ผู้เขียน หัวข้อ: ระบบแม่ปลาปากกาเขียว  (อ่าน 39 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1041
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ระบบแม่ปลาปากกาเขียว

หัวข้อหลัก: การตีกรอบราคาหลัก (ระบบแม่เปลาะ)

เนื้อหาในสไลด์เป็นการอธิบายถึงเงื่อนไขและหลักการในการตีกรอบราคานี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

สิ่งที่ต้องทำก่อนเข้าเทรด:

เริ่มเข้าเทรดตอน 07.00 น. และจะเทรดเฉพาะในกรอบ Day (H4) H1 เท่านั้น: หมายถึง การเข้าทำการซื้อขายจะเริ่มตอนเช้า และใช้ Timeframe (กรอบเวลา) ที่ใหญ่ขึ้นคือ Day และ H4 (กราฟ 4 ชั่วโมง) และ H1 (กราฟ 1 ชั่วโมง) ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ โดยมีการระบุว่าใช้โบรกเกอร์ EXNESS เท่านั้น ซึ่งอาจหมายถึงเงื่อนไขบางอย่างที่รองรับกับระบบนี้

การตีกรอบบนและล่าง:

ตีกรอบปลายไส้ H4 (กราฟ 4 ชั่วโมง): ให้ตีกรอบโดยใช้ปลายไส้ของแท่งเทียนในกราฟ H4

กรอบบนกับกรอบล่างต้องห่างกัน 1,000 จุดขึ้นไป: จุดในที่นี้มักจะหมายถึงหน่วยของราคา (เช่น pip หรือ point) ซึ่งแสดงถึงความกว้างของกรอบราคาที่ตีขึ้นมา

ต้องมีจุดสัมผัส 7-17 จุด (ตีกรอบที่แข็งแรง): กรอบราคาที่ตีขึ้นมาจะต้องมีจุดที่กราฟราคามาสัมผัส (หรือชน) ที่เส้นกรอบบ่อยๆ ยิ่งมีจุดสัมผัสมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่ากรอบนั้นแข็งแรงและน่าเชื่อถือ

แล้ววัดระยะจากเส้นล่างไปเส้นบน 1,000 จุด: เป็นการยืนยันความกว้างของกรอบอีกครั้งว่ามีระยะห่างตามที่กำหนด

การตีแนวรับ-แนวต้านย่อย:

ตีแนวรับ-แนวต้านย่อยประมาณ 500 จุดจากปลายสุดจากปลายไส้ H1: นอกจากการตีกรอบหลักแล้ว ยังมีการตีแนวรับ-แนวต้านย่อยเพิ่มเติมโดยใช้กราฟ H1 ซึ่งมีรายละเอียดมากขึ้น

มีจุดสัมผัส 7-14 จุดเช่นกัน: แนวรับ-แนวต้านย่อยก็ควรมีจุดที่กราฟมาสัมผัสจำนวนมากเพื่อความน่าเชื่อถือ

แนวโน้มด้านบน-ด้านล่างมีกรอบ 1,000 จุดเสมอ: เป็นการเน้นย้ำว่ากรอบราคาที่สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะด้านบนหรือด้านล่างควรมีความกว้างประมาณ 1,000 จุด

คำเตือน/ข้อควรระวัง:

ลูกศรที่คิดเห็นที่เป็น sig ของระบบเราหรือในระบบไม่มี?: ไม่แน่ใจว่า "sig" หมายถึงอะไรในที่นี้ แต่อาจจะเป็นตัวบ่งชี้หรือสัญญาณบางอย่างที่ระบบอาจมีหรือไม่มี

ถ้ายังไม่มี PA ชุด sig ให้เข้าออเดอร์ก่อนกลับมาดูหลักการเข้าตามเงื่อนไขเข้าออเดอร์: "PA" น่าจะหมายถึง Price Action (พฤติกรรมราคา) และ "ชุด sig" อาจหมายถึงชุดสัญญาณที่ใช้ในการเข้าเทรด หากยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ก็อาจจะยังไม่ควรเข้าออเดอร์ หรือต้องกลับไปทบทวนหลักการเข้าออเดอร์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก่อน

การตีกรอบของคีย์พีช:

ตีกรอบทุกราคาที่ลงท้ายด้วย 0 และ 5: อันนี้เป็นส่วนที่น่าสนใจและเฉพาะเจาะจงมาก โดยระบุว่าให้ตีกรอบที่ระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 0 หรือ 5 เท่านั้น เช่น 2605, 2610, 2615, 2620 เป็นต้น ซึ่งหมายถึงการใช้ตัวเลขกลมๆ หรือครึ่งๆ ในการกำหนดระดับราคาสำคัญ

สรุปโดยรวม:

จากที่อธิบายมา สไลด์นี้เป็นการให้คำแนะนำและหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการใช้ระบบ "แม่เปลาะ" ซึ่งเป็นเทคนิคการตีกรอบราคาในการเทรด โดยเน้นการใช้ Timeframe ที่ใหญ่ (H4, H1) การกำหนดความกว้างของกรอบราคา (1,000 จุด) การหาจุดสัมผัสของราคาที่แข็งแรง และการใช้ระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 0 หรือ 5 เป็นหลักในการตีกรอบ ซึ่งทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจเข้าซื้อขายได้อย่างมีหลักการมากขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29/07/25 โดย admin »

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1041
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: ระบบแม่ปลาปากกาเขียว
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 29/07/25 »
วิธีการเข้าซื้อขาย (ออเดอร์) โดยใช้หลักการของระบบนี้ ค่ะ

มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกันแบบง่ายๆ นะคะ:

หัวข้อ: เงื่อนไขการเข้าออเดอร์

จุดเน้น: เข้าด้วยกรอบ
นี่คือหลักการสำคัญของระบบนี้ คือการใช้ "กรอบราคา" ที่สร้างขึ้นมาเป็นตัวตัดสินใจในการเข้าซื้อขาย

รายละเอียดและเงื่อนไขการเข้าออเดอร์:

ชิดกรอบก็มีแท่ง M5 เบรค:

"ชิดกรอบ": หมายถึง ราคามีการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้กับเส้นกรอบราคาที่เราตีไว้ (จากสไลด์ก่อนหน้านี้)

"มีแท่ง M5 เบรค": เมื่อราคาชิดกรอบแล้ว ให้รอดูแท่งเทียนใน Timeframe M5 (กราฟ 5 นาที) ถ้ามีแท่งเทียนที่เบรค (ทะลุ) ออกจากกรอบนั้น (อาจจะเบรคขึ้นหรือเบรคลงก็ได้) นั่นคือสัญญาณแรก

ภาพประกอบ: ในกราฟด้านซ้าย (XAUUSD, M5) จะเห็นว่ามีคำว่า "แท่งเบรคราคา/เบรคกรอบ" ชี้ไปที่แท่งเทียนแท่งหนึ่งที่กำลังจะพุ่งออกจากกรอบล่าง นั่นคือลักษณะที่บอกว่า "มีแท่ง M5 เบรค"

SL 300 จุดจากกรอบ:

SL (Stop Loss): คือ จุดที่เราจะตั้งค่าหยุดขาดทุน ถ้าหากราคาเคลื่อนไหวผิดทางไปจากที่เราคาดการณ์ไว้ เพื่อจำกัดความเสียหาย

"300 จุดจากกรอบ": หมายความว่า ให้ตั้งจุด Stop Loss ห่างจากเส้นกรอบราคาที่เราเข้าออเดอร์ไป 300 จุด (เช่น ถ้าเข้า Buy ที่กรอบล่าง ให้ตั้ง SL ต่ำกว่ากรอบล่างไป 300 จุด หรือถ้าเข้า Sell ที่กรอบบน ให้ตั้ง SL สูงกว่ากรอบบนไป 300 จุด)

TP 300 จุด 100%:

TP (Take Profit): คือ จุดที่เราจะตั้งค่าทำกำไรอัตโนมัติ เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่เราต้องการ

"300 จุด 100%": หมายความว่า ให้ตั้งจุด Take Profit ห่างจากเส้นกรอบราคาที่เราเข้าออเดอร์ไป 300 จุดเช่นกัน (ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน หรือ Risk/Reward Ratio เป็น 1:1)

TP 500 จุด (ดูตามหน้างาน):

อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับ Take Profit ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

"500 จุด": สามารถตั้ง Take Profit ที่ 500 จุดได้ด้วย

"ดูตามหน้างาน": หมายความว่า การตั้ง TP ที่ 500 จุดนี้จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดในขณะนั้น หรืออาจจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของกราฟหรือปัจจัยอื่นๆ ที่นักเทรดเห็นว่าเหมาะสมกว่าการตั้งที่ 300 จุด

จุดสังเกต (เป็นหลักการสำคัญในการตัดสินใจเข้าซื้อขาย):

ให้ผู้การณ์กรอบก็คือหลุดกรอบมีประกอบ: (ประโยคนี้อาจจะพิมพ์ผิดเล็กน้อย น่าจะหมายถึง "ให้พิจารณาว่าการหลุดกรอบมีองค์ประกอบอะไรบ้าง" หรือ "เมื่อเกิดการหลุดกรอบ ให้พิจารณาประกอบกับสิ่งอื่น")

หลักๆ คือ เมื่อเห็นราคาทะลุกรอบออกไป (หลุดกรอบ) ไม่ใช่แค่การทะลุเฉยๆ แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มาสนับสนุนด้วย เช่น แท่งเทียนที่ทรงพลัง หรือสัญญาณอื่นๆ

แท่งยืนกรอบก็ให้ Buy:

"แท่งยืนกรอบ": หมายถึง แท่งเทียนที่ปิดอยู่ "ในกรอบ" หรือ "เหนือ/ใต้กรอบเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่กรอบ" หรือเป็นแท่งเทียนที่แสดงการปฏิเสธราคาที่จะทะลุกรอบออกไป (เช่น มีไส้ยาวๆ ที่ปลายกรอบและกลับเข้ามาปิดในกรอบ)

"ให้ Buy": ถ้าเห็นสัญญาณ "แท่งยืนกรอบ" ที่บริเวณกรอบล่าง แสดงว่าราคาอาจจะไม่ทะลุลงไป แต่จะมีการเด้งขึ้น ก็ให้เข้าซื้อ (Buy)

แท่งหลุดกรอบก็ให้ Sell:

"แท่งหลุดกรอบ": หมายถึง แท่งเทียนที่ปิดตัวลง "นอกกรอบ" อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อราคาพุ่งทะลุผ่านกรอบอย่างรุนแรง

"ให้ Sell": ถ้าเห็นสัญญาณ "แท่งหลุดกรอบ" ที่บริเวณกรอบบน แสดงว่าราคาอาจจะทะลุลงไปและเริ่มแนวโน้มขาลง ก็ให้เข้าขาย (Sell)

ภาพประกอบด้านขวา (XAUUSD, M5):
ภาพนี้แสดงตัวอย่างของ "แท่งหลุดกรอบ" ที่บริเวณกรอบราคาบน โดยมีลูกศรชี้ไปที่แท่งเทียนสีแดงที่ทะลุกรอบบนลงมาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณให้เข้า Sell

สรุปโดยรวมของ "ระบบแม่เปลาะปากกาเขียว" ในส่วนนี้:

ระบบนี้เน้นการใช้ "กรอบราคา" ที่ตีไว้เป็นหลักในการเทรด โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ:

รอดูแท่งเทียน M5 ที่เบรคออกจากกรอบ หรือชิดกรอบ

ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ที่ 300 จุด (หรือ TP 500 จุดแล้วแต่สถานการณ์)

ตัดสินใจเข้าออเดอร์ (Buy/Sell) โดยพิจารณาจาก "แท่งยืนกรอบ" (สัญญาณซื้อ) หรือ "แท่งหลุดกรอบ" (สัญญาณขาย)

ระบบนี้ดูเหมือนจะเน้นการเทรดแบบตามแนวโน้ม (Trend Following) เมื่อราคาทะลุกรอบ หรือการเทรดแบบสวนแนวโน้ม (Counter-Trend) เมื่อราคาชนกรอบแล้วไม่ทะลุ (แท่งยืนกรอบ) ค่ะ

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1041
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: ระบบแม่ปลาปากกาเขียว
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 29/07/25 »
 "เข้าด้วย OVL (แคดแดด)" ซึ่งเป็นการอธิบายเงื่อนไขการเข้าออเดอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะใช้ร่วมกับหลักการตีกรอบราคาที่อธิบายไปก่อนหน้า

มาดูกันว่า OVL (โอเวอร์แลป หรือ แคดแดด) คืออะไร และใช้งานอย่างไรค่ะ:

หัวข้อ: เข้าด้วย OVL (แคดแดด)

หลักการหลัก:

เมื่อมีแท่งราคาเลย แนวรับ แนวต้านได้ แต่ไม่เกิน 200 จุด (OVL แคดแดด) แล้วทำค่า PA Sig ตามรูปแบบให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอผ่านแนวรับ-แนวต้าน

มาแยกอธิบายทีละส่วนนะคะ:

"เมื่อมีแท่งราคาเลย แนวรับ แนวต้านได้": หมายถึง กราฟราคาได้มีการเคลื่อนที่ผ่าน (ทะลุ) แนวรับหรือแนวต้านที่เราตีเส้นไว้ (จากสไลด์แรกๆ ที่มีการตีกรอบและแนวรับ-แนวต้านย่อย)

"แต่ไม่เกิน 200 จุด (OVL แคดแดด)": ตรงนี้สำคัญมากค่ะ! การที่ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านนั้น จะต้องทะลุไป "ไม่เกิน 200 จุด" ถ้าทะลุไปไกลกว่า 200 จุด จะไม่เข้าเงื่อนไขนี้

"OVL แคดแดด": คำว่า OVL ย่อมาจาก "Overlap" ซึ่งหมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่เหลื่อมล้ำหรือทับซ้อนกันเล็กน้อยบริเวณแนวรับ/แนวต้าน คือทะลุไปนิดเดียว ไม่ได้พุ่งทะลุไปไกล

เปรียบเทียบกับ "แคดแดด": คำว่า "แคดแดด" อาจจะเป็นคำที่ผู้พัฒนาระบบใช้เรียกเฉพาะสถานการณ์ที่ราคาทะลุไปนิดเดียวแล้วเกิดสัญญาณกลับตัว เหมือนกับว่ามันแค่ "แหย่ๆ" ออกไปแล้วก็กลับเข้ามา หรือพร้อมที่จะกลับตัว

"แล้วทำค่า PA Sig ตามรูปแบบให้เข้าออเดอร์ได้เลย":

"PA Sig": PA ย่อมาจาก Price Action (พฤติกรรมราคา) และ Sig ย่อมาจาก Signal (สัญญาณ) ดังนั้น PA Sig คือ "สัญญาณพฤติกรรมราคา" ซึ่งหมายถึงรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัวหรือไปต่อของราคา เช่น แท่งเทียนกลืนกิน (Engulfing bar), แท่งเทียนค้อน (Hammer), แท่งเทียนดาวตก (Shooting star) เป็นต้น

"ตามรูปแบบ": หมายถึง สัญญาณ PA ที่ปรากฏขึ้นนั้นจะต้องเป็นไปตามรูปแบบที่ระบบกำหนดไว้ว่าเป็นสัญญาณที่เชื่อถือได้

"ให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอผ่านแนวรับ-แนวต้าน": นี่คือข้อดีของเงื่อนไข OVL นี้ คือเราสามารถเข้าออเดอร์ได้ทันทีที่เห็นสัญญาณ PA หลังจากที่ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านไปไม่เกิน 200 จุด โดยไม่ต้องรอให้ราคากลับมายืนยันบน/ล่างแนวรับ/แนวต้านเดิมอีกครั้ง

ภาพประกอบในสไลด์:

ภาพทางขวาแสดงกราฟ XAUUSD (ทองคำ) ใน Timeframe M5 (กราฟ 5 นาที) และมีการตีเส้นแนวรับ/แนวต้าน (เส้นสีม่วง) และเส้นกรอบราคา (เส้นสีฟ้า)

กรอบสีน้ำเงินทางซ้ายมือ: จะเห็นว่ามีแท่งเทียนสีแดง (แท่งขาลง) ทะลุเส้นแนวรับสีม่วงลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลงไปไกลมากนัก หลังจากนั้นก็มีแท่งเทียนสีเขียว (แท่งขาขึ้น) ตามขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณ PA ที่บอกให้เข้า Buy (ซื้อ)

กรอบสีน้ำเงินทางขวามือ: คล้ายกันกับด้านซ้าย แต่เป็นสถานการณ์ที่ราคาขึ้นไปชนแนวต้านสีม่วง แล้วมีแท่งเทียนสีแดงลงมาเล็กน้อย หลังจากนั้นมีแท่งเทียนสีเขียวพยายามขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้ทะลุไปไกล และสุดท้ายมีแท่งเทียนสีแดงที่บ่งบอกถึงการกลับตัวลง ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณ PA ที่บอกให้เข้า Sell (ขาย)

สรุปเงื่อนไขการเข้าออเดอร์ด้วย OVL (แคดแดด) แบบง่ายๆ:

เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อ:

ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ที่เราตีไว้ (ไม่ว่าจะเป็นกรอบหลัก หรือแนวรับ-แนวต้านย่อย)

การทะลุนั้นต้องไม่ไกลมากนัก "ไม่เกิน 200 จุด" (นี่คือลักษณะของ OVL หรือแคดแดด)

จากนั้นปรากฏ "สัญญาณ PA" (รูปแบบแท่งเทียน) ที่บอกถึงการกลับตัว หรือไปต่อตามรูปแบบที่กำหนดไว้

เมื่อครบเงื่อนไข ให้เข้าออเดอร์ได้เลย ไม่ต้องรอให้ราคายืนยันการทะลุแนวรับ/แนวต้านอย่างเต็มตัว

กลยุทธ์นี้เหมือนเป็นการ "ดัก" หรือ "หาจังหวะ" เข้าเทรดในบริเวณที่ราคาเกิดการทดสอบแนวรับ/แนวต้านแล้วมีการกลับตัวเกิดขึ้น โดยที่การทะลุแนวรับ/แนวต้านนั้นเป็นการทะลุแบบเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่การทะลุที่รุนแรงและมีโมเมนตัมสูง

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1041
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: ระบบแม่ปลาปากกาเขียว
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 29/07/25 »
"เงื่อนไขการเข้าออเดอร์" ในระบบ "แม่เปลาะปากกาเขียว" โดยเน้นที่การ "เข้าด้วย SIG+กรอบ" ซึ่งหมายถึงการใช้สัญญาณ (Signal) ร่วมกับหลักการกรอบราคา

มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกันนะคะ:

หัวข้อ: เข้าด้วย SIG+กรอบ

นี่คือเงื่อนไขการเข้าออเดอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นการใช้สัญญาณควบคู่ไปกับกรอบราคา

รายละเอียดและเงื่อนไข:

เกิด Sig TF. H1 H4 D1 W1 MN

"Sig": ย่อมาจาก Signal (สัญญาณ) ซึ่งในบริบทของการเทรด มักจะหมายถึงสัญญาณการซื้อขายที่เกิดจากอินดิเคเตอร์บางตัว หรือจากรูปแบบราคา/แท่งเทียนที่ระบบกำหนดไว้

"TF. H1 H4 D1 W1 MN": หมายถึง สัญญาณนี้จะต้องเกิดขึ้นใน Timeframe (กรอบเวลา) ที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่:

H1 (1 ชั่วโมง)

H4 (4 ชั่วโมง)

D1 (1 วัน)

W1 (1 สัปดาห์)

MN (1 เดือน)

ความหมาย: ระบบนี้ไม่ได้ใช้แค่กราฟเล็กๆ อย่าง M5 ในการเข้าออเดอร์ แต่ยังต้องใช้สัญญาณจากกราฟ Timeframe ใหญ่ๆ มายืนยันด้วย เพื่อให้สัญญาณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ถ้ายังเกิด Sig เหมือนกันตั้งแต่ 2 TF โอกาสกราฟวิ่งถึง TP 100%

"ถ้ายังเกิด Sig เหมือนกันตั้งแต่ 2 TF": นี่คือการยืนยันสัญญาณที่สำคัญมาก หากพบสัญญาณเดียวกัน (เช่น สัญญาณ Buy) เกิดขึ้นพร้อมกันใน Timeframe ใหญ่ 2 กรอบขึ้นไป (เช่น เห็นสัญญาณ Buy ทั้งใน H1 และ H4 พร้อมกัน)

"โอกาสกราฟวิ่งถึง TP 100%": หมายความว่า หากสัญญาณได้รับการยืนยันจาก Timeframe ใหญ่หลายๆ Timeframe จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาจะวิ่งไปถึงจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

ภาพประกอบด้านซ้าย (XAUUSD, H1): จะเห็นว่ามีจุด "P2" (ซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสัญญาณ) เกิดขึ้นในกราฟ H1 ทั้งในจุดที่ราคากลับตัวขึ้นและกลับตัวลง แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น

เมื่อเมื่อเกิด Sig Buy ไปเข้าออเดอร์ M5 เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งยืนกรอบได้

"เมื่อเกิด Sig Buy": เมื่อเราเห็นสัญญาณ Buy ใน Timeframe ใหญ่แล้ว (ตามเงื่อนไขด้านบน)

"ไปเข้าออเดอร์ M5": ให้เปลี่ยนไปดูที่กราฟ M5 (กราฟ 5 นาที) เพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่แม่นยำ

"เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งยืนกรอบได้": และให้เข้า Buy เมื่อเห็นแท่งเทียน M5 ที่:

"เบรคราคา": คือทะลุแนวต้านหรือกรอบขึ้นไป

"แท่งยืนกรอบ": คือแท่งเทียนที่แสดงการยืนยันว่าจะไม่หลุดกรอบลงไป (เช่น เป็นแท่งเทียนที่กลับตัวขึ้นมาจากกรอบล่าง)

เมื่อเกิด Sig Sell ไปเข้าออเดอร์ M5 เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งหลุดกรอบ

"เมื่อเกิด Sig Sell": เมื่อเราเห็นสัญญาณ Sell ใน Timeframe ใหญ่แล้ว

"ไปเข้าออเดอร์ M5": ให้เปลี่ยนไปดูที่กราฟ M5 เพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่แม่นยำ

"เมื่อมีแท่งเบรคราคาหรือแท่งหลุดกรอบ": และให้เข้า Sell เมื่อเห็นแท่งเทียน M5 ที่:

"เบรคราคา": คือทะลุแนวรับหรือกรอบลงไป

"แท่งหลุดกรอบ": คือแท่งเทียนที่แสดงการยืนยันว่าจะไม่เด้งกลับขึ้นไป (เช่น เป็นแท่งเทียนที่ทะลุกรอบบนลงมาอย่างชัดเจน)

ภาพประกอบด้านขวา (XAUUSD, M5):
ภาพนี้เป็นตัวอย่างของกราฟ M5 ที่แสดงให้เห็นการเกิด "แท่งเบรคราคา/เบรคกรอบ" และ "แท่งยืนกรอบ" ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดจะเข้าออเดอร์ตามสัญญาณที่ได้จาก Timeframe ใหญ่

สรุปเงื่อนไข "เข้าด้วย SIG+กรอบ" แบบง่ายๆ:

เป็นกลยุทธ์การเข้าออเดอร์ที่เน้นการผสมผสานระหว่าง:

สัญญาณ (Sig) ที่แข็งแกร่ง: โดยดูสัญญาณที่เกิดขึ้นใน Timeframe ใหญ่ (H1, H4, D1, W1, MN) หากมีสัญญาณเดียวกันในหลาย Timeframe ยิ่งดี เพราะจะเพิ่มโอกาสสำเร็จ

การหาจุดเข้าที่แม่นยำใน M5: เมื่อได้สัญญาณจาก Timeframe ใหญ่แล้ว ให้เปลี่ยนไปดูกราฟ M5 เพื่อหาจังหวะเข้าออเดอร์ที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้หลักการของ "แท่งเบรคราคา" (ทะลุกรอบ) หรือ "แท่งยืนกรอบ" (กลับตัวจากกรอบ) ที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้

การรวมกันของสัญญาณจาก Timeframe ใหญ่และการหาจุดเข้าที่ละเอียดใน Timeframe เล็ก จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเข้าซื้อขายในระบบ "แม่เปลาะปากกาเขียว" นี้ค่ะ

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1041
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: ระบบแม่ปลาปากกาเขียว
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 30/07/25 »
วงจรการเทรด 4 ขั้นตอน (เข้าใจง่ายๆ)

สมมติว่าคุณกำลังดูราคาสินค้าหรือหุ้นตัวหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในตลาด มันจะมีอยู่ 4 จังหวะหลักๆ วนไปมาแบบนี้ครับ:

เกิด Sig (เกิดสัญญาณ):

ง่ายๆ คือ: เหมือนกับการที่ "ไฟเขียวขึ้น" หรือ "มีสัญญาณบ่งบอก" ว่าราคากำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน (เช่น กำลังจะขึ้น หรือกำลังจะลง) นี่คือจังหวะที่คุณต้องสังเกตดีๆ ครับ

วิ่งครบรอบ Sig (วิ่งตามสัญญาณ):

ง่ายๆ คือ: พอมีสัญญาณแล้ว ราคามันก็จะเริ่ม "วิ่งตามทิศทางที่สัญญาณบอก" ไปเรื่อยๆ เป็นระยะทางหนึ่ง เหมือนรถที่ออกตัวไปแล้ววิ่งไปตามถนน

ตัวเลขที่เห็น (H1 1,000, H4 1,500-3,000, Day 2,500-5,000, Week 10,000-15,000, MN 15,000-30,000) คือ ระยะทางที่ราคาวิ่งไปได้ ในแต่ละ "กรอบเวลา" (Timeframe)

H1 (1 ชั่วโมง) วิ่งได้ 1,000 จุด

H4 (4 ชั่วโมง) วิ่งได้ 1,500-3,000 จุด

Day (1 วัน) วิ่งได้ 2,500-5,000 จุด

Week (1 สัปดาห์) วิ่งได้ 10,000-15,000 จุด

MN (1 เดือน) วิ่งได้ 15,000-30,000 จุด

ยิ่งกรอบเวลานานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งวิ่งได้ระยะทางเยอะขึ้นเท่านั้น เพราะมันมีเวลาเคลื่อนไหวมากกว่า

พักตัว:

ง่ายๆ คือ: หลังจากที่ราคาวิ่งมาได้สักพัก มันก็จะ "เหนื่อย" และ "พักหายใจ" ไม่ได้วิ่งไปในทิศทางเดิมอย่างรวดเร็วอีกต่อไป เหมือนรถที่วิ่งมาไกลๆ ก็ต้องจอดแวะพักบ้าง

การพักตัวมีหลายแบบ:

พักตัวครบรอบ Sig: พักจนหมดแรงที่วิ่งมา เหมือนพักจนครบระยะทางที่ควรจะพัก

พักครึ่ง: พักแค่ครึ่งทางที่วิ่งมา

พักสวิง: พักแบบแกว่งไปแกว่งมา ไม่ได้ขึ้นหรือลงชัดเจน แต่เป็นการทรงตัว

Sideway (ออกข้าง):

ง่ายๆ คือ: หลังจากพักตัวแล้ว ราคามันก็ยังไม่ไปไหนชัดเจน "วิ่งอยู่กับที่" หรือ "วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ในกรอบแคบๆ" เหมือนรถที่ติดไฟแดง ขยับไปนิดหน่อยแต่ไม่ได้ไปไหนไกลๆ นี่คือช่วงที่ตลาดไม่ไปไหน เป็นช่วงที่นักเทรดมักจะรอดูสัญญาณใหม่

ข้อสำคัญ: "การพักตัว" และ "Sideway" สามารถเกิดขึ้นสลับกันไปมาได้ ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเป๊ะๆ บางทีพักแล้วพักอีก หรือ Sideway แล้ว Sideway อีกก็ได้ ไม่ได้ตายตัว

สรุปภาพรวม:

จินตนาการว่าราคาคือรถยนต์คันหนึ่ง:

เกิด Sig: มีคนสตาร์ทรถ (เริ่มมีสัญญาณ)

วิ่งครบรอบ Sig: รถเริ่มวิ่งออกไปตามถนน (ราคาเคลื่อนไหวตามเทรนด์)

พักตัว: รถแวะปั๊ม เติมน้ำมัน พักคนขับ (ราคาเริ่มชะลอตัว ไม่ไปไหนแรงๆ)

Sideway: รถจอดติดไฟแดง หรือวนอยู่ในลานจอดรถ (ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางชัดเจน)

จากนั้น วงจรก็จะวนกลับไปที่ข้อ 1 คือรอสัญญาณใหม่ เพื่อให้รถออกตัววิ่งไปอีกครั้งครับ