ผู้เขียน หัวข้อ: เอาใหม่ พยายามให้ทำโดยสบายๆ วันละนิดวันละหน่อย แบบไม่กดดัน  (อ่าน 407 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2591
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
บอกว่าไม่เป็นไร เอาใหม่ พยายามให้ทำโดยสบายๆ วันละนิดวันละหน่อย แบบไม่กดดัน

ปล. จริงๆไม่ควรตั้งว่าอันดับ 1-5 ถ้าเป็นโรงเรียนหัวกะทิ แล้วลูกคุณได้เกรด 4 (ทุกวิชาเกิน 80%) แต่ไอคนที่ 1-5 มันได้ 99-95% ทุกวิชา มันก็โหดเกินไปสำหรับลูกนะ เพราะเด็กที่เรียนพิเศษก็มี พยายามให้เป้านั้นแข่งกับตัวเอง อย่าพยายามให้แข่งกับคนอื่น ไม่งั้นชีวิตลูกคุณ จิตใจจะแย่มากเมื่อโตขึ้น เวลาจะตั้งอะไรขึ้นมา อยากให้คำนึงถึง ตอนเฟลด้วยว่า เค้ารู้สึกอย่างไร มันทำให้เค้าไปนึกถึงส่วนไหน เรื่องอะไร แล้วคุณจะตั้งโจทย์ได้ดีขึ้น การตั้งโจทย์ของคุณ คุณต้องตั้งที่แบบว่า on process ที่เค้าทำอยู่ เค้าจะได้สิ่งนั้นแน่ๆ เช่น ความรู้ในเรื่อง.. ประสบการณ์สถานการณ์จริง.. ไม่ใช่ปลายทางนั้นคือ ผลลัพธ์ สำหรับผม มันเรียกว่า ผลพลอยได้ การตั้งโจทย์ที่บอกว่า ถ้าได้อันดับ 1-5 มุมมองส่วนตัวของผม เป็นโจทย์ที่แย่มาก

สิ่งที่ควรจะสอนในวัยเด็ก

1. เรื่องการเรียงลำดับจัดการความสำคัญ และ เวลา (เรื่องนี้ผมไม่ได้ถูกสอน แต่คิดว่าควรมี ถ้ามีโตขึ้นจะดีมาก)

2. การใช้เงิน และ การบริหารเงิน (โดนสอนตั้งแต่ ป.1 ผมได้เงินเป็นอาทิตย์ แล้วช่วงตอน ป.1ที่บ้านสอน จนตัวเองคิดได้ว่า วันนึงซื้ออะไรได้บ้างซื้อได้เท่าไหร่ ให้พอใน 1 อาทิตย์) ตอนนี้พอจะรู้จักค่าของเงินละ หลังๆกลับบ้านเอง ป.2 แล้วดีลกับแม่ว่า ค่ารถที่แม่ต้องมารับเรา แม่ไม่ต้องมา แต่เราขอส่วนนั้นแทน แล้วเราขอกลับเอง (แต่ผมไม่นั่งรถ เดินกลับ จากรร.ไปบ้าน ประมาณเกือบ 1 โล) เก็บตังได้จนไปซื้อบัตรเกม 555 เพราะแม่มารับช้าด้วย ขี้เกียจรอ

3. ให้เค้าลองหลายๆอย่างในสิ่งที่เค้าชอบ

และเวลาเด็กได้คะแนนไม่ดี สิ่งที่คุณต้องทำคือ หาโจทย์ที่เค้าผิด แล้ว scope ให้แคบลงที่สุด ว่าเค้าทำไม่ได้เพราะอะไร อย่าไปโทษเด็ก บางทีเกิดจากหลายๆปัจจัย เช่น ครูสอนเร็ว ครูสอนไม่เข้าใจ ครูสอนไม่เคลียร์ หรือ เด็กหลุดเองบางช่วงสำคัญ แต่ถ้าเค้าคะแนนน้อย มีเหตุผลเดียวคือ เค้าไม่เข้าใจ ก็เท่านั้นเอง คุณก็แค่ต้องทำให้เค้าเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่คุณต้องหาสาเหตุว่าไม่เข้าใจตรงไหนในเรื่องที่เรียน (พวกคณิต, วิทย์, อังกฤษ สำคัญมาก ถ้าไม่ได้ ป.1 ปุ๊บ ป. ต่อไปมีปัญหา เพราะเนื้อหามันต่อกัน ต้องแก้ตั้งแต่รู้ว่าเริ่มเห็นปัญหา)

อย่างเช่นสมมติว่า โจทย์ใน 1 ข้อนั้นมี + - x แล้วเค้าทำผิด ให้คุณทดลองโดยการแตกโจทย์ออกมา ข้อที่ + อย่างเดียว - อย่างเดียว x อย่างเดียว ให้เค้าลองทำ และให้เค้าอธิบายเพิ่มด้วยว่า ที่เค้าทำ เค้าเข้าใจถูกไหม เด็กบางคนใช้ทักษะ การจำเอาก็มี

หลังจากคุณ scope จุดที่เล็กที่สุดได้แล้ว เจอปัญหาว่าเค้าไม่เข้าใจตรงนี้แน่ๆ ให้โจทย์เค้าทำแบบง่ายๆแต่เยอะๆ ก่อน (เผื่อให้เค้าชินโจทย์) หลังจากนั้นให้เริ่มยากขึ้นทีละนิดๆ แล้วพอเค้าทำได้ ค่อยพลิกแพลง

ผมเคยเรียนคุมองมาก่อน คุมองจะให้โจทย์เยอะ และให้โจทย์จากง่ายๆ -> ยาก และโจทย์ค่อนข้างมีหลายแบบ ทำให้รู้เลยว่าเด็กผิดข้อแบบนี้แล้วรู้เลยว่าเด็กไม่เข้าใจตรงไหน พอทำไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า โจทย์ที่เราไม่เคยเข้าใจทำได้เฉยแบบสบายๆ โดยไม่รู้ตัว


เสริม

ถ้าเค้าไม่ชอบเรียนชอบเล่น ให้คุณไปดีลกับลูกเลย ว่า ถ้าวันนี้ ทำโจทย์เพิ่มที่ให้ไป ถูก 10 ข้อ จะได้เวลาเล่น 30 นาที 20 ข้อ จะได้เวลาเล่น 60 นาที ซึ่งในวันนึง จะทำกี่รอบก็ได้ (แต่อาจจะเหนื่อยตัวคุณด้วย ที่ต้องเตรียมโจทย์ไว้จำนวนมากๆ โดยที่ไม่ซ้ำกัน) ให้ทำทุกวัน วันละนิด ส่วนข้อเสริมเอาต้องใช้ทริคประมาณนี้แหละ เดี๋ยวเค้าอยากทำเพิ่มเอง เพราะเรามีของมาล่อ เพราะทำแล้วได้รางวัล เอาง่ายๆหรือกลางๆมาให้เค้าติดใจก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มเลเวลยากขึ้น หรือแซงสิ่งที่เรียนอยู่ 5555

หรือ ถ้าโจทย์ยากขึ้นมาอีก 10 ข้อ เอาไปเลย 45 นาที อะไรประมาณนี้ แล้วให้เค้าเก็บชม. ไปใช้วันเสาร์อาทิตย์ได้ แต่เวลาเล่นก็มีห้ามเกินช่วง 2 ทุ่ม(เวลานอนอะไรงี้) เดี๋ยวเค้าก็อยากทำให้มันได้เองเพราะมีอะไรมาล่อ

แล้วเกมที่ลูกเล่นอาจจะสกรีนเลือกหน่อยว่า ลูกเล่นเกมอะไร เช่นใช้ทักษะ ต่างๆ พวก เกมทำงานเป็นทีม เกมใช้ไหวพริบเอาตัวรอด เก็บเลเวลขายของทักษะการเจรจาต่อรอง หรือ ไม่โดนหลอก(อยากให้เค้าเรียนรู้การโดนหลอกตั้งแต่ในเกมเลย มันช่วยในชีวิตจริงได้เยอะ ผมโดนมาเยอะในเกม แต่ชีวิตจริงยังไม่เคยโดนเพราะเจอในเกมมาเยอะละ)  (เลือกให้ไปเล่นเซิฟต่างประเทศเลย ให้ใช้ภาษาอังกฤษคุย จะใช้ google translate หรือวาง dict ไว้ข้างหน้าคอมก็ได้ คุณโยนของที่เค้าอาจจะต้องใช้ให้ แล้วให้เค้าไปเอาตัวรอดเอง ฮ่าฮ่า)





ตอบในฐานะแม่ และครูคณิตศาสตร์สอนม.ปลายมาตลอดชีวิตนะคะ

อยากให้ผปค.พูดแบบนี้กับลูกๆตอนเค้าไม่ได้คะแนนตามที่คาดหวัง (จะดีจะไม่ดีไม่สำคัญแต่ให้วัดที่ความคาดหวังของเขา)

1. ถามเขาว่าลูกคาดหวังว่าหนูอยากได้เท่าไหร่หรอ
2. รับรู้ความผิดหวังของเขาว่า 'มันน่าผิดหวังเน้อะ' ภาษาทางจิตวิทยาคือการ feelings validation ให้ความสำคัญและรับรู้กับความรู้สึกของเขาณตอนนี้ อย่าเพิ่งไปปัดมันออกไป โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กอยู่จะได้เป็นการสอนเขาด้วยว่าความรู้สึกพวกนี้เรียกว่าอะไร และเป็นการบอกเขาว่ามันโอเคที่จะรู้สึก ไม่ต้องไปเก็บซ่อนมัน
3. กอดเขา ปลอบเขา แม่รู้ว่ามันน่าผิดหวังเวลาแม่ทำอะไรแล้วไม่ได้ผลตามที่แม่หวังแม่ก็เคยผิดหวังมาก่อน เป็นการบอกให้เขารู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เคยเกิดขึ้นกับตัวแม่เองเช่นกัน
4. ถึงจุดนี้รับฟัง เขาอาจจะถามว่าแล้วแม่ทำยังไง แต่ถ้าเขาเงียบก็ให้ถามเขาว่า หนูคิดว่าหนูควรจะทำยังไงในครั้งต่อไปดี
5. โดยปกติแล้วเด็กจะพูดขึ้นมาเองว่าเขาจะอยากจะทำอะไรต่อไปหรือวางแผนจะทำอะไรในครั้งต่อไป แต่ถ้าเขาเลือกที่จะถามแม่ก่อน แม่ก็สามารถสอนได้ว่าแม่ทำยังไง ถ้าเป็นตัวเองที่เคยสอนลูกสาวก็บอกว่า แม่ก็เสียใจอยู่พักนึง แล้วแม่ก็กอดตัวเองและบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรนะครั้งต่อไปจะพยายามมากขึ้นไปอีก สอน concept เรื่องรักตัวเอง/ให้อภัยตัวเอง เข้าไปด้วยเลย
6. และสุดท้ายแล้วให้บอกเขาว่าการทำอะไรเราไม่ได้ผลลัพธ์ตามคาดหวังเป็นเรื่องปกติของคนทุกคน และไม่ว่าหนูจะทำพลาดกี่ครั้งแม่ก็จะยังรักหนูหมดหัวใจ แต่แม่คิดว่าหนูควรจะรักตัวเอง/ให้อภัยตัวเองเช่นกัน
7. ถามเขาว่าแม่จะช่วยอะไรได้บ้าง


admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2591
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ลูกสาวผม ป.1 ครับ  ได้เกรด 3.37   ไม่แย่เลยใช่มั้ยครับ   แต่เชื่อมั้ยว่าได้ที่ 29 จาก 35 คนในห้องแหนะ เพราะดันไปอยู่ห้องคิง

สิ่งที่คุยกับลูก คือ
1. เรียนแล้วสนุกมั้ยลูก ถ้าไม่สนุก เรามาหาวิธีที่จะให้สนุกกันดีกว่า 
2. เรียนแล้วเข้าใจมั้ยลูก ถ้าต้องไหนไม่เข้าใจ มาถามพ่อได้นะ พ่ออธิบายได้
3. ไปโรงเรียนมีเล่นกับเพื่อนๆสนุกมั้ย  เพื่อเช็คการเข้าสังคมลูก

ส่วนเรื่องเกรดกับลำดับ ผมไม่ได้โฟกัสเลย  เน้นดูลูกเป็นหลัก  ลูกอ่านออก เขียนได้ มีความสุข กลับมายังมีรอยยิ้ม  ผมก็โอเคแล้ว

สำหรับคำแนะนำที่จะบอกลูก  ก่อนอื่น ผู้ปกครองควรเลิกยัดเยียดความอยากให้ลูกเรียนเก่งออกจากลูกก่อน  แล้วแนะนำใหม่ ให้เรียนอย่างตั้งใจ เรียนและเล่นให้สนุกอย่างมีความสุข แล้วผลลัพธ์เป็นยังไงเราก็ภูมิใจกับมัน

วิธีปฏิบัติเมื่อผลการสอบของลูกรักไม่ดี

หากผลสอบของลูกออกมาไม่ดี แต่การจะเกรี้ยวกราดเอากับลูกคงไม่ใช่วิธีที่เป็นประโยชน์นัก เมื่อเราเองก็เคยผ่านวัยเรียนมา และรู้ดีว่าเรื่องเรียนไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน ในห้อง ๆ หนึ่งมีทั้งเด็กได้คะแนนดี เด็กได้คะแนนต่ำ
       
       อย่างไรก็ดี การที่ผลสอบของลูกรักไม่ค่อยดีนั้นก็อาจหมายถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือทางการเรียนดังขึ้นแล้ว ซึ่งการจะแก้ไข อาจเริ่มได้ดังนี้
       
       1. ใจเย็นไว้ก่อน
       
       แม้จะตกใจ หรือไม่พอใจกับผลคะแนนของลูกน้อย แต่คุณพ่อคุณแม่ควรใจเย็นไว้ สงบสติอารมณ์ก่อน เรายังบอกลูกน้อยได้ว่าผิดหวัง หรือไม่ถูกใจกับผลการเรียนของเขา แต่ไม่ควรแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกไป เพราะผลการเรียนไม่ดีอาจยังแก้ไขได้ และยังไม่กระทบกับชีวิตในอนาคตของลูกมากนัก แต่การแสดงอารมณ์กับลูกของพ่อแม่นั้น กระทบกับความมั่นใจในชีวิตเขาไปทั้งชีวิต และเมื่อพร้อมจะคุยกับลูก ต้องรับฟังสิ่งที่ลูกพูด อธิบาย อย่างใจเย็น ไม่ใช่การซัก หรือคาดคั้นให้ลูกรู้สึกอึดอัดใจ หรือรู้สึกผิด ควรให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกสบายใจที่จะเล่าให้ฟัง และรู้สึกว่าพ่อแม่รับฟังความคิดเขา พยายามช่วยเขาแก้ปัญหา แต่พึงระวังว่าอย่าขัดยามเขาพูด ที่สำคัญควรลองให้เขาพูดออกมาเองว่าคิดจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยไม่กดดัน เพื่อให้เขาหัดคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และข้อห้ามสำคัญคือห้ามเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นๆ เด็ดขาด
       
       2. ค้นหาความจริง
       
       เมื่อไต่สวน เอ้ย เปิดอกคุยกันแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มได้ความจริงบางส่วน ซึ่งก็ควรขยายผลต่อด้วยการค้นหาความจริงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สอบถามว่าลูกเข้าใจบทเรียนหรือไม่ ไม่ชอบวิชาที่เรียนหรือเปล่า หรือเพียงแต่ไม่ขยันท่องหนังสือ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบปัญหาที่แท้จริงแล้ว จะช่วยแก้ปัญหาให้เจ้าตัวน้อยได้อย่างถูกจุด อาทิ หากลูกไม่เข้าใจเลขฐานสาม อาจทำการ์ดตัวเลขเล่นกัน ให้ลูกรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุก หรือหากลูกไม่สนใจท่องหนังสือเพราะไม่ชอบวิชาดังกล่าว อาจต้องช่วยกวดขันท่องหนังสือ ที่สำคัญคือควรรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้ปัญหาเรื้อรัง เพราะหากลูกไม่เข้าใจในวิชานั้นๆ สะสมไปเรื่อยๆ อาจมีโอกาสทำให้กลายเป็นยาขม ไม่ชอบเรียนวิชาดังกล่าวไปเลยก็ได้
       
       3. ไม่ใช้วิธีขู่
       
       ไม่ควรใช้วิธีขู่ ไม่ว่าจะบอกว่าจะไม่รัก จะให้งดของโปรด หรือถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกัน เพราะจะยิ่งทำให้ลูกต่อต้าน เห็นวิชาที่ทำได้ไม่ดีเป็นวิชาที่ไม่ชอบ แต่ควรพยายามช่วยให้ลูกกลับมารู้สึกสนุก ท้าทายที่จะเรียนให้รู้เรื่องมากขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่เองต้องพยายามช่วยเหลือลูกด้วย ให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่ถามด้วยความห่วงใย ไม่ใช่เห็นเขาเป็นปัญหา รวมทั้งไม่ได้โกรธเขา เพื่อให้ลูกน้อยมีกำลังใจที่จะเรียนให้ดีขึ้น
       
       4. คุยกับคุณครู
       
       ควรคุยให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการโทร.ไปสอบถามหรือไปถามกันถึงตัว เพื่อให้ทราบความคิดของคุณครูว่าเกิดอะไรขึ้น และช่วยกันดูแลเจ้าตัวน้อยได้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน อีกทั้งยังจะช่วยให้ได้รับความเห็นจากคุณครูด้วยว่าความคิดของคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือในเรื่องเรียนของเจ้าตัวน้อยเข้าท่าหรือไม่ นอกจากนี้ ความเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยทำให้คุณครูกระตือรือร้นที่จะดูแลเจ้าตัวน้อยของคุณให้ดีด้วย


ที่มา  http://www.manager.co.th/

admin

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2591
  • คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
เห็นด้วยกับความเห็น 4 มากเลย ตอนนี้น้อง ม.1 ถ้าคุณแม่ จัดสรร เวลา มาเรียนไปพร้อมน้อง ไม่มีใครเก่งทุกอย่างหรอกคะ แต่ถ้าเราเรียนไปพร้อมเค้า ช่วยกันทำ หาคำตอบ เดี๋ยวนี้หาข้อสอบมาลองทำลอง ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก ได้เรื่องความสัมพันธ์ ลูกก็จะเห็นว่าเราพยามไปด้วย อยู่ข้างๆ เค้าไปด้วย ระหว่างทำก็ได้พูดคุยเรื่องที่โรงเรียน เรื่องเพื่อน เพราะน้องกำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น โดยส่วนตัวมีลูกและใช้วิธีนี้เหมือนกัน แต่น้องแค่ป.2 ไม่ได้ให้เรียนพิเศษอะไรเลย เราพยามสอนเค้าเองเพิ่มเติมทั้งหมด มีภาษาจีน ที่เราไม่ได้เรื่องเลย ก็ใช้วิธีนี้ พอดีลูกชอบด้วย เลยสบายไปได้ทั้งแม่ทั้งลูก ช่วยกันหาคลิป เขียนไปพร้อมกัน สนุกดีคะ แต่เรามีเวลาเต็มที่ เลยทำได้เห็นผลชัดเจน ยังไง เอาใจช่วยนะคะ ขอให้สู้ เด็กสมัยนี้เรียนกันหนักจริงๆ


คือเราว่าถ้าผลการเรียนตกฮวบฮาบนี่อาจจะไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสติปัญญานะคะ ถ้าเป็นไปได้เราว่าพบจิตแพทย์หรือแพทย์ด้านพัฒนาการน่าจะช่วยได้
เราว่าสิ่งที่คุณแม่จะช่วยได้ดีที่สุดตอนนี้คือการ “ฟัง” ค่ะ ถามเค้า ให้ลูกเล่า ไม่ต้องตัดสินไม่ต้องสอน แค่ถามว่าลูกคิดยังไงกับแต่ละสถานการณ์ แล้วมีทางไหนที่พอจะแก้ได้บ้าง ให้ลูกคิดเอง แล้วเราค่อยเสนอทางเลือกอื่นค่ะ
คือข้อมูลเพียงเท่านี้เราคงไม่รู้จริงๆว่าปัญหาต้นเหตุมันอยู่ตรงไหนกันแน่ค่ะ