ข้อความโดย: admin
« เมื่อ: 02/03/25 »การสังเกตคลื่น Elliott Wave ให้ง่ายขึ้นต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน รวมถึงการใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average นอกจากนี้ การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละ TF จะให้รายละเอียดของคลื่นที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายๆ และการเลือก TF ที่เหมาะสม:
1. การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่าย
คลื่น 1 (Wave 1):
มักเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของเทรนด์ก่อนหน้า
มักมีแรงซื้อหรือขายที่ค่อยเป็นค่อยไป
คลื่น 2 (Wave 2):
ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1 (ใช้ Fibonacci Retracement ช่วย)
คลื่น 3 (Wave 3):
คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง
มักมีแรงซื้อหรือขายที่รุนแรงและรวดเร็ว
คลื่น 4 (Wave 4):
ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1
มักปรับตัวประมาณ 38.2-50% ของคลื่น 3
คลื่น 5 (Wave 5):
คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง
มักไม่ยาวเท่าคลื่น 3
คลื่น A (Wave A):
เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5
มักมีแรงขายหรือซื้อที่ค่อยเป็นค่อยไป
คลื่น B (Wave B):
ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A
มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A
คลื่น C (Wave C):
คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง
2. การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสม
TF สูง (Higher Timeframe):
เช่น H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน)
เหมาะสำหรับการวิเคราะห์คลื่นใหญ่ (Higher Degree Waves)
ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า แต่ต้องรอนานกว่าจะเกิดคลื่น
TF ต่ำ (Lower Timeframe):
เช่น M15 (15 นาที), M30 (30 นาที)
เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นและจับคลื่นย่อย (Lower Degree Waves)
มีสัญญาณบ่อยกว่า แต่มีความผันผวนสูง
แนะนำ:
เริ่มต้นด้วย TF สูง (เช่น H4 หรือ D1) เพื่อระบุคลื่นใหญ่
ใช้ TF ต่ำ (เช่น M15 หรือ M30) เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ
3. ขั้นตอนการสังเกตคลื่นอย่างง่าย
ระบุเทรนด์หลัก:
ใช้เส้น Moving Average (MA) เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อระบุทิศทางเทรนด์
ระบุคลื่น 1-5:
คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่
คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1
คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด
คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3
คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์
ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:
คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5
คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A
คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว
4. ตัวอย่างการสังเกตคลื่น
ตัวอย่าง 1: คลื่น 3
คลื่น 1: ราคาเริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น
คลื่น 2: ราคาปรับตัวลงประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1
คลื่น 3: ราคาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
ตัวอย่าง 2: คลื่น C
คลื่น A: ราคาเริ่มต้นปรับตัวลงจากคลื่น 5
คลื่น B: ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A
คลื่น C: ราคาเริ่มต้นลงอีกครั้งและมีแรงขายที่แข็งแกร่ง
5. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4
Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์
Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3
6. สรุป
การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน การเลือก TF ที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์คลื่นแม่นยำขึ้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วย TF สูงเพื่อระบุคลื่นใหญ่ และใช้ TF ต่ำเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุคลื่น
1. การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่าย
คลื่น 1 (Wave 1):
มักเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของเทรนด์ก่อนหน้า
มักมีแรงซื้อหรือขายที่ค่อยเป็นค่อยไป
คลื่น 2 (Wave 2):
ปรับตัวจากคลื่น 1 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1
มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1 (ใช้ Fibonacci Retracement ช่วย)
คลื่น 3 (Wave 3):
คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด มักยาวที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูง
มักมีแรงซื้อหรือขายที่รุนแรงและรวดเร็ว
คลื่น 4 (Wave 4):
ปรับตัวจากคลื่น 3 แต่ไม่ต่ำกว่าจุดสิ้นสุดของคลื่น 1
มักปรับตัวประมาณ 38.2-50% ของคลื่น 3
คลื่น 5 (Wave 5):
คลื่นสุดท้ายของเทรนด์ มักมีแรงซื้อหรือขายที่อ่อนลง
มักไม่ยาวเท่าคลื่น 3
คลื่น A (Wave A):
เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5
มักมีแรงขายหรือซื้อที่ค่อยเป็นค่อยไป
คลื่น B (Wave B):
ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A
มักปรับตัวประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A
คลื่น C (Wave C):
คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว มักยาวที่สุดและมีแรงขายหรือซื้อที่แข็งแกร่ง
2. การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสม
TF สูง (Higher Timeframe):
เช่น H4 (4 ชั่วโมง), D1 (1 วัน)
เหมาะสำหรับการวิเคราะห์คลื่นใหญ่ (Higher Degree Waves)
ให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า แต่ต้องรอนานกว่าจะเกิดคลื่น
TF ต่ำ (Lower Timeframe):
เช่น M15 (15 นาที), M30 (30 นาที)
เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นและจับคลื่นย่อย (Lower Degree Waves)
มีสัญญาณบ่อยกว่า แต่มีความผันผวนสูง
แนะนำ:
เริ่มต้นด้วย TF สูง (เช่น H4 หรือ D1) เพื่อระบุคลื่นใหญ่
ใช้ TF ต่ำ (เช่น M15 หรือ M30) เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ
3. ขั้นตอนการสังเกตคลื่นอย่างง่าย
ระบุเทรนด์หลัก:
ใช้เส้น Moving Average (MA) เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อระบุทิศทางเทรนด์
ระบุคลื่น 1-5:
คลื่น 1: เริ่มต้นเทรนด์ใหม่
คลื่น 2: ปรับตัวจากคลื่น 1
คลื่น 3: คลื่นที่แข็งแกร่งที่สุด
คลื่น 4: ปรับตัวจากคลื่น 3
คลื่น 5: คลื่นสุดท้ายของเทรนด์
ระบุคลื่นปรับตัว A-B-C:
คลื่น A: เริ่มต้นการปรับตัวจากคลื่น 5
คลื่น B: ปรับตัวขึ้นจากคลื่น A
คลื่น C: คลื่นสุดท้ายของการปรับตัว
4. ตัวอย่างการสังเกตคลื่น
ตัวอย่าง 1: คลื่น 3
คลื่น 1: ราคาเริ่มต้นเทรนด์ขาขึ้น
คลื่น 2: ราคาปรับตัวลงประมาณ 50-61.8% ของคลื่น 1
คลื่น 3: ราคาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
ตัวอย่าง 2: คลื่น C
คลื่น A: ราคาเริ่มต้นปรับตัวลงจากคลื่น 5
คลื่น B: ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 50-61.8% ของคลื่น A
คลื่น C: ราคาเริ่มต้นลงอีกครั้งและมีแรงขายที่แข็งแกร่ง
5. เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของคลื่น 2 และคลื่น 4
Moving Average: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์
Volume: ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น 3
6. สรุป
การสังเกตคลื่น Elliott Wave อย่างง่ายต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในรูปแบบคลื่นพื้นฐาน การเลือก TF ที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์คลื่นแม่นยำขึ้น โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วย TF สูงเพื่อระบุคลื่นใหญ่ และใช้ TF ต่ำเพื่อหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เช่น Fibonacci Retracement และ Moving Average จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุคลื่น