ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปเนื้อหา 9 ข้อ  (อ่าน 34 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 983
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
1. ขนาดการเทรด (Position Sizing)
“ไม่ใช่แค่เทรดถูกทาง แต่ต้องขนาดถูกด้วย”
- ขนาดการเทรด (position size) คือจำนวนเงินที่เราต้องจัดสรรให้กับออเดอร์หนึ่งๆ ซึ่งจะกำหนด ระดับความเสี่ยง โดยตรง
- เทรดเดอร์ระดับโลกอย่าง Mark Minervini แนะนำว่า อย่าเสี่ยงเกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- หากเจอโอกาสที่มั่นใจมาก เช่น เบรกเอาท์จากฐานที่แน่นด้วย Volume สูง อาจเพิ่ม position size ขึ้น
- ส่วนสำคัญคือ “ไม่เพิ่มขนาดการเทรดในเทรดที่แพ้” ต้องเพิ่มเฉพาะตอนที่ “ตลาดเป็นเทรนด์”
เคล็ดลับ: เริ่มต้นออเดอร์เล็กๆก่อน เพื่อทดสอบตลาด แล้วค่อยเพิ่มขนาดเมื่อแน่ใจ
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
“อย่าฟังข่าว ให้ดูกราฟ”
- นักเทรด Momentum เชื่อมั่นในการดู พฤติกรรมของราคา (price action) และ ปริมาณ (volume)
- มองหาสัญญาณอย่าง Breakout (ราคาทะลุแนวต้าน) หรือ Pullback ในขาขึ้นที่มีลักษณะ Bullish Flag หรือ Cup & Handle
- Base ที่แน่น ซึ่งเป็นการสะสมหุ้นของรายใหญ่
- ใช้เครื่องมือเช่น Moving Average, Relative Strength, Volume, MACD เพื่อตรวจสอบแรงส่งของราคาที่เกิดขึ้น
เคล็ดลับ: กราฟคือภาพสะท้อนทุกอย่าง แม้ข่าวยังไม่ออก ราคาก็วิ่งไปแล้ว
3. ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamentals)
“โมเมนตัมที่ดี มักตามมาด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง”
- ถึงจะเน้นเทคนิค แต่นักเทรดหลายคนยังใช้ปัจจัยพื้นฐานช่วยกรองหุ้นที่ “มีของ”
- พิจารณา:
- EPS (กำไรต่อหุ้น) โตต่อเนื่อง
- รายได้โตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรม
- อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแรง
- หนี้สินต่ำ และ ROE สูง
- หุ้นเติบโต (growth stocks) ที่มีพื้นฐานดี มักให้โมเมนตัมการเติบโตที่ยาวนาน
เคล็ดลับ: ใช้พื้นฐานกรองหุ้น แล้วใช้เทคนิคเลือกจังหวะเข้า


4. สภาวะตลาด (General Market)
“รู้ตัวว่าเล่นอยู่ในเทรนด์อะไร แล้วเทรดให้ถูกจังหวะ”
- ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หากตลาดโดยรวมอยู่ในเทรนด์ขาลง การเทรดฝั่ง Long ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง
- Momentum Traders
- จะดูภาพใหญ่ผ่านดัชนีเช่น S&P500, Nasdaq
- สังเกต breadth เช่น จำนวนหุ้นที่ทำ New High vs. New Low
- หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดตอนที่ตลาดแกว่งแรงหรือขัดแย้งกันหลาย Timeframe
เคล็ดลับ: เทรดเฉพาะตอนที่ตลาดสนับสนุน ไม่ฝืนกระแสใหญ่
5. เกณฑ์การเข้าซื้อ (Entry Criteria)
“เข้าเมื่อทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน”
- นักเทรดระดับโลกมี “เกณฑ์เข้าเทรดที่ตายตัว” และไม่ยอมละเมิด
- ตัวอย่าง entry:
- ราคาทะลุแนวต้านหลังสร้างฐานที่แน่น
- Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไม่มีแรงขายสวนหรือเกิดแท่ง red candle ใหญ่ระหว่าง breakout
- บางคนรอให้ “เบรก” แล้ว “ย่อกลับมาทดสอบ” เพื่อความปลอดภัย
เคล็ดลับ: อย่าเดา อย่าเร่งจังหวะ รอให้สัญญาณเกิดจริง
6. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
“เงินทุนคือกระสุน อย่าใช้เปลืองถ้าไม่ได้เป้า”
- ตั้ง Stop loss ทุกครั้ง โดยคิดจาก % ความเสี่ยงของพอร์ต
- อย่าถัวเฉลี่ยขาดทุน! เทรดเดอร์ Momentum จะเพิ่มเฉพาะหุ้นที่กำลังทำกำไรเท่านั้น
- ใช้ R-multiple หรือ Reward:Risk Ratio เช่น ต้องอย่างน้อย 2:1
- คำแนะนำจาก Minervini: “เทรดให้ชนะ 50% แต่มี R มากกว่า 2 ก็พอรอดได้แล้ว”
เคล็ดลับ: รอดก่อนรวย อย่าเสี่ยงถ้าไม่มีโอกาสใหญ่
7. การบริหารการเทรด (Trade Management)
“การเข้าถูกทางไม่พอ ต้อง ‘ถือเป็น’ ด้วย”
- จัดการสถานะอย่างมีระบบ เช่น
- เมื่อกำไร 20–30% ให้ย้าย SL ตาม
- แบ่งขายบางส่วนเมื่อถึงเป้าแรก
- ถืออีกบางส่วนเพื่อเล่น trend ใหญ่
- หากราคากลับตัวแรงหรือมีสัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ ต้องพร้อมขายทิ้งทันที
เคล็ดลับ: ไม่ปล่อยให้ขาดทุนย้อนกลับมา บริหารแบบนักธุรกิจ
8. จิตวิทยาการเทรด (Psychology)
“ใจที่แกว่ง คือพอร์ตที่ร่วง”
- เทรดเดอร์ที่ดีต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
- ไม่โลภตอนกำไร
- ไม่กลัวตอนเข้าเทรด
- ไม่แก้แค้นตอนขาดทุน
- ฝึกวินัย เช่น เขียนบันทึกการเทรด สรุปบทเรียน
- พัฒนาความมั่นใจจาก “แผนที่ใช้ได้จริง” ไม่ใช่ความรู้สึก
เคล็ดลับ: ชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ กำไรก็อยู่แค่เอื้อม
9. สรุปรวมความคิด (Integrated Thinking)
“ระบบดี + จิตใจมั่นคง + บริหารความเสี่ยงได้ = เทรดเดอร์มือโปร”
- ความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่จุดเข้า แต่คือ “กระบวนการที่ครอบคลุมทุกด้าน”
- การเทรดแบบ Momentum ต้องมีระบบที่ทดสอบได้
- วินัยในการทำซ้ำ
- ความเข้าใจตลาดในเชิงลึก
- เทรดเดอร์ที่สำเร็จจะคิดเป็นระบบ (System Thinking) ไม่ทำตามอารมณ์ หรือความรู้สึกชั่ววูบ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้เข้าใจการเทรดนะครับ
แต่ยังช่วยให้ “เรารู้จักตัวเอง” มากขึ้นด้วยว่าเราชอบแบบไหน เหมาะกับสไตล์ใคร
สุดท้าย…ไม่มีสไตล์ไหนดีหรือแย่กว่า แต่อยู่ที่ว่า “เราคุมมันได้มั้ย” ต่างหากครับ
ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ แล้วชอบ คอมเม้นท์

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 983
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 22/05/25 »
1. Mark Minervini – เจ้าพ่อ SEPA System
คนนี้คือสายเป๊ะทุกจุด เขาใช้ระบบที่เรียกว่า SEPA (Specific Entry Point Analysis) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำสุดๆ
หุ้นที่เขาชอบจะต้องมีแนวโน้มขาขึ้นแรงแบบ “Super Performance” และต้องมีแรงซื้อมากพอ (วอลุ่มต้องมาด้วย)
Minervini เน้นทั้งพื้นฐานและเทคนิค แต่จะเข้าเทรดเฉพาะจังหวะที่ “คอนเฟิร์มชัดเจน” เท่านั้น
เรียกได้ว่า ถ้ายังไม่ชัวร์ – ไม่เข้าเด็ดขาด
2. David Ryan – ลูกศิษย์สายตรงของ William O’Neil
Ryan เทรดตามระบบ CAN SLIM โดยใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคแบบกลมกล่อม
เขาจะรอรูปแบบราคาที่ชัดเจน เช่น Cup with Handle, Flat Base ก่อนเข้าเทรด
สิ่งที่ไอชอบในสไตล์เขาคือ “ความอดทน” เขาไม่เร่ง ไม่รีบ รอแผนมาอย่างเดียว
และพอหุ้นเริ่มวิ่งปุ๊บ ก็พร้อมถือยาวเพื่อดึงกำไรให้มากที่สุด
3. Dan Zanger – เทพกราฟตัวจริง
ถ้าใครเป็นสายเทคนิคแบบไม่สนปัจจัยพื้นฐานเลย คนนี้คือไอดอล
Zanger เทรดด้วยการอ่านกราฟ 100% ใช้ pattern แบบคลาสสิก เช่น Head & Shoulders, Flag, Pennant, Cup & Handle
เขาถือหุ้นสั้น แต่เข้าหนัก และกล้าหมุนพอร์ตไวมาก
จุดแข็งของเขาคือ อ่านพฤติกรรมราคาได้เฉียบขาด แล้วกล้าลุยเมื่อเห็นโอกาส
4. Mark Ritchie II – นักคิดสายจิตวิทยา
Ritchie ไม่ได้เน้นรูปแบบการเทรดมากเท่าคนอื่น แต่เขาเก่งเรื่อง การจัดการความเสี่ยงและ mindset
เขามองว่า การอยู่รอดในตลาดสำคัญกว่ากำไรแบบหวือหวา
เน้นบริหารพอร์ตให้ยั่งยืน และวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นเพื่อปรับตามสภาวะตลาด
ถ้าพี่ๆ เคยรู้สึก “วุ่นวายใจตอนเทรด” หรือ “ไม่มั่นใจเวลาเจอ drawdown” ลองศึกษามุมมองของ