านบน และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

ขายเมื่อราคาตัด MA 5 ลงด้านล่าง และ RSI อยู่ระหว่าง 30-70

2. Price Action และ Support/Resistance
เครื่องมือที่ใช้:

เส้น Support และ Resistance

แท่งเทียน (Candlestick)

วิธีการ:

ระบุระดับ Support และ Resistance บนแผนภูมิ M1

รอให้ราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ และสังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Pin Bar หรือ Engulfing

เปิดออเดอร์เมื่อราคาเกิดการกลับตัวที่ระดับ Support/Resistance

ตั้ง TP ที่ระดับถัดไปของ Resistance/Support และ SL ไว้ด้านหลังระดับ Support/Resistance

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคาตีระดับ Support และเกิด Pin Bar หัวขึ้น

ขายเมื่อราคาตีระดับ Resistance และเกิด Pin Bar หัวลง

3. Breakout Trading
เครื่องมือที่ใช้:

เส้นแนวโน้ม (Trendline)

Bollinger Bands

วิธีการ:

วาดเส้น Trendline เพื่อระบุแนวโน้มหรือช่วง Sideway

รอให้ราคา Breakout ออกจากเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands

เปิดออเดอร์ตามทิศทาง Breakout และตั้ง TP ที่ระยะห่างเท่ากับช่วง Sideway ก่อนหน้า

ตั้ง SL ไว้ด้านหลังจุด Breakout

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อราคา Breakout สูงกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านบน

ขายเมื่อราคา Breakout ต่ำกว่าเส้น Trendline หรือ Bollinger Bands ด้านล่าง

4. การใช้ Stochastic Oscillator
เครื่องมือที่ใช้:

Stochastic Oscillator (ตั้งค่า 5, 3, 3)

วิธีการ:

รอให้ Stochastic เข้าโซน Overbought (เกิน 80) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 20)

เปิดออเดอร์เมื่อ Stochastic กลับตัวออกจากโซนเหล่านี้

ตั้ง TP และ SL ตามความเหมาะสม

ตัวอย่าง:

ซื้อเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Oversold

ขายเมื่อ Stochastic กลับตัวจากโซน Overbought

5. การจัดการความเสี่ยง
Risk Management:

กำหนด Risk-Reward Ratio อย่างน้อย 1:2 (เสี่ยง 1 เพื่อหวังกำไร 2)

ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่

ไม่เทรดเกิน 2-3% ของทุนต่อออเดอร์

จิตวิทยาการเทรด:

อย่าโลภ รับกำไรตามแผนที่กำหนด

อย่าตามแก้ขาดทุน ควรหยุดเทรดหากขาดทุนติดต่อกันหลายออเดอร์

6. การทดสอบกลยุทธ์
ทดสอบกลยุทธ์บนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนนำไปใช้จริง

บันทึกผลการเทรดเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

7. ตัวอย่างการตั้งค่า TP และ SL
TP: 10-15 pips สำหรับ M1

SL: 5-10 pips สำหรับ M1

สรุป
กลยุทธ์การเทรด Forex ใน timeframe M1 ต้องอาศัยความรวดเร็วและวินัยสูง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชำนาญ นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดระยะสั้นนี้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทุนในระยะยาว
77
การเทรดในกราฟ **M5 (5 นาที)** เป็นการเทรดระยะสั้น (Short-Term Trading) ที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและความแม่นยำในการตัดสินใจ กลยุทธ์ที่แนะนำต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ใช้ได้ผลดีกับกราฟ M5 แต่ต้องฝึกฝนและทดลองในบัญชีเดโมก่อนนำไปใช้จริงครับ

---

### กลยุทธ์เทรด M5 แบบง่ายและได้ผล (Price Action + EMA)

#### 1. **เครื่องมือที่ใช้**:
- **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA)**:
  - EMA 9 (สีแดง) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะสั้น
  - EMA 21 (สีน้ำเงิน) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะกลาง
- **เส้นแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)**:
  - วาดจากจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ในกราฟ
- **แท่งเทียน (Candlestick)**:
  - ใช้ดูรูปแบบ Price Action เช่น Doji, Engulfing, Pin Bar

---

#### 2. **ตั้งค่าและเตรียมกราฟ**:
- เปิดกราฟ M5 ของคู่เงินที่คุณต้องการเทรด
- เพิ่ม EMA 9 และ EMA 21 ในกราฟ
- วาดแนวรับ-แนวต้านจากจุด High และ Low ล่าสุด

---

#### 3. **กฎการเข้าเทรด (Entry Rules)**:

#### **เทรดตามแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 9 อยู่เหนือ EMA 21 (แสดงแนวโน้มขาขึ้น)
   - ราคาอยู่เหนือ EMA ทั้งสองเส้น
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bullish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวรับ (Support)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรดเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 9 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุดหรือใต้จุดต่ำสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### **เทรดตามแนวโน้มขาลง (Bearish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 9 อยู่ใต้ EMA 21 (แสดงแนวโน้มขาลง)
   - ราคาอยู่ใต้ EMA ทั้งสองเส้น
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวต้าน (Resistance)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรดเมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 9 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้เหนือแนวต้านล่าสุดหรือเหนือจุดสูงสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวรับถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### 4. **กฎการออกเทรด (Exit Rules)**:
- **ออกเทรดเมื่อถึง TP หรือ SL**: อย่าโลภหรือหวังกำไรเพิ่ม
- **ออกเทรดหากแนวโน้มเปลี่ยน**: หาก EMA 9 และ EMA 21 ตัดกันในทิศทางตรงข้าม

---

#### 5. **ตัวอย่างการเทรด**:
- **กรณีเทรดขาขึ้น**:
  - ราคาอยู่เหนือ EMA 9 และ EMA 21
  - มี Bullish Engulfing ใกล้แนวรับ
  - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 9
  - ตั้ง SL ใต้แนวรับล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป

- **กรณีเทรดขาลง**:
  - ราคาอยู่ใต้ EMA 9 และ EMA 21
  - มี Bearish Engulfing ใกล้แนวต้าน
  - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 9
  - ตั้ง SL เหนือแนวต้านล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวรับถัดไป

---

#### 6. **ข้อควรระวัง**:
- **หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจมักทำให้ตลาดผันผวนและส่งผลต่อกลยุทธ์
- **ไม่เทรดทุกสัญญาณ**: รอสัญญาณที่ชัดเจนและมีแนวโน้มสอดคล้องกับ EMA
- **ฝึกฝนในบัญชีเดโมก่อน**: เพื่อทดสอบกลยุทธ์และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

---

### 7. **สรุป**:
กลยุทธ์นี้ใช้ Price Action ร่วมกับ EMA เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าเทรดที่แม่นยำในกราฟ M5 หากฝึกฝนและปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยงได้ครับ!
78
การเทรดในกราฟ **1 ชั่วโมง (H1)** เป็นการเทรดระยะกลาง (Swing Trading) ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ยังต้องการเทรดแบบ Short-Term กลยุทธ์ที่แนะนำต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลดีกับกราฟ H1 และมีความแม่นยำสูง หากปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

---

### กลยุทธ์เทรด H1 แบบง่ายและได้ผล (Trend Following + RSI)

#### 1. **เครื่องมือที่ใช้**:
- **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA)**:
  - EMA 50 (สีน้ำเงิน) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะกลาง
  - EMA 200 (สีแดง) - ช่วยบอกแนวโน้มระยะยาว
- **Relative Strength Index (RSI)**:
  - ตั้งค่า RSI ที่ 14 (ใช้ดูภาวะ Overbought/Oversold)
- **เส้นแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)**:
  - วาดจากจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ในกราฟ
- **แท่งเทียน (Candlestick)**:
  - ใช้ดูรูปแบบ Price Action เช่น Engulfing, Pin Bar, Doji

---

#### 2. **ตั้งค่าและเตรียมกราฟ**:
- เปิดกราฟ H1 ของคู่เงินที่คุณต้องการเทรด
- เพิ่ม EMA 50 และ EMA 200 ในกราฟ
- เพิ่ม RSI 14 ในกราฟ
- วาดแนวรับ-แนวต้านจากจุด High และ Low ล่าสุด

---

#### 3. **กฎการเข้าเทรด (Entry Rules)**:

#### **เทรดตามแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 50 อยู่เหนือ EMA 200 (แสดงแนวโน้มขาขึ้น)
   - ราคาอยู่เหนือ EMA ทั้งสองเส้น
   - RSI อยู่เหนือระดับ 50 แต่ไม่เข้าสู่ภาวะ Overbought (เกิน 70)
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bullish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวรับ (Support)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 50 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุดหรือใต้จุดต่ำสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### **เทรดตามแนวโน้มขาลง (Bearish Trend)**:
1. **เงื่อนไข**:
   - EMA 50 อยู่ใต้ EMA 200 (แสดงแนวโน้มขาลง)
   - ราคาอยู่ใต้ EMA ทั้งสองเส้น
   - RSI อยู่ใต้ระดับ 50 แต่ไม่เข้าสู่ภาวะ Oversold (ต่ำกว่า 30)
   - มีสัญญาณ Price Action เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar ใกล้แนวต้าน (Resistance)

2. **จุดเข้าเทรด**:
   - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 50 และมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

3. **Stop Loss (SL)**:
   - ตั้งไว้เหนือแนวต้านล่าสุดหรือเหนือจุดสูงสุดของสัญญาณ Price Action

4. **Take Profit (TP)**:
   - ตั้งไว้ที่แนวรับถัดไปหรือใช้ Risk-Reward Ratio 1:2

---

#### 4. **กฎการออกเทรด (Exit Rules)**:
- **ออกเทรดเมื่อถึง TP หรือ SL**: อย่าโลภหรือหวังกำไรเพิ่ม
- **ออกเทรดหากแนวโน้มเปลี่ยน**: หาก EMA 50 และ EMA 200 ตัดกันในทิศทางตรงข้าม
- **ออกเทรดหาก RSI เข้าสู่ภาวะ Overbought/Oversold**: โดยเฉพาะหากมีสัญญาณ Price Action ยืนยัน

---

#### 5. **ตัวอย่างการเทรด**:
- **กรณีเทรดขาขึ้น**:
  - ราคาอยู่เหนือ EMA 50 และ EMA 200
  - RSI อยู่เหนือ 50 แต่ไม่เกิน 70
  - มี Bullish Engulfing ใกล้แนวรับ
  - เข้าเทรด Buy เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือ EMA 50
  - ตั้ง SL ใต้แนวรับล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป

- **กรณีเทรดขาลง**:
  - ราคาอยู่ใต้ EMA 50 และ EMA 200
  - RSI อยู่ใต้ 50 แต่ไม่ต่ำกว่า 30
  - มี Bearish Engulfing ใกล้แนวต้าน
  - เข้าเทรด Sell เมื่อแท่งเทียนปิดใต้ EMA 50
  - ตั้ง SL เหนือแนวต้านล่าสุด
  - ตั้ง TP ที่แนวรับถัดไป

---

#### 6. **ข้อควรระวัง**:
- **หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจมักทำให้ตลาดผันผวนและส่งผลต่อกลยุทธ์
- **ไม่เทรดทุกสัญญาณ**: รอสัญญาณที่ชัดเจนและมีแนวโน้มสอดคล้องกับ EMA และ RSI
- **ฝึกฝนในบัญชีเดโมก่อน**: เพื่อทดสอบกลยุทธ์และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

---

### 7. **สรุป**:
กลยุทธ์นี้ใช้ EMA, RSI และ Price Action เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าเทรดที่แม่นยำในกราฟ H1 หากฝึกฝนและปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยงได้ครับ!
79
การเทรดด้วยกลยุทธ์เดียวกันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้กำไรเหมือนกันหมด เพราะผลลัพธ์ของการเทรดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น:

---

### 1. **การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)**:
- **ขนาด Lot ที่ใช้**: แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่หากเทรดด้วยขนาด Lot ที่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป อาจทำให้ขาดทุนมากหรือได้กำไรน้อย
- **Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP)**: การตั้ง SL และ TP ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ขาดทุนมากหรือพลาดโอกาสทำกำไร
- **ความเสี่ยงต่อการเทรด**: บางคนเสี่ยง 1% ของทุนต่อการเทรด ในขณะที่บางคนเสี่ยง 5% ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาว

---

### 2. **จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology)**:
- **ความอดทนและวินัย**: บางคนอาจออกจากการเทรดก่อนถึง TP หรือ SL เนื่องจากความกลัวหรือความโลภ
- **การควบคุมอารมณ์**: การเทรดตามอารมณ์ (เช่น แก้แค้นตลาดหลังจากขาดทุน) มักนำไปสู่การขาดทุนเพิ่ม
- **การยอมรับความผิดพลาด**: บางคนไม่ยอมรับว่าตนเองผิดและไม่ตัดขาดทุนตามแผนที่กำหนดไว้

---

### 3. **การปฏิบัติตามกลยุทธ์ (Discipline)**:
- **การรอสัญญาณที่ชัดเจน**: บางคนอาจเข้าเทรดก่อนมีสัญญาณที่ชัดเจน หรือเทรดบ่อยเกินไป
- **การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์**: บางคนอาจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในระหว่างการเทรด ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

---

### 4. **ประสบการณ์และทักษะ (Experience & Skill)**:
- **ความเข้าใจในกลยุทธ์**: แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่ความเข้าใจในรายละเอียดและการประยุกต์ใช้แตกต่างกัน
- **การวิเคราะห์ตลาด**: บางคนอาจวิเคราะห์แนวโน้มและสัญญาณได้แม่นยำกว่าคนอื่น
- **การปรับตัวกับสภาวะตลาด**: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางคนอาจปรับตัวได้ดีกว่า

---

### 5. **สภาพตลาด (Market Conditions)**:
- **ช่วงตลาดผันผวน (Volatile Market)**: บางกลยุทธ์อาจใช้ได้ผลดีในช่วงตลาดมีแนวโน้มชัดเจน แต่ไม่เหมาะกับช่วงตลาดผันผวน
- **ช่วงข่าวสำคัญ**: ข่าวเศรษฐกิจอาจทำให้ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงและส่งผลต่อกลยุทธ์

---

### 6. **การเลือกคู่เงินและสินทรัพย์ (Asset Selection)**:
- **ความผันผวนของสินทรัพย์**: ทองคำ (XAU/USD) มีความผันผวนสูงกว่าคู่เงิน Forex ทั่วไป ดังนั้นผลลัพธ์อาจแตกต่างกันแม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน
- **สเปรดและค่าคอมมิชชั่น**: บางโบรกเกอร์มีสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่สูง ซึ่งส่งผลต่อกำไรและขาดทุน

---

### 7. **การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด (Journaling & Analysis)**:
- **การบันทึกการเทรด**: บางคนบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ ในขณะที่บางคนไม่ทำ
- **การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด**: บางคนเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงตนเอง ในขณะที่บางคนทำผิดซ้ำๆ

---

### สรุป:
แม้ใช้กลยุทธ์เดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของการเทรดอาจแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยเหล่านี้:
1. **การบริหารความเสี่ยง**
2. **จิตวิทยาการเทรด**
3. **การปฏิบัติตามกลยุทธ์**
4. **ประสบการณ์และทักษะ**
5. **สภาพตลาด**
6. **การเลือกสินทรัพย์**
7. **การบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด**

ดังนั้น การเทรดให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่การใช้กลยุทธ์ที่ดี แต่ต้องมีวินัย การบริหารความเสี่ยงที่ดี และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องครับ!
80
รีวิวถอนกำไร #1ล้านบาท ใน 1 เดือน จากกองทุน FTMO ด้วย 5 เทคนิคนี้

วันนี้ เป็นวันถอนกำไรพอร์ตกองทุน (ถอนกำไรได้ทุก 15 วัน ไม่ต้องรอวันหวยออก)
ผลประกอบการเดือนนี้เทรดกำไรไปทั้งหมดราวๆ $38,000
ด้วย Drawdown ไม่ถึง 5% ถามว่ายากมั้ย ก็ตอบว่าโคดยาก (พูดง่ายๆก็คือ ฝากเข้าไป 100 บาท โดนลากไม่เกิน 5 บาท) แต่ที่ทำได้เพราะประสบการณ์และความฝืนที่จะเดินเส้นทาง Full time trader ครัช
จึงอยากจะมาแชร์ 5 องค์ประกอบสำคัญ ในการ “ถอนเงิน” จากกองทุนให้ได้อย่างต่อเนื่องครับ
ย้ำกว่า “ถอน” นะครับ โชว์ใบสอบผ่านกันให้เกลื่อน แต่ไม่ค่อยมีโชว์ถอน เพราะในชีวิตจริงการรักษาพอร์ตไปจนถึงถอนกำไรอย่างต่อเนื่องได้นั้นยากยิ่งกว่า และระบบต้องทำซ้ำได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้ความฟลุ๊ค
ข้อดีของการเป็นเทรดเดอร์กองทุนที่สำคัญที่สุดคือ “เราไม่ต้องใช้เงินตัวเองเทรด”
เราสามารถถือพอร์ตขนาดใหญ่หลักหลายแสนดอลลาร์ แล้วได้เงินเยอะๆจากส่วนแบ่งกำไรของพอร์ตที่ใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเอาเงินตัวเองไปเสี่ยงแม้แต่บาทเดียว (ค่าสอบก็ยังได้คืน) และถ้าขาดทุน เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เลวร้ายสุดก็คือโดนยึดพอร์ตและสอบใหม่ เสกเงินจากอากาศโดยแท้
ฟังดูเหมือนง่าย แต่การถือพอร์ตกองทุนจนถอนกำไรได้อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เรื่องง่ายครับ จากประสบการณ์ที่เทรดกองทุนมาหลายปี ผมเคยผ่านมาทุกจุดช้ำใจ ที่คิดว่าเทรดเดอร์กองทุนทุกคนจะต้องเจอ ในช่วงที่เพิ่งเริ่มสอบผ่านใหม่ๆ
ทั้งสอบผ่านแต่เทรดจริงพอร์ตระเบิด เทรดได้กำไร แต่ ผิดกฎต่างๆของกองทุน โดนยึดพอร์ต หรือความโลภ ได้สองแสนอยากได้ห้าแสน ได้ห้าแสนอยากได้ล้าน สุดท้ายไม่ได้ถอนกำไร ทำงานฟรี หรือไปจนถึงโดนยึดพอร์ตไปเลยก็มี
ในปีแรกๆ ผมสอบพอร์ตกองทุนซ้ำๆ วนลูป จนรู้สึกว่าสอบพอร์ตให้ผ่านมันง่ายกว่ารักษาพอร์ตมากๆ สอบจนมั่นใจว่าสอบใหม่ยังไงก็ผ่าน ถ้าพอร์ตโดนยึด ก็สอบใหม่ได้ง่ายๆ ได้ถอนไปทีนึงก็คุ้มค่าสอบแล้ว แต่มันเสียเวลาครับ ดังนั้น ทำสิ่งที่ยากกว่าซึ่งคือการรักษาพอร์ตเอาไว้ให้ได้จะดีกว่า
กว่าจะก้าวผ่านมาได้ จนมาอยู่ในจุดที่ได้ถอนกำไรทุกเดือนแบบปัจจุบัน ก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกันครับ วันนี้เลยจะมาแชร์ 5 องค์ประกอบสำคัญ ที่ผมกลั่นกรองออกมาแล้วว่ายังไง ถ้ามีครบ ก็ได้ถอนกำไรเรื่อยๆแน่นอน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเป็นเทรดเดอร์กองทุน
ในที่นี้ จะแชร์เฉพาะกองทุน FTMO นะครับเนื่องจากผมไม่เคยสอบกองทุนอื่น หากเพื่อนๆเทรดกองทุนอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม
1. #มีระบบที่เหมาะกับการเทรดกองทุน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ไม่ใช่ทุกระบบ” ที่จะใช้เทรดกองทุนได้
ผมรู้จักเทรดเดอร์หลายคนที่มีระบบที่เทรดได้กำไร แต่ไม่สามารถใช้เทรดกองทุนได้ เพราะเทรดด้วยความเสี่ยงสูง ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่เก่ง หรือระบบไม่ดี แค่คนละสไตล์เท่านั้น
ในขณะที่กองทุน ต้องการระบบที่ความเสี่ยงต่ำ เข้าในจุดที่คุ้มที่สุด DD น้อย ไม่ใช่การเทรดในสไตล์หวือหวา
โชคดีที่สไตล์การเทรดของผม และระบบที่ผมใช้เทรด เหมาะแก่การเทรดกองทุนพอดี คือความเสี่ยงต่ำ และมีจุดเข้าทำกำไรได้ทุกวัน ผมจึงใช้สอบและเทรดมาเรื่อยๆ และนักเรียนที่เรียนจากผมไป ก็สอบผ่านกองทุนไปเป็นสิบคนแล้ว
ใครอยากทำได้ไม่มีทางลัดอื่นนอกจากเรียน และ ฝึกฝนครับ เมื่อมีระบบที่ใช่แล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือฝึกฝน และทำตามระบบอย่างเคร่งครัด
หากมีเป้าหมายในการสอบกองทุน ก็ควรเช็คว่าอาจารย์ที่สอนเทรดกองทุนรึเปล่า และ มีหลักฐานการถอนหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ครับ
อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ทุกระบบจะใช้เทรดกองทุนได้ และคนสอนเทรดมีเยอะมากๆ แค่มีความรู้ที่อ่านมาเองจากในเน็ตก็สอนได้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องเทรดได้ แต่คนที่เทรดได้จริงแล้วมาสอนให้นั้นแทบจะหาไม่ได้เลย โดยเฉพาะระบบที่ใช้เทรดกองทุนได้ เพราะเทคนิคหาเงินจากอากาศแบบนี้ไม่มีใครจะอยากเอามาสอนกันง่ายๆ แถมยังได้รายได้สบายๆอยู่แล้วจากการเทรดกองทุนอยู่แล้วอีก
หากยังไม่มีระบบที่ใช่ เทรดให้ตายยังไง มีวินัยแค่ไหนก็ทำไม่ได้ครับ
วิธีที่ง่ายและคุ้มค่าที่จะลงทุนที่สุดคือลงเรียนกับคนที่เป็นตัวจริง (ถ้าคุณหาเจอ และถ้าเค้ายอมสอน)
คุ้มกว่าเอาเงินไปไล่เรียนคอร์สถูกๆที่เอาไปใช้ไม่ได้จริง เอาไปล้างพอร์ตในตลาดซ้ำๆ หรือเอาไปไล่สอบกองทุนแล้วสอบตกซ้ำๆจนหมดไปหลายๆหมื่นแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเยอะครับ
การเทรดพอร์ตกองทุน ดูเหมือนเป็นทางลัดที่ง่าย ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่จริงๆไม่ใช่ครับ ถ้ามันง่ายทุกคนคงทำได้กันหมดแล้ว ต้นทุนที่ต้องลงทุนเพื่อให้ได้มาคือ “ความรู้” ซึ่งเมื่อเรารู้ เราจะเอามาใช้หาเงินได้อย่างไม่จำกัด น่าเสียดายที่หลายๆคนมองไม่เห็น และมองข้ามไป
ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ก็วนลูปอยู่แค่ตรงนี้แหละครับ กับมายเซ็ทผิดๆที่ว่า “เอาเงินที่จะเสียค่าเรียนไปลองเทรดเองดีกว่า” เสพติดการไปเสียเงินในตลาด แต่งกกลับสิ่งที่ไม่ควรงก ไม่ยอมลงทุนกับความรู้ เสพแต่ความรู้ฟรีในตลาด แน่นอนว่าของดีไม่มีใครเอามาปล่อยฟรี สุดท้ายก็จะได้แต่ความรู้ทั่วๆไป เทรดแบบได้ๆเสียๆเรื่อยไปตลอด You get what you pay for.
ใครโชคดีก้าวผ่านมายเซ็ทตรงนี้ไปได้ ก็จะร่นเวลาในการประสบความสำเร็จ และจำกัดความเสียหายจากการลองผิดลองถูกเองตรงนี้ไปได้มากครับ
ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดนี้ ผมเริ่มต้นจากลงเรียนไปเยอะมากๆ ทั้งในไทยและในต่างประเทศ ทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ จนเอามากลั่นกรองออกมาแค่สิ่งที่ใช้ได้จริง มาเป็นระบบที่ใช้เทรดอยู่ทุกวันนี้ จนถึงตอนนี้ผมคืนทุนค่าคอร์สทั้งหมดที่เรียนมาไปไม่รู้กี่เท่าแล้วครับ
2. #ความสม่ำเสมอต่อเนื่อง (Consistency)
เมื่อได้ระบบที่ใช่มาแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำให้ได้ คือทำตามระบบไปอย่างต่อเนื่อง นิ่งๆ
ใจความสำคัญของการเทรดกองทุนคือ “ต่อเนื่อง ไม่วูบวาบ ไม่หวือหวา”
ถ้าคุณยังมีความรู้สึกลุ้นหัวทิ่ม ใจหายใจคว่ำ ทำกำไรได้ทีละเยอะๆ เสียทีละเยอะๆ ลากเยอะๆ เบิ้ลไม้ เติมพอร์ต อยู่ในการเทรดของคุณ อาจจะแปลว่าระบบที่เทรดไม่ใช่ระบบที่ดีในการเทรดกองทุนครับ
กองทุนไม่มีให้เติมพอร์ต และจำกัด DD ต่ำมาก เกินกว่านี้ ยึดพอร์ตทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ระบบที่ใช้เทรดกองทุนจะต้องนิ่งจนถึงขั้นรู้สึกน่าเบื่อ
อย่างพอร์ต 2 แสนดอลลาร์ที่ผมเทรด ผม DD ไม่เกิน 5% ใช้ความเสี่ยงแค่ประมาณไม้ละ 1-1.5% แค่นั้นเอง วันที่ผมลากเต็มที่หรือต้องคัท ก็อยู่แค่หลักหมื่นบาทเท่านั้นเองครับ จากพอร์ต 6 ล้านกว่าบาท
แน่นอนว่าพอมีพอร์ตใหญ่ๆ ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ แน่นอนว่าความโลภจะตามมาทันที อยากกดล็อตใหญ่ อยาก bet อยาก big win ได้ก็อยากเทรดเพิ่มให้ได้เยอะกว่าเดิม เสียก็เสียดาย อยากเอาคืน
ตรงนี้เป็นเกมของจิตใจที่ใช้ระบบและวินัยเข้ามาควบคุม ถ้าเราควบคุมความโลภไม่ได้ ก็จะรักษาพอร์ตไว้ไม่ได้
กำไรเยอะๆที่ทำได้ครั้งเดียว หรือกี่ครั้งต่อเนื่องก็ไม่มีประโยชน์เลย หากมันถูกเอาคืนไปทั้งหมดในครั้งเดียวที่เราเสีย
ผมเรียนรู้มายเซ็ทเรื่องความสม่ำเสมอนี้มาจากพี่ซึ่งผมเคารพเป็นอาจารย์คนหนึ่ง และเป็นคนสอนเทคนิคใช้งานฟิโบแบบที่ผมใช้อยู่ในในปัจจุบันให้กับผม ซึ่งพี่เค้าเทรดอยู่กับบ้าน เอากำไรแค่ 3-4 หมื่นบาทต่อเดือน ในพอร์ตตัวเอง โดยเทรดในทุนเท่าเดิม ถอนกำไรทุกเดือน แต่ถอนแบบนี้มา 8 ปีต่อเนื่องแล้วครับ
ในตอนแรกผมก็ไม่เก็ท ก็คิดว่าทำไมเอาน้อยจัง ระบบดีขนาดนี้ ทำไมไม่ bet ให้ได้เยอะๆกว่านี้ เทรดพอร์ตใหญ่ๆกว่านี้ เอากำไรไปเทรดต่อเรื่อยๆ จะได้กำไรเยอะๆกว่านี้ ซึ่งพี่เค้าก็ไม่ได้แย้งอะไร บอกแต่ว่าตอนหนุ่มๆพี่เค้าทำมาหมดแล้ว พี่เค้าก็ขาซิ่งตัวตึงยืนหนึ่งมาก่อน และเข้าใจเราดี เค้าเห็นตัวเค้าเองตอนหนุ่มๆในตัวเรา (ตอนนี้พี่เค้า 50 กว่าแล้วครับ) ให้เราไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง
สุดท้ายพอได้เรียนรู้กับตัวเอง และประสบการณ์ของคนรอบตัว ก็ได้รู้ว่าการทำได้อย่างต่อเนื่อง และ ความสม่ำเสมอ คือคีย์สำคัญที่สุด สำหรับ Fulltime Trader ที่อยากเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนี้อย่างยั่งยืนจริงๆครับ
ทำกำไรไปแบบนิ่งๆ ถอนอย่างสม่ำเสมอ ในจำนวนเงินของพอร์ตที่พอเหมาะกับใจของเรา ไม่ต้องเอากำไรเยอะๆไปอวดใคร ไม่มีคำว่าล้างพอร์ต ไม่มีคำว่าชีวิตพัง ซึ่งผมก็น้อมรับและนำมาใช้กับตัวเองมาตลอด
วันนี้หากเพื่อนๆยังไม่ไปถึงจุดที่เทรดกองทุน อยากให้ลองฝึกมายเซ็ทนี้เตรียมรอไว้ก่อนครับ เพราะมันจะติดเป็นสไตล์การเทรดของตัวเราไปตลอด (กลับกัน ถ้าติดนิสัยเทรดแบบนักพนันไปแล้วมันจะติดตัวไปอีกแบบและแก้ยากมากครับ ซึ่งเป็นคนละสายกับการเทรดกองทุนแบบขาวกับดำเลย) ไม่ว่าพอร์ตเท่าไหร่ก็สามารถฝึกได้ ให้ลองเทรดเสมือนเราเทรดกองทุนอยู่ อย่าโฟกัสที่กำไร ให้โฟกัสที่การรักษาพอร์ต %ที่เรายอมเสีย และความต่อเนื่อง คัทให้เป็น
พอวันนึงที่พร้อม ผมก็เอามายเซ็ทนี้มารวมร่างกับการเทรดกองทุนได้พอดี ซึ่งมันบังเอิญเป็นคีย์สำคัญของการเทรดกองทุนเลยครับ ผลลัพธ์คือผมก็ถอนอย่างต่อเนื่องได้เหมือนเดิม แต่ในพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น และกำไรที่มากขึ้น
3. #รู้กฎของกองทุนที่เทรด
เมื่อได้พอร์ตมาแล้ว ทำกำไรอย่างสม่ำเสมอได้แล้ว ก็อย่ายอมเสียพอร์ตไปแบบโง่ๆครับ
ดังนั้น ต้องรู้กฎของกองทุนให้ละเอียด ทุกข้อ ทุกข้อยกเว้น แล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เช่น เรื่อง ห้ามเทรดชนข่าว DD ต่อวัน ต้องปิดออเดอร์เมื่อไหร่ หรืออะไรก็ตาม และต้องมี “สติ” เสมอ ในการเทรด วันเดียวที่เราตื่นมาเทรดโดยไม่ได้เช็คกล่องแดงก่อนเทรด ก็สามารถทำให้โดนยึดพอร์ตและกำไรทั้งหมดไปได้เลยโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
ก่อนเริ่มทำงานต้องมีสติอยู่เสมอ และรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราทำอะไรอยู่ เทรดอย่างระวังและตั้งใจทุกๆออเดอร์ ไม่สามารถเข้าๆไปก่อนแล้วไปนอน หรือเข้าเพิ่มโดยไม่คำนวณอย่างรอบคอบ แบบพอร์ตของตัวเองที่เคยทำ โดยเด็ดขาด
วันไหนที่ง่วง เหนื่อย เมา ป่วย มีเรื่องรบกวนจิตใจ ไม่มีสติครบถ้วนเต็ม 100% ออกไปธุระ ไปเที่ยว ถ้ารู้ว่าโฟกัสไม่ได้ให้ปิดจอพักผ่อนครับ อย่าเทรด ข้ออ้างอะไรที่เราจะเอามาใช้ปลอบใจตัวเองทีหลังก็คงไม่มีประโยชน์หากโดนยึดพอร์ต
กองทุนไม่มีกำหนดเป้ากำไรที่เราต้องทำได้ ดังนั้นไม่จำเป็นที่เราต้องเทรดทุกวัน หน้าที่ของเรามีแค่รักษาพอร์ตเท่านั้น และเราจะยังมีพอร์ตให้เทรดไปเรื่อยๆตราบใดที่เรายังไม่ผิดกติกา ทำหน้าที่เดียวอันนี้ให้ดีที่สุดครับ
4. #รู้วิธีในการปั้นและประคองกำไร
ผมจะไม่ใช้คำว่า พอให้เป็น เพราะถ้าเราพอ ในจุดที่ไปต่อได้ เราก็จะไม่สามารถรีดกำไรสูงสุดออกมาจากพอร์ตกองทุน
เพราะมันยากมากที่จะบอกว่ากำไรแค่ไหนควรจะพอ เช่น 1 แสนบาทพอรึยัง 2 แสนบาทหยุดเทรดเลยมั้ย หรือ 5 แสนแล้วต้องไปต่อให้ถึงล้านมั้ย ดังนั้นเราต้องอย่าให้ความกลัว และ ความโลภ มาเป็นตัวกำหนดว่าเราต้องทำกำไรให้ได้เท่าไหร่
ผมจะไม่กำหนดเป้าที่ผมต้องหยุดไว้เป็นตัวเลข แต่กำหนดเป็น % ความเสี่ยง และกำหนดเป้าที่เรารับได้หากเสียเอาไว้ก่อนเทรดเสมอ
สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำกำไร คือการปั้น และ ประคองกำไร
ในที่นี้คือพอเราได้กำไรมาแล้ว เรากันกำไรส่วนนี้ออกมาเทรดต่อ และยอมเสียแค่ในกำไรส่วนนี้ที่เราตั้งธงไว้ และค่อยๆทำซ้ำต่อไปแบบที่เราทำ โดยไม่มีการเทรดแบบเอาคืน หรือนอกระบบโดยเด็ดขาด WR และ RR ของระบบของเรา ที่มันเวิร์คอยู่แล้ว มันจะทำหน้าที่ช่วยเราปั้นพอร์ตและประคองกำไรไปเอง
ดังนั้น ผมไม่มีเป้าว่าในแต่ละเดือนต้องเทรดให้ได้กำไรเท่าไหร่ กำไรในแต่ละเดือนแล้วแต่ตลาดจะเป็นใจ และแล้วแต่ว่าผมมีเวลาเทรดมากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่ให้เราพยายามดันทุรังเทรด หรือกดดัน กำไรก็คือกำไร
กำไรมีเพิ่มมีลดในระหว่างเดือนคือเรื่องปกติมาก พยายามปั้นและประคองกำไรไปให้ได้ไกลที่สุด ตามระบบ อย่างมีสติ แต่ก็จงพอใจกับกำไรที่เราได้ถอน และพอร์ตที่เรารักษาไว้ได้
5. #ทำยังไงก็ได้ให้มีพอร์ตสำหรับเทรดต่อไปในวันพรุ่งนี้
สิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดกองทุน คือ “ทำยังไงก็ได้ไม่ให้โดนยึดพอร์ต”
นอกจากจะต้องทำตามกติกาของกองทุนอย่างเคร่งครัดแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือคุณจะต้อง “แพ้ให้เป็น” เพราะ ในการเทรด ไม่มีทางที่กราฟจะเป็นใจทุกวัน ไม่มีระบบที่ WR 100%
ถ้าดู Stat การเทรดของผม จะเห็นว่าไม่ได้มีแต่กราฟขึ้นๆอย่างเดียว แต่มีย่อ มีกำไรหายไปด้วยบ้าง ทั้งที่ชน SL และที่ผมคัทมือ ใครที่กลัว SL คุณออกจากแก๊งค์เราไปเลย
ให้มองว่าเป็นการย่อเพื่อไปต่อ อย่าไปจมอยู่กับวันที่ผิดพลาด ให้คิดเสมอว่าการคัทก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบ เชื่อในระบบแล้วไปต่อ ด้วยใจที่นิ่ง สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาพอร์ตเอาไว้ให้ได้ ในวันที่กราฟไม่เป็นใจ
ในพอร์ตของตัวเอง หลายคนอาจจะมีประสบการณ์ที่เรารักษาพอร์ตโดยการ MM เติมเงิน แก้ไม้ในแนวถัดไป ซึ่งไม่ผิด แต่ การเทรดพอร์ตกองทุน เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย สิ่งเดียวที่เราทำได้เพื่อรักษาพอร์ตเอาไว้ คือ การคัท เท่านั้น เพื่อไม่ให้ DD เกิน
อย่าลืมว่าเงินในพอร์ตไม่ใช่เงินเราด้วย คัทไปเราก็ไม่ได้เสียเงินอะไรจริง แต่ถ้าเราไม่คัทนี่สิ เราต้องเสียพอร์ตและกำไรไป และต้องสอบใหม่เสียเงินเสียเวลาอีก
ดังนั้น คัทเถอะครับ “กำไรเราจะทำใหม่เท่าไหร่ก็ได้” ถ้ามาถึงจุดนี้แล้วจะรู้ว่าการทำกำไรมันไม่ยากเลย ขอแค่อย่าทำให้พอร์ตเสียหายจนถูกยึดก็พอ
“ไม่ว่าจะเป็น Bad day สำหรับการเทรดแค่ไหน พรุ่งนี้ต้องยังมีพอร์ตให้เทรดต่ออยู่” ผมบอกตัวเองแค่นี้
สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้กับเทรดเดอร์กองทุน และเทรดเดอร์ที่สนใจเดินทางไปในเส้นทางนี้ด้วยกันทุกคนนะครับ มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าคนอื่นทำได้ คุณก็สามารถทำได้เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องเรียนกับผมก็ได้ ผมไม่ซีเรียสเลย ใครอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน หากไม่มีทุนเรียน สามารถติดตาม Live ฟรี ของผม ทุกๆคืนวันอาทิตย์ และ วันพุธ 19:30 ได้ครับ คู่ที่ผมเข้าเทรด ก็คือคู่ที่ผมวิเคราะห์ไปในไลฟ์นั่นแหละ เทคนิคต่างๆ ก็แกะเอาจากในไลฟ์ได้ครับ
แต่ ท่านไหนอยากเรียนระบบเทรดของผม เรียนรู้หน้างาน และแชร์แผนกันในกลุ่มไลน์นักเรียนกับผม ทักแชทเพื่อขอรายละเอียดคอร์สเรียน และ รับราคาพิเศษ ทางแชทได้เลยครับ
บอกไว้ก่อนว่าคอร์สเรียนแพงแน่นอน แต่ลองคิดดูครับว่ามูลค่าของคอร์สเรียน Basic + Advanced ยาวกว่า 50 ชั่วโมง พร้อมกลุ่มไลน์นักเรียน อะเลิทต่างๆแบ่งปันให้ใช้ฟรี มีอัพเดทเนื้อหาให้ตลอด ปรึกษาผมส่วนตัวได้ตลอดชีวิต และที่สำคัญวิชาความรู้ และประสบการณ์ทั้งหมดของผม ที่ผมใช้ถอนเงินเดือนละหลายแสนทุกเดือน ควรจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่ แล้วจะรู้ว่าผมสอนให้ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ
วันนี้ผมพอใจในระบบ และกำไรที่ทำได้แล้ว จึงตั้งใจจะส่งต่อสิ่งดีๆกลับไปให้สังคมการเทรดให้เต็มที่ในปีนี้ โดยการตั้งใจสอน และแบ่งปันความรู้และวิเคราะห์กราฟฟรีให้ไปเรื่อยๆ ทั้งนักเรียนที่เรียนกับผม เพื่อนๆที่ติดตามอ่านในเพจ และที่ติดตามดูไลฟ์ ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
อยากเป็นเทรดเดอร์กองทุน พิมพ์ +1 แล้วแชร์เก็บไว้อ่าน
อยากให้ทำ Live ตอนพิเศษ ถาม-ตอบ แชร์ความรู้ ข้อมูล ประสบการณ์ เกี่ยวกับการเทรดกองทุนโดยเฉพาะ พิมพ์ +2
ถ้ามีประโยชน์ ฝากกดไลค์ กดแชร์ คอนเท้นท์นี้ และขอให้ทุกคนทำสำเร็จเป็นเทรดเดอร์กองทุนได้ตามตั้งใจครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10