ผู้เขียน หัวข้อ: กำลังใจที่คุณแม่ให้ มันมีมูลค่ามากกว่าสิ่งของมาก ๆ  (อ่าน 348 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2591
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
คุณแม่เลี้ยงลูกผิดวิธีแล้วครับ คุณแม่เอาสิ่งของเป็นตัวล่อในการสร้าง แรงจูงใจในการเรียนรู้จำเป็นต้องปรับด่วนเลยครับ  อันที่จริงเด็ก ๆ ไม่ได้มีความสุขจากสิ่งของครับ ความสุขของเด็กเกิดจากคำชม และ กำลังใจที่คุณแม่ให้ มันมีมูลค่ามากกว่าสิ่งของมาก ๆ

สมัยที่ผมเลี้ยงลูก ตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนเข้าอนุบาล ผมจะใช้วิธีสอนให้ลูกได้เรียนรู้บทเรียนก่อนที่จะเข้าไปเรียน ตอนที่สอนก็จะชมเขาเสมอเมื่อเขาสามารถทำบทเรียนที่ผมสอนได้ วิธีนี้เขาจะได้กำลังใจ และ เขาจะได้ความรู้ก่อนที่จะไปเรียนจริง พอเข้าชั้นเรียนมันจะทำให้เขาได้เกรดที่ดีในลำดับต้น ๆ เสมอ เพราะเขารู้มาก่อนหน้าเพื่อนคนอื่น พอเกรดออก เรามีหน้าที่ชม และให้กำลังใจว่าเก่งมากลูก  พอผมทำแบบนี้จนกระทั่งเขาเริ่มเข้าชั้นประถม ผมก็ไม่ต้องสอนแล้ว เพราะเขามีกำลังใจเต็มเปี่ยมที่อยากจะเรียนรู้เอง แต่ผมเหลือแค่หน้าที่ ชม และให้กำลังใจลูก วิธีการนี้ผมพิสูจน์มาแล้ว เพราะลูกทั้ง 2 คน เรียนได้ 4.00 เกือบทุกเทอม ตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้น ม.6เลย และเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเองโดยได้คะแนนในลำดับต้น ๆ ของคณะเลยครับ

ลูกของคุณแม่ยังเด็กอยู่ ยังพอมีเวลาในการฝึกนิสัยการเรียนรู้ก่อนที่เขาจะเลยชั้น ป.4 ซึ่งจะเป็นอายุที่เริ่มฝึกยากแล้วเพราะเขาจะมีความเป็นตัวตนในแบบของตัวเอง และจะเริ่มไม่ฟังพ่อแม่แล้ว  คุณแม่ลองให้เวลาลูก สักหน่อย เอาวิชาชั้น ป.2 ไปสอนลูกตั้งแต่เขาเรียน ป.1 พอขั้น ป.2 คอยดูได้เลยคะแนนน้องจะสูงมาก  แล้วอย่าลืมชม และให้กำลังใจบ่อย ๆ ทำได้เรื่อย ๆ   ส่วนของเล่น ให้ซื้อให้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องตั้งเงื่อนไข แค่ให้เขารู้ว่าเราซื้อของเล่นให้เพราะเรารักเขา แค่นี้ก็พอแล้วครับ

ขอให้สนุกกับการเลี้ยงลูกอย่างมีความสุข และมีคุณภาพนะครับ

ไม่ควรกำหนดอะไรแบบนี้ ไม่ควรกำหนดว่าสอบได้ที่เท่าไหร่แล้วจะได้อะไร คุณควรสอนให้ลูกเห็นคุณค่าจริง ๆ ของการศึกษามากกว่า
อีกอย่างลูกเรียนเก่งไม่เก่งก็สมควรได้รับรางวัลจากพ่อแม่อยู่ดี เพราะเด็กเรียนไม่เก่งบางทีก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามเท่าคนอื่น ๆ นะ
แต่คุณเข้าใจไหมว่า คนเรียนเก่งกับคนเรียนไม่เก่ง ยังไงมันก็ไม่มีทางสอบได้เท่ากัน ต่อให้อ่านหนังสือหนักพอกันก็ตาม อันนี้มันคือความจริง
แต่เพราะพ่อแม่เอาลำดับการเรียนมาเป็นตัวชี้วัดเพื่อที่จะได้รางวัลเท่านั้นเท่านี้ เขาเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลเท่าเทียมกับพี่น้องเลย
ลำพังการแข่งขันในสังคมโรงเรียน ยังกดดันกันไม่พออีกเหรอ เขาต้องแข่งกับเพื่อนที่เก่งกว่า นี่กลับบ้านมาก็ต้องมาแข่งกับพี่น้องอีกเหรอ
เรายังคิดเสมอว่า ไม่ว่าเราจะสู้มาหนักแค่ไหนข้างนอกบ้าน จะแพ้หรือชนะมา ในบ้านควรเป็นเซฟโซนเสมอนะ



เอาใจใส่ให้มากครับ สอนการบ้านลูกหลังเลิกเรียน ต้องบริหารเวลาเพื่อลูกอย่าอ้างไม่มีเวลา
ปกติคุณแม่สอนการบ้านลูกรึปล่าวคะ ลองใช้เวลากับลูกคอยสอนการบ้านเค้าหลังเลิกเรียนดูสิคะ
คอยรับฟังลูกระบายความในใจ แบบไม่ต้องพูดอะไร ชวนเค้าทำกิจกรรมนอกบ้านเบี่ยงเบนเกมส์
เรื่องแรกสำคัญที่สุด

ตอนนี้ลูกผมเข้า Nursery ที่โรงเรียนอินเตอร์สิงคโปร์แถวบ้าน

วันแรกที่ปฐมนิเทศน์ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ลูกชายเขาย้ายจากโรงเรียนอินเตอร์ระบบอเมริกันมาเป็นระบบสิงคโปร์

จากเดิมที่ได้คะแนนดี กลายเป็นสอบตก

สิ่งที่แม่เขาทำคือ ไม่กดดันลูก แล้วรับความผิดเอง ยืนข้างลูก เป็นกำลังใจให้เขา แล้วช่วยกันเรียน ผลออกมาเทอมเดียว ก็พลิกกลับมาใหม่ได้

สิ่งที่ครูใหญ่บอกว่าสำคัญที่สุดคือ Mind Set ครับ เราต้องยืนข้างลูกเราก่อน ถ้าคุณแม่คิดว่า สิ่งทำไปพอแล้วก็พอแล้วครับ ไม่พอก็ทำเพิ่ม


เรื่องต่อมา ลองถามตัวเอง ถามลูกดีๆ ว่า เอ ลูกเราอยากทำอะไร อยากเห็นชีวิตตัวเองเป็นอย่างไร
คะแนนสอบไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต วันนี้ ในชีวิตการทำงาน ผมโดนคนที่เรียนมหาลัยแย่กว่าแซงหน้าไปหลายคนแล้ว และในทางกลับกัน คนที่ได้เกรดดีกว่าผมก็สู้ผมไม่ได้อีกหลายคน

สมัยนี้ ผมว่าชีวิตเราเลือกได้ครับ ไม่จำเป็นต้องผลิตออกมาได้คุณภาพตามระบบขนาดนั้น ไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร ยอมรับมัน แล้วหาสิ่งที่เราถนัด

ถ้าระบบการเรียนของลูกไม่ตอบโจทย์ก็ย้ายครับ

โรงเรียนลูกผมเป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่สามารถสร้างนักเรียนที่มีความสามารถ เช่น เด็ก ป 2 สามารถเป็นพิธีกรงานโรงเรียนได้แล้ว และที่สำคัญ เด็กมีความสุข

มีนักเรียนที่มีปัญหาจากที่อื่นมา พอย้ายมาชอบโรงเรียนมาก

ผมตอนแรกก็คิดจะส่งลูกสาวไปเรียน รร ดังๆ แต่ตอนนี้คิดใหม่แล้วครับ ระบบโลกเราตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนมีชื่อสมัยก่อนก็ได้ เรามีโรงเรียนเอกชนเล็กๆ ที่สร้างเด็กดีๆ ได้

ลองดูครับ อย่าไปเน้นคะแนนสอบรายวิชา ให้คิดว่าที่ไหนจะดึงศักยภาพให้ลูกเราได้ดีที่สุดดีกว่า

ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นเรื่องของสติปัญญา
เท่าที่พบเห็นมาพอเด็กขึ้นม.1 ผู้ปกครองบางส่วนนิยมให้ย้ายโรงเรียนตามกระแส อัดเรียนพิเศษตอนประถมปลายเพื่อให้สอบเข้าได้ แถมสัญญาว่าสอบเข้าได้จะให้เรียนพิเศษให้น้อยลง ซึ่งวันนั้นไม่มีวันมาถึง
โรงเรียนมัธยมแนววิชาการดังๆไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกคน
แต่คนที่เดินทางนี้แล้ว ก็ต้องเข็นกันไปให้สุดทาง บางคนก็หน้าชื่นอกตรม กลายเป็นพ่อแม่หลงทาง พาลูกตกเหว
คงหลงลืมกันไปว่าชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องเรียน
ลองคิดดู ถ้าจะเข็นต่อ คุณคงมีวิธีมากมายอยู่แล้วเพราะตอนสอบเข้าก็ติวหนัก
หรือกลับมาดูใจลูก พัฒนาไปในแนวทางที่เขาสบายใจ เลิกเปรียบเทียบกับเด็กอื่น
ลูกผมเรียนได้ดี เพราะดูแลใกล้ชิด ตามใจลูกมาก ถ้าไม่อยากเรียนก็จะให้ออกไปทำงาน เช่น เก็บขวดพลาสติค ใส่ชุดเสือโบกธงหน้าปั๊มน้ำมัน

ตอนนี้ก็ดูแลหลานแล้ว ชี้ให้ดูรูปว่าทั้งบ้านเรียนจบที่เดียวกึน หนูขี้เกียจเรียนก็จะเป็นคนละพวก
เราไม่ชอบการกำหนดว่าต้องได้ที่เท่าไหร่เลย
บางทีเด็กพยายามเต็มที่แล้ว แต่เด็กคนอื่นเก่งกว่า

มันเหมือนปลูกฝังให้เด็กไปแข่งกับคนอื่น ลูกต้องได้ที่ 1 ไม่งั้นไม่มีรางวัล ทั้งที่ควรแข่งกับตัวเองก็พอ เช่นทำได้ดีขึ้น ก็น่าจะพอแล้ว
คนที่ได้รางวัลก็ควรให้ตามสัญญา คนที่ไม่ได้ก็ต้องอธิบายกฏิกาให้เค้าเข้าใจ และบอกให้เค้าพยายามใหม่ในเทอมหน้า

ปลอบใจและบอกไปว่าเทอมหน้าแม่จะช่วยสอนจะได้เกรดดีขึ้น ส่วนครั้งนี้แม่มีรางวัลปลอบใจให้ อาจพาไปกินของอร่อยๆ หรือย่างอื่นที่คุณเห็นว่าเหมาะสม
คุยความจริงครับ
ปลอบ/ดุได้ เท่าที่จำเป็น

แต่เราก็จะสอนให้เขามีจุดมุ่งหมาย แล้ว พยายามทำให้ได้
ไม่ใช่ตั้งเป้าหมายแล้วก็เอื่อยเฉื่อย พอผลออกมาน้อยกว่า แล้วมาเสียใจทีหลัง

ควรมีความสม่ำเสมอ ตั้งแต่ต้นจนจบ
เช่น เทอมนี้ได้น้อย แล้ว เขาตั้งเป้าไว้เลยว่า เทอมหน้าต้องได้เยอะ
หรือ เราตั้งเป้าไว้เลยว่า เทอมหน้าให้เยอะ ขึ้น

เราก็มาคุยกันว่าวางแผนยังไงดี อยากเรียนกวดวิชาไม๊ รึจะพัฒนาด้วยตัวเอง

อย่างผมเองก็ไม่เคยตั้งความหวัง หรือ คาดหวัง ว่าลูกต้องได้ที่ดีๆ
แต่ผมจะตั้งเป้าหมายให้เขาฝึกประจำ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ประจำเพื่อให้เกินความเคยชินในการเรียน

หากเขารักที่จะเรียน เขาจะอยากพัฒนาตัวเอง และ หาทางกระตุ้นตัวเองได้เองครับ
ทุกวันนี้สื่อเยอะ ยูทูป หรือเว็บ สามารถหาความรู้ได้หมด
เขาก็ส่งเสริมความรู้ตัวเองได้

หลายโรงเรียนเค้าเลิกระบบลำดับที่กันแล้วค่ะคุณแม่ เพราะเด็กที่ได้ลำดับสุดท้ายก็จะเฟล บางคนก็อาจจะมุมานะขึ้นมา หรือบางคนก็อาจจะเฟลกับตัวเองไปเลย เราไม่เห็นด้วยกับระบบนี้มากๆ ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเด็กเลย

ลองเปลี่ยนเป็นให้น้องแข่งกับตัวเอง เช่นว่า ถ้าได้ 3.00 แม่จะให้อะไรก็ว่าไป ตั้งเป้าเอาที่ไม่สูงเกินไป เอาเท่าที่ลูกคุณแม่ไหวนะคะ น้องจะได้ไม่กดดันตัวเองมาก
ส่วนการให้กำลังใจ ก็คงจะปลอบน้องและบอกว่าเรียนชั้นโตขึ้น การเรียนมันเลยยากขึ้นนะลูก 
ได้ที่ 23 ก็ดีมากแล้วจ้ะ อย่างน้อยก็ยังอยู่ในครึ่งแรก แค่นี้ก็เก่งมากแล้วลูก เทอมหน้าเรามาตั้งใจกันใหม่ (แต่ไม่ต้องกำหนดว่าต้องได้ที่เท่านั้นเท่านี้นะคะ) เพราะลำดับในห้อง ไม่มีผลต่อการไปสอบเรียนต่อที่อื่นเลยในสนามจริง

ส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ให้ลูกเรียนพิเศษอะไรเพิ่มนะคะ
ก็ไปเรียนปกติ แล้วก็ ก่อนสอบเราก็ช่วยติว
ยกเว้นตอนที่เรียนออนไลน์โควิด เราก็จะสอนเต็มที่
ช่วงนั้นทำให้รู้ว่า ลูกเราเรียนเป็นอย่างไร ควรปรับตรงไหน
ตอนนี้กำลังจะขึ้นป.4

สิ่งที่เราถามลูกบ่อย ตอนเย็น คือ วันนี้ที่ รร สนุกไหม มีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังไหม
ส่วนเรื่องผลการเรียน เรามองเป็นประเด็นรอง เราคิดว่า ถ้าลูกสนุก มีความสุขในการ
ไปโรงเรียน ผลการเรียนก็จะดีตามไปด้วย แต่เรื่ององค์ประกอบอื่น เช่น ความขยัน
ความตั้งใจ ไอคิว ฯลฯ ก็เป็นส่วนนึงนะคะ

เห็น จขกท บอกว่า น้องร้องไห้ ทำไมน้องร้องไห้ค่ะ
เราเคยถามตัวเองว่า การที่ลูกได้คะแนนน้อย หรือ เรียนไม่เก่ง ไม่โดดเด่น เด็กเขามีปัญหา
หรือ เราซึ่งเป็นแม่มีปัญหา จากความคาดหวัง เราต้องกลับมาถามตัวเองนะคะว่า
ปัญหาอยู่ตรงไหน

น้องมีความสุข หรือ สนุกกับสิ่งที่ทำ แล้วเขาจะทำได้ดีนะคะ จขกท ลองค่อยๆ พิจารณา
ดู
การเรียนหรือการศึกษา หัวใจหลักคือการพัฒนานะ พัฒนาจากไม่รู้เป็นรู้ พัฒนาจากรู้น้อยเป็นรู้มากขึ้น มากขึ้นจนชำนาญ บางวิชาเป็นเรื่องของทักษะที่ต้องทำบ่อยๆซ้ำๆ บางวิชาเป็นเรื่องของความจำ เมื่อลูกเรียนรู้ได้น้อยก็ต้องมาดูว่าลูกบกพร่องตรงไหน แล้วช่วยกันพัฒนากันไปในแต่ละรายวิชานะ อย่างนี้คือ เราอยู่เคียงข้างเขา ไม่ปล่อยให้เขาสู้คนเดียวในความไม่รู้ บอกเขาว่า ใจเย็นๆค่อยๆพัฒนาไปนะ อุดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งไป ให้กำลังใจเขา ช่วยแนะนำเขาไป ลูกก็จะมีแรงขับในการเรียนรู้ต่อไปนะ

การสอบวัดผลคือการบอกเราว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหน อย่างไร เพื่อที่เราจะได้แก้ไขในคราวหน้าต่อไปนะ
บ้านเราจะดูพฤติกรรมตอนอ่านหนังสือก่อนสอบค่ะ
ถ้าเค้าตั้งใจแล้ว ผลออกมาจะเป็นยังงัยไม่สำคัญเลย
และเราไม่เคยให้รางวัลกับผลการเรียนลูก เพราะมันคือหน้าที่ของเค้าอยู่แล้ว ถ้าเค้าตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือก่อนสอบ ผลคะแนนที่ดีก็คือรางวัลของเค้านั่นเอง
แล้วเค้าจะทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำเพื่อของรางวัลค่ะ