น า ง สิ ริ ม า :
โสเภณีผู้บรรลุธรรม
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองเวสาลี
เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล
เศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก.
สิ่งที่น่าสนใจคือ
หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจ
ของเมืองนี้คือโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง
ชื่อ ‘นางอัมพปาลี’
ถูกแต่งตั้งเป็นนาง ‘นครโสภิณี’
คือเป็นหญิงงามเมือง
หรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี.
เรียกว่าความงามของนาง
สวยสะคราญโฉมหาผู้ใดเทียบได้ยาก
มีศิลปวิทยาการชั้นสูง
ร้องเพลงเพราะ
ฟ้อนรำสวย
เอาใจเก่ง
เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดี
ทำให้ค่าตัวนางสูงมาก
ผู้ชายใดอยากครอบครองนาง
ต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง ๕๐ กหาปณะ
หรือคิดเป็นเงินบาทคือ ๑๓๐,๐๐๐ บาท.
เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้น
ถึงจะครอบครองนางได้!
สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์
กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่
ต่างมีความฝัน มีความปรารถนา
ที่อยากมาสัมผัสนาง
ซักครั้งในชีวิตทั้งนั้น
ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมาย
เดินทางมาที่เวสาลี
เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนาง.
กลายเป็นนำพาให้
เศรษฐกิจการค้าการขาย
พลอยรุ่งเรืองเติบโตขึ้นมาด้วย
เพราะนางอัมพปาลี
เป็น magnet นั่นเอง.
ว่ากันว่า
หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลี
คือพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์
เห็นเวสาลีเจริญ
เพราะมีนางนครโสภิณี
จึงเอาไอเดียไปใช้
ที่เมืองของตัวเองบ้าง.
กลับเมืองไป
ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด
ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง
ชื่อ ‘นางสาลวดี’
เป็นนางนครโสภิณีคนแรก
แห่งเมืองราชคฤห์.
นางสาลวดีถูกฝึกศิลปวิทยาการต่างๆ
ด้วยพื้นฐานทุนเดิม
นางสวยมากอยู่แล้ว
พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนัก
จนเป็นผู้หญิงที่มีงามพร้อม
ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงาม
เล่นดนตรีเก่ง
ร้องเพลงไพเราะ
พูดจามีเสน่ห์
ทำให้นางค่าตัวแพงกว่า
นางอัมพปาลีอีก
คือใครอยากเชยชมนาง
ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง ๑๐๐ กหาปนะ
หรือเกือบ ๒๖๐,๐๐๐ บาท
แพงกว่านางอัมพปาลีถึง ๒ เท่า!
จากคนฐานะธรรมดา
กลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมา
นางเลยใช้ชีวิตประมาท
ทำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด
ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ
ของอาชีพนาง
ถ้าให้ใครรู้ ความ popular ของนาง
ก็จะลดลง
นางจึงปิดบังไว้
พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชาย
ก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันที
แต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญ
มีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยง
เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น
โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์
จนสุดท้ายกลายเป็น
‘หมอชีวกโกมารภัจจ์’
หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก
เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า.
กลับมาที่นางสาลวดี
พอทิ้งลูกไปแล้ว
ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิม
มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด
แต่สุดท้ายนางก็พลาดท้องอีก.
แต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิง
นางคิดว่าไหนๆ นางก็เริ่มแก่ละ
เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่ง
นางนครโสภิณีของนางดีกว่า
นางเลยเลี้ยงไว้
และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า ‘นางสิริมา’.
พอเติบใหญ่
นางสิริมาก็ครองได้ตำแหน่ง
นางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์
ต่อจากแม่ของนางสมใจ.
นางสิริมาเป็นสตรี
ที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตน
ความงามของนางถูกว่ากันว่า
งามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง
อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณี
ที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป
จึงได้รับการถ่ายทอดวิชา
ในทุกแง่ทุกมุม ทุกเทคนิคเคล็ดลับ
ในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็ก.
ด้วยความครบทั้งภายนอกภาย
ในแห่งความเป็นโสเภณีจึงทำให้นาง
มีค่าตัวสูงถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ
หรือ ๒.๖ ล้านบาท.
แพงกว่าแม่ของนาง
นางสาลวดีถึง ๑๐ เท่า!
จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง
ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้านเลย
นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวย
บ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน
แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้
ถึง ๕๐๐ คน!
จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
งานใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางออกงาน
ในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือ
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ‘นางอุตตรา’
มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง
เป็นงานเหมา ๑๕ วัน ๑๕ คืน
ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ
หรือ ๓๙ ล้านบาท!
สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น
คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัว
ที่ใจบุญสุนทาน
จิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด
เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า
พ่อแม่ของนาง
รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน.
แต่พอแต่งงานมาใน
ครอบครัวเศรษฐีเหมือนกัน
บ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามี
เป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย
ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ
และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตรา
ทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น
นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร
ฟังเทศน์ฟังธรรม
เหมือนตอนก่อนแต่งงาน.
นางอุตตราจึงขอสามีจะจ้างนางสิริมา
หญิงงามที่สุดในเมือง
ด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง
มาปรนนิบัติสามี ๑๕ วัน
และขอช่วงเวลานี้
จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต
และถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน.
สามีได้ยินชื่อเสียงความงาม
ของนางสิริมามานาน
เลยไม่ปฏิเสธ
ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล
และขอบใจภรรยายิ่งนัก.
นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐี
สามีของนางอุตตรา
สามีก็เบิกบานกาย
นางอุตตราก็เบิกบานใจ
เพราะได้ทำบุญใส่บาตร
นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด ๑๕ วัน
ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรม
สมดังตั้งใจ.
วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ
นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน
อยู่ๆ เลยเกิดความหึงหวง
อยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา
เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆ
จะมาราดนางอุตตรา
นางอุตตราเห็นดังนั้น
จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌาน
ในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด
ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตา
ไปยังนางสิริมา
โดยอธิษฐานจิตในใจว่า
“หญิงนี้เป็นสหายของเรา
และเป็นผู้มีคุณกับเรา
ถ้าไม่มีเขา
เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้
ถ้าเรามีความโกรธ
ขอให้น้ำมันร้อนๆ นั้นลวกเรา
แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ
ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย.”
สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด
ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตรา
ก็กลายเป็นน้ำเย็น
บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามา
จับตัวนางสิริมา
และจะรุมทำร้ายให้จงหนัก.
นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวาง
ไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย
นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว
รู้สึกผิดสุดๆในใจ
เลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา
ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
อยากให้นางยกโทษให้.
นางอุตตราบอกว่า
“พรุ่งนี้พระพุทธเจ้า
จะเสด็จมารับบิณฑบาต
ให้ไปขอโทษพระองค์แทน
ถ้าพระองค์ยกโทษให้
เราก็จะยกโทษให้.”
รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมา
และทราบเรื่อง
ทรงยกโทษให้นางสิริมา
และทรงยกย่องนางอุตตรา
เป็นเอตทัคคะ
ผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน
และเทศนาเป็นพระคาถาว่า
“อักโกเธนะ ชิเน โกธัง
อสาธุง สาธุน่ ชิเน
ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ
สัจเจนาลิกะวาทินัง”
แปลเป็นไทยได้ว่า
“พึงชนะคนโกรธ
ด้วยความใจเย็น
พึงชนะคนร้าย
ด้วยความดี
พึงชนะคนขี้เหนียว
ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหว
ด้วยการพูดความจริง.”
จบเทศนานี้และพระพุทธองค์
ก็ทรงแสดงแก่นางสิริมา
นางสิริก็บรรลุโสดาบันทันที
กลับบ้านไป
เลิกประกอบอาชีพโสเภณี
เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม
ใส่บาตรพระ ๘ืรูปทุกวันเป็นประจำ
โดยถวายของอันประณีตที่สุด
เท่าที่จะหาได้.
นางสิริมาทำแบบทุกวัน
จนเวลาผ่านไป
มีภิกษุรูปหนึ่งคุยกับพระอีกรูป
ที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้าน
ของนางสิริมามา
พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีต
และความงดงามของนางสิริมา.
ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่า
ฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมา
ก็เกิดความหลงรัก
แค่เพียงจากเรื่องเล่า
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง
วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาต
ที่บ้านของนาง
เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริง
กับตาตัวเอง.
รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทาง
ไปรับบิณฑบาต
แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนัก
แทบจะลุกจากห้องไม่ไหว
แต่ก็พยายามลุกออกมา
โดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง
เพราะไม่ไหวจริงๆ.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนาง
ก็ยิ่งหลงรัก
คิดในใจว่า
“ขนาดป่วยไม่สบาย
ยังงดงามขนาดนี้
นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติ
จะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย.”
ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะ
ลุ่มหลงในนางสิริมา
กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน
ฉันอาหารไม่ลง
ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์
เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา
ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน.
ตัดกลับมาที่นางสิริมา
วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ
และการใส่บาตรในครั้งนั้น
ก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง
เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิต
จากความเจ็บป่วย.
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง
ภิกษุผู้ลุ่มหลง
และการตายของนางสิริมา
จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี
ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ.
จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ ๔
ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง
มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมา
ตามทวารต่างๆ
ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง
สภาพคือแทบดูไม่ได้
ใครเห็นเป็นจะอ้วก.
วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศ
ให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกัน
ที่หน้าศพนางสิริมา
พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์
ก็เดินทางมาที่นี่.
ภิกษุผู้ลุ่มหลง
ไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้ว
ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา
แค่ได้ยินคำว่า ‘สิริมา’
เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ
เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ.
เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน
พระพุทธเจ้าให้พระราชา
ประกาศขายศพนางสิริมา
เท่ากับราคาค่าตัวของนาง ๑ วันคือ ๑,๐๐๐ กหาปณะ
ปรากฏไม่มีใครซื้อ.
เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ
จาก ๑,๐๐๐
เหลือ ๕๐๐
เหลือ ๒๕๐
เหลือ ๒๐๐
เหลือ ๑๐๐
เหลือ ๕๐
เหลือ ๒๐
เหลือ ๑๐
เหลือ ๑
ก็ยังไม่มีใครเอา
จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลย
ก็ยังไม่มีใครเอา!
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเทศนาสั่งสอน
โดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย
ว่าให้ทุกคนดูนะ
นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้
ใครจะเชยชมนาง
ต้องจ่ายถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ
แต่วันนี้พอนางตายไปแล้ว
ผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วัน
ความงามของนางสิ้นและเสื่อมลง
ไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก
และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้ว
ยกให้เปล่าๆ
ก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว.
พอเทศนาจบ
ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน
ส่วนนางสิริมาพอตายไป
ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
ที่หน้าศพของตัวเอง
ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้น
เป็นระดับ ‘อนาคามี’.
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องของ
นางสิริมามี ๓ อย่างด้วยกัน
เรื่องแรกคือ
คนเราต่อให้ทำผิดแค่ไหน
เมื่อรู้ตัวแล้ว ยังมีโอกาสกลับตัว
และเข้าถึงธรรมได้เสมอ
ไม่มีคำว่าช้าหรือสายเกินไป.
นางสิริมาประกอบอาชีพที่ไม่ดีงามนัก
หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลข้อสาม
ตลอดเวลา
ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างผิดทิศผิดทาง
จนกระทั่งเกือบจะได้ฆ่าคนไปแล้ว.
แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าหลงผิด
แล้วกลับมาตั้งจิตในธรรม
ไม่มีอะไรสายไปทั้งนั้น.
เรื่องที่สอง
คือ อำนาจของกิเลส
เราเรียนรู้จากภิกษุที่ลุ่มหลง
เป็นภิกษุแท้ๆ อยู่ในเพศสมณะ
แต่กลับปล่อยใจให้พ่ายต่อกิเลสราคะ.
อำนาจของกิเลสมีฤทธิ์แรงจริงๆ
ขนาดสมณะเพศยังหลุดได้
แถมหลุดไปไกล
คนธรรมดาอย่างเราๆ
จึงต้องเฝ้าใจเราให้ดี
อย่าปล่อยให้กิเลสมีอำนาจ
มาเหนือใจเราได้.
เรื่องที่สามคือ
เรื่องความไม่เที่ยงของร่างกาย
ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง
เป็นสิ่งที่เรายืมมาจาก
ธรรมชาติชั่วคราว
สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด.
การเสื่อมของร่างกาย
จริงเป็นเรื่องที่แน่นอน
และธรรมดาที่สุดในโลกนี้
แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์
เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม.
บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น
บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆ
ที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอย
บางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ
ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
บางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลง
ในกายของคนอื่น.
ร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน
เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย
แต่ก็ทำได้แค่ชะลอ
เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน
แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง.
แทนที่เราจะทำใจ
และเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
ที่ไม่มีใครหนีได้
มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น.
แต่พวกเรากลับพยายามฝืน
ความเป็นจริงของธรรมชาติ
และทุกข์กับ
ความเป็นจริงของธรรมชาติ.
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ
ต่อให้ร่างกายภายนอก
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
สวยงามแค่ไหน
พอตายไปไม่กี่วัน
ทุกคนจะกลับมาหน้าตา
เหมือนกันหมดอยู่ดี.
อยู่อย่างเข้าใจมัน
เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจความเป็นไป
และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย.
#เพจธรรมะย่อยมาแล้ว
#ธรรมะดีๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้