ผู้เขียน หัวข้อ: การด่วนพูดอะไรก่อนไม่สังเกตท่าทีอีกฝ่ายให้ดี มิต่างจากคนตาบอด  (อ่าน 367 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

su

  • Administrator
  • Full Member
  • *****
  • กระทู้: 138
  • msn =>su-81@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
การด่วนพูดอะไรก่อนไม่สังเกตท่าทีอีกฝ่ายให้ดี มิต่างจากคนตาบอด
…..
ตามงานวิจัยของมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดเมื่อปี 2004พบว่า ที่มนุษย์เราชอบพูดมากกว่าฟังนั่นป็นเพราะว่า ในขณะที่มนุษย์กำลังพูดนั้นคลื่นความถี่ในสมองจะรู้สึกมีความสุขเหมือนว่าเรากำลังกินไอติมอยู่
.
แต่การพูดมากไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เพราะจะยิ่งเผยไต๋ออกไปเยอะ
.
ครั้งนึงจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับคำแนะนำจากหานเฟยว่า อย่าเอ่ยปากก่อนผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคนพวกนั้นก็จะฉกฉวยและพูดเอาอกเอาใจต่างๆนาๆแสวงหาผลประโยชน์จากท่านได้อย่างแนบเนียน
.
ต้องให้พวกเขาขยับปากออกเสียงก่อนเท่านั้นและเมื่อนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ที่สังเกตท่าทีก็จะรู้ไต๋อีกฝ่ายทันที
.
มนุษย์เรามักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการตีความและให้ความหมายต่อท่าทางของอีกฝ่าย รวมถึงต้องการจะรับรู้ด้วยว่าจริงๆแล้วอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
.
ถ้าคุณสามารถควบคุมสิ่งที่เอ่ยจากปากคุณได้อย่างระมัดระวังและยับยั้งชั่งใจแล้วละก็อีกฝ่ายเขาก็จะไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร
.
และอีกฝ่ายก็มักจะกระโดดเข้ามาทำลายความเงียบด้วยคำพูดที่พรั่งพรูตลอดจนข่าวสารที่สำคัญและเผยไต๋ออกมา
.
แล้วคิดว่า สถานการณ์นี้ใครละคือฝ่ายที่คุมเกม
.....
สมัยที่โจโฉเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าฮั่นนั้นมีอำนาจที่ล้นฟ้า
.
โจโฉได้จัดการส่งบุคคลที่พูดจาไม่เข้าหูตนไปเฝ้ายมบาลหลายๆรายมากๆ ทั้งๆที่บุคคลเหล่านั้นมากด้วยสติปัญญาก็ตามแต่ขาดซึ่งความเฉลียว
ไม่ว่าจะเป็น เขาฮิว,ยี่เอ๋ง,เอียวสิ้ว,ขงหยง แต่มีบุคคลหนึ่งซึ่งตนเองก็ยอมรับว่าความฉลาดของเอียวสิ้วไม่ได้เป็นรองตนเลยแต่สิ่งที่เขามีมากกว่าเอียวสิ้วก็คือความเฉลียวในการพูด
.
และเขาคนนั้นก็คือ สุมาอี้ ผู้ชนะแห่งสามก๊ก
.
เทคนิคของสุมาอี้ ในการอยู่ร่วมกับโจโฉที่ขี้หวาดระแวง นั่นก็คือ
“วิธีพูดให้น้อยกว่าที่จำเป็น”
สุมาอี้เคยสั่งสอนบุตรว่า “ทำการสิ่งใดอย่าได้เบาความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ”
ผมลองมาวิเคราะห์ได้ดังนี้ จะทำอะไร จะพูดอะไร ต้องพิจารณาก่อนว่า
Need จำเป็น /Should ควร /Want ต้องการ
มันทำให้ได้รู้ว่าถ้าพูดไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นมา เงียบๆไว้ดีกว่า
และขั้นกว่านั้นก็คือ ต้องพิจารณาด้วยว่า What will happen.(อะไรจะเกิดขึ้น)
*****เอาง่ายๆ ลองถามตัวเองว่า ณ เวลานั้น ถ้าไม่ได้พูดออกไปจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม
ถ้าคำตอบคือไม่มี = เงียบ
…..
ถ้าจำเป็นที่จะต้องพูดก็จะดูท่าที สีหน้า แววตา ของอีกฝ่ายแล้วจึงพูดเท่าที่จำเป็นเพราะการที่พูดเยอะย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้เยอะ สิ่งที่ตามมมาจะเป็นเช่นไร
เพราะบางครั้ง ความจำเป็นและความจริง ต้องมาเคียงคู่กาละเทศะเสมอ
…..
คนเราเรียนรู้ที่จะพูดใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี หากแต่เรียนรู้ที่จะเงียบอาจจะต้องใช้เวลานับสิบปี
และในบางครั้งการที่ด่วนพูดอะไรออกไปโดยไม่คิดอาจจะต้องมีราคาที่ต้องจ่ายที่แสนแพงหรือบางครั้งจ่ายด้วยชีวิตก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง เขาฮิว,เอียวสิ้ว และอื่นๆอีกมากมาย
…..
เมื่อครั้งที่โจโฉเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้นั้น ยกทัพเข้าไปในเมืองที่ยึดครองได้ เขาฮิวอดีตเสนาธิการที่แปรพักตร์ได้พูดในทำนองที่ว่า
“ถ้าไม่มีข้า เขาฮิว กองทัพโจโฉและบรรดาแม่ทัพนายกองไม่มีทางชนะศึกนี้และยึดเมืองนี้ได้หรอก”
เขาพูดแบบนี้บ่อยๆ
โอเคใช่ ก็จริง ด้วยแผนการของเขาฮิว ทำให้โจโฉรู้ตื้นลึกหนาบางการศึกและเป็นฝ่ายพลิกคว้าชัยชนะในครั้งนี้
หากแต่เขาฮิวนั้นพูดโอ้อวดไปเรื่อย ยิ่งเมาสุราก็ยิ่งพูด จนวันนึงบรรดาทหารเอกได้เข้ามาต่อว่าเขาฮิว
“ท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก พวกข้าใช้กำลังฝ่าความตายเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเช่นกัน”
เขาฮิวด้วยความที่ไม่รู้ว่า จำเป็นไหมที่ต้องพูดและไม่รู้จักคาดคิดสิ่งที่ตามมาจึงตอบไปว่า
“ข้าใช้สติปัญญาเสนอแผนการ พวกเจ้าใช้แต่แรงมิต่างจากโคกระบือดอกหรือ”
.....
เท่านั้นแหละทหารเอกผู้นึงของโจโฉตวัดกระบี่ทันทีด้วยโทสะทันที และผู้ที่สังหารเขาฮิวนั้นโจโฉได้แต่คาดโทษไว้ยังไม่ลงมืออะไร ประเด็นนี้น่าสนใจ
น่าสนใจ1 need ความจำเป็นในการพูด ณ เวลานั้นก็คือไม่ใช่ เพราะว่าพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น การที่เขาฮิวพูดเช่นนั้นเป็นการตอบสนองความต้องการ want ของตัวเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้ need should want ต้องเรียงลำดับให้ดีๆ หากว่าต้องการที่จะพูด แต่มันไม่จำเป็นก็เงียบๆไว้ดีกว่า
น่าสนใจ2 หากว่าจำเป็นต้องพูด ก็ต้องสังเกตดูท่าทีอีกฝ่ายให้ดีมิเช่นนั้น มิต่างจากคนตาบอดอย่างเขาฮิว และขั้นกว่านั้น ต้องประเมินสถานการ์ด้วยว่า what will happen สิ่งที่ตามมาจะเป็นเช่นไรบ้าง
น่าสนใจ3 การที่ทหารเอกลงมือสังหารเขาฮิวแล้วไม่โดนโทษอะไร จริงๆโจโฉจ้องจะสังหารเขาฮิวไว้อยู่แล้วเพราะพักหลังพูดไม่คิดและหักหน้าโจโฉประจำ
เพียงแต่ยังหาเหตุผลไม่ได้เนื่องจากเขาฮิวมีความดีความชอบ หากแต่การที่เขาฮิวพูดไม่คิด จึงเข้าทางความต้องการของโจโฉและเป็นการยืมดาบฆ่าคนอย่างแนบเนียน
.....
ยิ่งเมาสุรา ยิ่งต้องเงียบ
เพราะสุราจะมีฤทธิ์ทำให้สมองคนเรา มองการณ์ใกล้ (myopia) มากว่ามองการไกล
การคิดไตร่ตรองจึงลดลง
ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากได้ความลับจากอีกฝ่าย ให้สังเกตท่าทีเมื่อเขาเมาแล้วลองไตร่ถามข้อมูลสำคัญ
.....
การด่วนพูดอะไรไปโดยไม่สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายให้ดีมิต่างจาก“คนตาบอด”
เอียวสิ้ว หนึ่งในผู้มากความรู้ หากแต่ขาดปัญญาในการแยกแยะว่า
เวลาไหนจำเป็น ไม่จำเป็นต้องพูด และเขาชอบพูดอวดฉลาดหักหน้าโจโฉบ่อยๆจนโจโฉระแวงในตัวเขา
จนต่อมาเมื่อครั้งไปทำศึกแย่งชิงเมืองกับเล่าปี่ โจโฉได้บอกรหัสลับยามค่ำคืนว่า ขาไก่ แต่ยังไม่ได้สั่งการอะไรต่อทั้งสิ้น
เอียวสิ้วก็ดันพูดไปทำนองว่า ที่โจโฉพูดมานั้นมันคือบอกเป็นนัยๆว่า ให้ถอยทัพ
บรรดาแม่ทัพนายกองเมื่อทราบข่าวก็สั่งให้ลูกน้องตนเก็บข้าวของทันที เมื่อโจโฉเมาเห็นเข้าจึงไตร่ถามต้นสายปลายเหตุ ได้ความว่า เอียวสิ้วเป็นคนบอกพวกแม่ทัพนายกอง
ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงสั่งประหารเอียวสิ้วเนื่องจาก สร้างความปั่นป่วนในกองทัพ
ด้วยเหตุนี้เอียวสิ้วผู้ที่พูดไม่คิดให้ดีว่า
จำเป็นที่ต้องพูดไหม พูดไปแล้วจะมีอะไรตามมาบ้างจึงต้องไปเฝ้ายมบาลด้วยอายุที่ยังหนุ่ม ทั้งๆที่เขาเป็นผู้ที่มากความรู้ที่สุดผู้นึงในยุคนั้น
.....
พูดให้น้อยกว่าที่จำเป็น ประยุกต์ใช้ในเชิงการค้า
ครั้งนึงผมตั้งใจจะปล่อยเช่าพระเครื่ององค์หนึ่ง ได้มีการนัดพบเพื่อดูพระ หากว่าถูกใจก็จ่ายเงิน ผมตั้งใจว่าจะปล่อยในราคา 36,000บาท เมื่อได้เจอกันทักทายกันพอเป็นพิธี อีกฝ่ายก็หยิบกล้องขึ้นมาส่องพระ ดูไปดูมาก็มีแต่ตำหนิ
แต่ผมก็ยิ้มๆไม่พูดอะไร
จนอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเอง “พี่ให้น้อง 45,000ได้ไหม พระมีตำหนิเยอะนะ ราคาเกินกว่านี้พี่ไปต่อไม่ได้”
ผมก็ได้แต่ตอบว่า “ผมลดให้ 1,000 ละกัน ขอจบที่ 44,000บาทครับ”
.....
จะเห็นได้ว่าพูดให้น้อยกว่าที่จำเป็น มันดีเช่นไร
หากว่าผมบอกราคาไปก่อนทั้งๆที่อีกฝ่ายยังไม่ถามและไม่ได้ดูท่าทีอีกฝ่ายให้ดี ผลอาจจะไม่เป็นเช่นนี้
เมื่ออีกฝ่ายเสนอราคามาเอง และตกลงราคากันได้
ต่างฝ่ายต่าง win-win และยิ้มออก
เมื่อเขาเสนอมาแล้วผมยังลดราคาให้อีก แน่นอนว่าลูกค้าต้องประทับใจ ค้าขายกันยาวๆ
....
บทสรุป
1.คำคมเกี่ยวกับการพูดนั้นมีมากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะของไทย
ปากเป็นเอก เลขเป็นโท ,ปลาหมอตายเพราะปาก
หรือแม้กระทั่งของจีน จากท่านปรมาจารย์ซุนวูก็ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก
“ชมคนด้วยวาจามีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกทองคำ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ”
ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้ความสำคัญกับการพูดยิ่งนัก และถ้าจะให้ดีควรฟังมากกว่าพูด
2. “พูดให้น้อยกว่าที่จำเป็น”
พิจารณาก่อนว่า Need จำเป็น /Should ควร /Want ต้องการ
และขั้นกว่านั้นก็คือ ต้องพิจารณาด้วยว่า What will happen.
*****เอาง่ายๆ ลองถามตัวเองว่า ณ เวลานั้นว่า มันจำเป็นไหม ถ้าไม่ได้พูดออกไปจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม
ถ้าคำตอบคือไม่มี = เงียบ
ถ้าจำเป็นที่จะต้องพูดก็จะดูท่าที สีหน้า แววตา ของอีกฝ่ายแล้วจึงพูดเท่าที่จำเป็น เพราะการที่พูดเยอะย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้เยอะ เพราะถ้าไม่พิจารณาให้ดี อาจจะมีจุดจบแบบ เขาฮิวและเอียวสิ้ว
3.การด่วนพูดอะไรไปโดยไม่สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายให้ดีมิต่างจาก“คนตาบอด”
สังเกตให้ดี สีหน้า แววตา ท่าที รวมถึงนัยแฝงของอีกฝ่าย
แม้ว่าสิ่งที่พูดจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากแต่ถ้ามันไม่ถูกกาลเทศะและเป็นการไปท้าทายผู้มีอำนาจอาจจะจุดจบไม่สวย อย่าง เขาฮิวและเอียวสิ้ว หรือว่าผู้อื่นๆอีกมาย
ดังคำ อีดี้ อามีนที่ว่า
“คุณมีอิสรภาพในการพูด หากแต่เขาไม่รับประกันว่าจะมีชีวิตรวมทั้งอิสรภาพหลังการพูด”
หนุ่มหน้าหนากับม้าแปดตัวมีงานเขียนแบบรูปเล่มแล้ว 2 เล่มไปอ่านแบบมันส์ๆกันได้เลย