กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
51
Forex / สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 22/05/25 »
สรุปเนื้อหา 9 ข้อ
1. ขนาดการเทรด (Position Sizing)
“ไม่ใช่แค่เทรดถูกทาง แต่ต้องขนาดถูกด้วย”
- ขนาดการเทรด (position size) คือจำนวนเงินที่เราต้องจัดสรรให้กับออเดอร์หนึ่งๆ ซึ่งจะกำหนด ระดับความเสี่ยง โดยตรง
- เทรดเดอร์ระดับโลกอย่าง Mark Minervini แนะนำว่า อย่าเสี่ยงเกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- หากเจอโอกาสที่มั่นใจมาก เช่น เบรกเอาท์จากฐานที่แน่นด้วย Volume สูง อาจเพิ่ม position size ขึ้น
- ส่วนสำคัญคือ “ไม่เพิ่มขนาดการเทรดในเทรดที่แพ้” ต้องเพิ่มเฉพาะตอนที่ “ตลาดเป็นเทรนด์”
เคล็ดลับ: เริ่มต้นออเดอร์เล็กๆก่อน เพื่อทดสอบตลาด แล้วค่อยเพิ่มขนาดเมื่อแน่ใจ
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
“อย่าฟังข่าว ให้ดูกราฟ”
- นักเทรด Momentum เชื่อมั่นในการดู พฤติกรรมของราคา (price action) และ ปริมาณ (volume)
- มองหาสัญญาณอย่าง Breakout (ราคาทะลุแนวต้าน) หรือ Pullback ในขาขึ้นที่มีลักษณะ Bullish Flag หรือ Cup & Handle
- Base ที่แน่น ซึ่งเป็นการสะสมหุ้นของรายใหญ่
- ใช้เครื่องมือเช่น Moving Average, Relative Strength, Volume, MACD เพื่อตรวจสอบแรงส่งของราคาที่เกิดขึ้น
เคล็ดลับ: กราฟคือภาพสะท้อนทุกอย่าง แม้ข่าวยังไม่ออก ราคาก็วิ่งไปแล้ว
3. ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamentals)
“โมเมนตัมที่ดี มักตามมาด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง”
- ถึงจะเน้นเทคนิค แต่นักเทรดหลายคนยังใช้ปัจจัยพื้นฐานช่วยกรองหุ้นที่ “มีของ”
- พิจารณา:
- EPS (กำไรต่อหุ้น) โตต่อเนื่อง
- รายได้โตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรม
- อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแรง
- หนี้สินต่ำ และ ROE สูง
- หุ้นเติบโต (growth stocks) ที่มีพื้นฐานดี มักให้โมเมนตัมการเติบโตที่ยาวนาน
เคล็ดลับ: ใช้พื้นฐานกรองหุ้น แล้วใช้เทคนิคเลือกจังหวะเข้า


4. สภาวะตลาด (General Market)
“รู้ตัวว่าเล่นอยู่ในเทรนด์อะไร แล้วเทรดให้ถูกจังหวะ”
- ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หากตลาดโดยรวมอยู่ในเทรนด์ขาลง การเทรดฝั่ง Long ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง
- Momentum Traders
- จะดูภาพใหญ่ผ่านดัชนีเช่น S&P500, Nasdaq
- สังเกต breadth เช่น จำนวนหุ้นที่ทำ New High vs. New Low
- หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดตอนที่ตลาดแกว่งแรงหรือขัดแย้งกันหลาย Timeframe
เคล็ดลับ: เทรดเฉพาะตอนที่ตลาดสนับสนุน ไม่ฝืนกระแสใหญ่
5. เกณฑ์การเข้าซื้อ (Entry Criteria)
“เข้าเมื่อทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน”
- นักเทรดระดับโลกมี “เกณฑ์เข้าเทรดที่ตายตัว” และไม่ยอมละเมิด
- ตัวอย่าง entry:
- ราคาทะลุแนวต้านหลังสร้างฐานที่แน่น
- Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไม่มีแรงขายสวนหรือเกิดแท่ง red candle ใหญ่ระหว่าง breakout
- บางคนรอให้ “เบรก” แล้ว “ย่อกลับมาทดสอบ” เพื่อความปลอดภัย
เคล็ดลับ: อย่าเดา อย่าเร่งจังหวะ รอให้สัญญาณเกิดจริง
6. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
“เงินทุนคือกระสุน อย่าใช้เปลืองถ้าไม่ได้เป้า”
- ตั้ง Stop loss ทุกครั้ง โดยคิดจาก % ความเสี่ยงของพอร์ต
- อย่าถัวเฉลี่ยขาดทุน! เทรดเดอร์ Momentum จะเพิ่มเฉพาะหุ้นที่กำลังทำกำไรเท่านั้น
- ใช้ R-multiple หรือ Reward:Risk Ratio เช่น ต้องอย่างน้อย 2:1
- คำแนะนำจาก Minervini: “เทรดให้ชนะ 50% แต่มี R มากกว่า 2 ก็พอรอดได้แล้ว”
เคล็ดลับ: รอดก่อนรวย อย่าเสี่ยงถ้าไม่มีโอกาสใหญ่
7. การบริหารการเทรด (Trade Management)
“การเข้าถูกทางไม่พอ ต้อง ‘ถือเป็น’ ด้วย”
- จัดการสถานะอย่างมีระบบ เช่น
- เมื่อกำไร 20–30% ให้ย้าย SL ตาม
- แบ่งขายบางส่วนเมื่อถึงเป้าแรก
- ถืออีกบางส่วนเพื่อเล่น trend ใหญ่
- หากราคากลับตัวแรงหรือมีสัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ ต้องพร้อมขายทิ้งทันที
เคล็ดลับ: ไม่ปล่อยให้ขาดทุนย้อนกลับมา บริหารแบบนักธุรกิจ
8. จิตวิทยาการเทรด (Psychology)
“ใจที่แกว่ง คือพอร์ตที่ร่วง”
- เทรดเดอร์ที่ดีต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
- ไม่โลภตอนกำไร
- ไม่กลัวตอนเข้าเทรด
- ไม่แก้แค้นตอนขาดทุน
- ฝึกวินัย เช่น เขียนบันทึกการเทรด สรุปบทเรียน
- พัฒนาความมั่นใจจาก “แผนที่ใช้ได้จริง” ไม่ใช่ความรู้สึก
เคล็ดลับ: ชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ กำไรก็อยู่แค่เอื้อม
9. สรุปรวมความคิด (Integrated Thinking)
“ระบบดี + จิตใจมั่นคง + บริหารความเสี่ยงได้ = เทรดเดอร์มือโปร”
- ความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่จุดเข้า แต่คือ “กระบวนการที่ครอบคลุมทุกด้าน”
- การเทรดแบบ Momentum ต้องมีระบบที่ทดสอบได้
- วินัยในการทำซ้ำ
- ความเข้าใจตลาดในเชิงลึก
- เทรดเดอร์ที่สำเร็จจะคิดเป็นระบบ (System Thinking) ไม่ทำตามอารมณ์ หรือความรู้สึกชั่ววูบ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้เข้าใจการเทรดนะครับ
แต่ยังช่วยให้ “เรารู้จักตัวเอง” มากขึ้นด้วยว่าเราชอบแบบไหน เหมาะกับสไตล์ใคร
สุดท้าย…ไม่มีสไตล์ไหนดีหรือแย่กว่า แต่อยู่ที่ว่า “เราคุมมันได้มั้ย” ต่างหากครับ
ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ แล้วชอบ คอมเม้นท์
52
Forex / แพ้แต่ไม่พัง ทำไม SL จึงไม่ใช่ความล้มเหลว
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 13/05/25 »
แพ้แต่ไม่พัง ทำไม SL จึงไม่ใช่ความล้มเหลว
พี่ๆเคยเจอกันบ้างไหมครับ
เวลาไม้ที่ตั้งใจวางแผนดีๆ แล้วมันไม่เป็นไปตามที่คิด
แทนที่ราคาจะวิ่งไปทาง TP กลับพุ่งไปโดน SL เฉยเลย
บางครั้งมันก็แค่ ผลลัพธ์มันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดไว้เลย
แต่กระบวนการคิด กระบวนการวางแผน เราทำมันถูกต้องหมดแล้วนะครับ
เมื่อเรา SL ไม่ได้แปลว่าเราพลาด แต่มันคือราคาที่ต้องจ่าย เพื่อจะเข้าใจตลาดมากขึ้น
แผนนึงที่ไอเคยเข้าไว้ ใช้ divergence MACD ยืนยันชัดเลย
ราคาก็เข้าโซนที่มองไว้เป๊ะ
เข้าไม้ไปแบบมั่นใจมาก
สุดท้ายก็โดน SL แล้วราคาก็วิ่งขึ้นต่อเหมือนไม่แคร์เราเลย
ตอนนั้น ยังจัดการอารมณ์ได้ไม่ดีพอ อารมณ์มาเต็ม
แต่พอไอหยุดคิด ไอก็ถามตัวเองกลับว่า
- แผนที่วางมันมีเหตุผลมั้ย?
- จุดเข้าโอเคมั้ย?
- SL อยู่ตรงไหน? ตามระบบจริงๆหรือเปล่า?
สุดท้ายคำตอบคือ มันก็โอเคทั้งหมดนั่นแหละครับ
แค่ตลาดมันไม่ไปทางที่เราอยากให้ไปเท่านั้นเอง
คนที่อยู่รอดในตลาด ไม่ใช่คนที่ไม่แพ้เลย
แต่เป็นคนที่ “แพ้เป็น”
เพราะยังไงเราก็หนี SL ไม่ได้อยู่ดี
มันคือส่วนหนึ่งของเกมนี้
อยู่ที่ว่าเราจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ หรือจะหยิบมันมาคิด แล้วเก็บไว้เป็นบทเรียน
สำหรับไอ ไอเลือกอย่างหลัง
ไอเก็บทุกไม้แพ้ไว้ใน journal
ไม่ใช่แค่เพื่อจำ แต่เพื่อเข้าใจมันให้มากขึ้น
ชนะไม่ได้แปลว่าเราเก่งเสมอไป แพ้ก็ไม่ได้แปลว่าเราแย่
บางไม้ที่ชนะ มันเกิดจากดวง
บางไม้ที่แพ้ มันเกิดจากการวางแผนที่ดี แต่แค่กราฟไม่เป็นใจ
แล้วเราจะเอาผลลัพธ์มาตัดสินคุณค่าตัวเองทำไม ถูกมั้ยครับ?
สิ่งสำคัญกว่ากำไร คือ การอยู่ให้รอด และอยู่ให้ได้นาน
แต่ถ้าเราเสียใจกับไม้เดียวจนไม่กล้ากลับมาใหม่ อันนั้นต่างหากที่น่าเสียดาย
เพราะบางที บทเรียนที่เราต้องการที่สุด อาจซ่อนอยู่ในไม้ถัดไปก็เป็นได้ครับ อาจจะเป็นแผนที่ทำให้เราตกผลึกอะไรบางอย่าง
สุดท้ายไออยากจะบอกว่า อย่ากลัวแพ้
ทุกไม้ที่เข้า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ มันมีบทบาทของมันเสมอ
บางไม้ให้กำไร บางไม้ให้บทเรียน
แต่ถ้าเราไม่หยุดเรียนรู้ ไม่เลิกเชื่อในเส้นทางของตัวเอง
วันหนึ่ง พี่ๆจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ไม่ใช่เพราะโชคช่วย
แต่เพราะพี่ๆ “กล้าเดินต่อ” ในวันที่หลายคนยอมแพ้

53
Forex / วิธีการ vs มายด์เซ็ทในการเทรด
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 13/05/25 »
วิธีการ vs มายด์เซ็ทในการเทรด
– มีแค่เทคนิคดีเพียงพอไหม? หรือจิตใจต้องพร้อมด้วย?
“ทำไมเราเทรดระบบเดียวกันเป๊ะๆ แต่บางคนล้างพอ์รต บางคนกลับทำกำไsได้?"
ถ้าเราเคยถามคำถามนี้กับตัวเอง ไออยากบอกว่า พี่ไม่ได้ล้มเหลวซะทีเดียว แต่ยังขาดคุณสมบัติบางอย่างที่เทรดเดอร์มืออาชีพ....ต้องมีให้ครบ
คำถามที่ตามมาด้วยคำตอบในบทความนี้ จะเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกการเทรดและมุมมองของเราไปเลย..
คำตอบคือ → เทรดให้สำเร็จไม่ได้อยู่แค่ “How to ” หรือวิธีการเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมาพร้อมกับ “Mindset” หรือทัศนคติที่ถูกต้องด้วย
เพราะการเทรดคือ “เกมของนักคิด” ไม่ใช่ “เกมของนักเดา”
พี่ๆ ลองนึกภาพดู…
How to (วิธีการ) = กระบี่ที่โคตรคม
Mindset (วิธีคิด) = นักดาบที่ตวัดกระบี่นั้น
ถ้าพี่ถือดาบดีสุดในโลก แต่ไม่มีวินัย ไม่มีกึ๋น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรฟัน เมื่อไหร่ควรรอ หรือเองแม้กระทั่งเมื่อไหร่ควรหยุด สุดท้ายก็แพ้ให้กับคนที่มีดาบธรรมดาแต่ฝึกฝนมาอย่างหนักอยู่ดี..
"กระบี่อยู่ที่ใจ แม้นไม้ไผ่ก็ไร้เทียมทาน"
การเป็นเทรดเดอร์ก็เหมือนกัน
- มีระบบดีแต่ขาด Mindset → พอร์ตพังเพราะใจไม่นิ่ง
- มี Mindset ดีแต่ขาดระบบ → พอร์ตไม่โต เพราะไม่มีหลักการ ขาดความสามารถในการทำซ้ำ
- มีทั้งสองอย่าง → นี่คือเทรดเดอร์ที่อยู่รอดและกำไร
 ทำไมคนบางคนเทรดกำไsได้ต่อเนื่อง แต่บางคนล้างพอร์ตตลอด?
 เคยสงสัยไหมว่า…
- ทำไมบางคนแม้เทรดแย่ แต่พอร์ตไม่ล้าง?
- ทำไมบางคนเก่งเรื่องกราฟ แต่สุดท้ายก็หมดตัว?
...คำตอบคือ พวกเขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน
คนที่กำไรได้… ไม่ใช่เพราะพวกเขา “รู้มากกว่า” แต่เพราะพวกเขา “คิดต่างกว่า”
ไออยากให้พี่ๆ ลองเปลี่ยนมุมมอง
เลิกคิดว่า → “ต้องเทรดชนะทุกไม้”
เปลี่ยนเป็น → “ต้องอยู่รอดให้ได้ในเกมระยะยาว”
คนที่รอดในตลาด ไม่ใช่คนที่เทรดเก่งที่สุด… แต่คือคนที่ “ปรับตัวเก่งที่สุด” ในวันที่ตลาดไม่เป็นใจ เขาแพ้ศึก แต่ชนะสงครามในระยะยาว เพราะเมื่อชนะ จะได้มากกว่าตอนแพ้เสมอ (RRR)
HOW – เทรดยังไงให้ได้กำls?
พี่ๆ เคยเห็นไหม? บางคนมีสูตรเทพ มีระบบที่ดี แต่ยังขาดทุน… เพราะอะไร?
เพราะพวกเขา “ขาดความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ”
1. วิเคราะห์ตลาดให้เป็น (Market Analysis)
พี่ๆ เคยเดาตลาด แล้วผิดทางกันไหมครับ?
เทรดเดอร์ที่ดี ไม่ใช่คนที่ทำนายอนาคตเก่ง แต่คือคนที่อ่านปัจจุบันได้แม่น
วิธีการที่ไอมักใช้ในการดู Market Structure
Smart Money Concept (SMC) และ Volume Profile
ตัวอย่างจริง
กลยุทธ์ที่ไอใช้บ่อยๆ หลักๆจะต้องหาโซน Demand,Supply ของ HTF ก่อนเสมอ เช่นเรารู้ว่าโครงสร้างราคาปัจจุบันเป็น SW ไอมาร์คจุดไว้ เพื่อรอการ CHoCH ใน LTF
ตอนนั้นราคาได้ขึ้นมาทดสอบโซน Supply HTF มีการ CHoCH ใน LTF และกลับมาทดสอบ Order block อีกครั้ง จึงตัดสินใจเข้าออเดอร์ตามแผน … โป๊ะ! ราคากลับตัวลงตรงจุดนั้นพอดี
เพราะการวิเคราะห์ตลาดที่ถูกต้องทำให้ไอเทรดแบบ “เห็นภาพ” ไม่ใช่เดา
2. ควบคุมความเสี่ยง (Risk Management)
“ไม่มีใครรวยจากไม้เดียว แต่มีหลายคนหมดตัวจากการขาดทุนเพียงครั้งเดียว
สิ่งที่ไอทำ:
✔ Risk-to-Reward Ratio (RRR) ไม่น้อยกว่า 1:2 หรือ 1:3
✔ ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อออเดอร์
✔ ตั้ง Stop Loss (SL) ชัดเจน ไม่ดื้อเด็ดขาด
บทเรียนจากประสบการณ์
ไอเคยคิดว่า “ไม้สุดท้ายนี้แหละ ชัวร์ ถูกทางแน่นอน!” แต่ตลาดไปคนละทางเลย แล้วเลื่อน SL หนี … ผลคือ ล้างพอร์ต  = เพราะตลาดไม่เคยสนใจว่าเราคิดอะไร
3. เทรดตามแผน ไม่เทรดตามอารมณ์ (Trading Plan)
“พอร์ตส่วนใหญ่ไม่ได้ล้างเพราะระบบไม่ดี แต่มันล้างเพราะเจ้าของพอร์ตใจไม่นิ่ง”
ไอเคยเริ่มวันด้วย -100$ แล้วหัวร้อน เทรดต่อไปเรื่อยๆ … สุดท้าย -1,000$
สาเหตุมาจากขาดการคุมอารมณ์ คุมอารมณ์ไม่ได้ = อารมณ์เข้ามาเทรดแทน
MINDSET – จิตวิทยาการเทรดจึงสำคัญกว่าที่คิด
พี่ๆ เคยรู้สึกมั้ย?
- มีระบบเทรดดีๆ แต่พอร์ตไม่โต?
- บางวันกำไs บางวันพอร์ตพัง เพราะ “อารมณ์ล้วนๆ”
- เวลาเสีย มักจะรีบเข้าไม้ใหม่เพราะอยากถอนทุนคืน
- เวลาได้กำไร ก็กลัวเสียคืน เลยปิดเร็วเกินไป
ถ้าเคยเจอแบบนี้ ไอว่า “ปัญหาอาจไม่ใช่ที่ระบบ แต่เป็นที่ MINDSET”
ถ้าคุณกำลังเป็นแบบนี้อยู่ มาเรียนรู้เคล็ดลับจิตวิทยาการเทรด ที่ช่วยให้พอร์ตเติบโตได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู
ทำไมเทรดเดอร์ถึงพังเพราะจิตวิทยา?
ไอยกตัวอย่างง่ายๆ…
พี่ A มีระบบที่แม่น 80%
แต่พอเจอ 3 ไม้ติดลบ เริ่มลังเล เปลี่ยนระบบใหม่ พอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายพอร์ตไม่ไปไหน
พี่ B ได้กำไsอยู่ดีๆ
แต่พอเห็นกราฟยังวิ่งต่อ ก็เข้าเพิ่มเพราะ “เสียดายโอกาส” สุดท้ายโดนลากกลับมาขาดทุน
พี่ C ตั้ง Stop Loss ไว้แล้ว
แต่พอราคาวิ่งใกล้ๆ กลับขยับ SL หนี เพราะ “คิดว่าเดี๋ยวมันเด้ง” สุดท้าย สลิปเพจ ปลิว ไปเลย
ไอถามพี่ๆ… ปัญหาคือระบบ หรือจิตใจ?
ใช่แล้วครับ มันคือจิตใจ ไม่ใช่ระบบ!
แล้วเทรดเดอร์ที่รอด เขาคิดยังไง?
- พวกเขาเข้าใจว่า การแพ้เป็นส่วนหนึ่งของเกม
- พวกเขาโฟกัสที่กระบวนการ ไม่ใช่แค่กำไรขาดทุน
- พวกเขามีวินัย ทำตามแผนเสมอ
ไอรู้จักพี่เทรดเดอร์คนหนึ่งที่ทำกำไรได้ทุกปี เพราะเขา “ไม่สนว่าออเดอร์นี้จะชนะหรือแพ้” แต่เขา “สนใจว่า 100 ออเดอร์ผลรวมแล้ว เขายังทำกำไs ได้หรือเปล่า?”
แนวคิดนี้จึงเป็นนี่ความแตกต่างระหว่างผีพนัu vs. เทรดเดอร์ตัวจริง
แล้วพี่ๆ จะสร้าง MINDSET เทรดเดอร์ยังไงดี?
1. ฝึกมองเทรดเป็น % ของพอร์ต ไม่ใช่เงินสด
ถ้าพอร์ต 1 ล้าน แล้วเสีย 1% = ขาดทุนแค่ 10,000 บาทแต่ถ้าคิดว่า “เฮ้ย! 10,000 หายไปแล้ว” ความกลัวจะครอบงำ
2. เทรดตามแผน ไม่ใช่ตามอารมณ์
กำไร = เก็บไปตามระบบ
ขาดทุน = ปิดแล้วไปต่อ ไม่ต้องแก้แค้นตลาด
3. หยุดเทรด ถ้าหัวร้อน!
พอร์ตไม่หายไปไหน แต่ถ้าอารมณ์พังก่อน = พอร์ตหายแน่
4. คิดแบบ “เจ้ามือ” ไม่ใช่ผีพนัu
ถ้าพี่เป็นเจ้ามือคๅสิโน (House) พี่จะไม่สนว่าคืนนี้ใครชนะ ใครจะllจ็กwoตแตก แต่จะสนว่า “สุดท้ายระยะยาว ตัวเองกำไsหรือเปล่า?” และแน่นอนครับสุดท้ายเจ้ามือชนะเสมอ เพราะเขามีระบบ และปล่อยให้ระบบทำงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ ไม่ปล่อยให้สภาวะอารมณ์เข้ามาเกี่ยว
สรุป
Mindset ที่ดี = พอร์ตที่โตได้จริงครับ
แต่อย่าลืมว่า “การเทรดคือเกมระยะยาว” คนที่แพ้คือคนที่คุมอารมณ์ไม่ได้ แต่คนที่รอดคือคนที่ “เล่นตามกฎของตัวเองได้ตลอด”
พี่ๆ เคยมีโมเมนต์ที่รู้สึกว่า “ถ้าวันนั้นควบคุมอารมณ์ได้ ป่านนี้พอร์ตคงไม่พัง” มั้ย? หรือเคยเจอจังหวะที่ตลาดทดสอบจิตใจสุดๆ แล้วฝืนไม่ทำตามแผน สุดท้ายพังไปเอง?
ถ้าเคยละก็ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยน เพราะเราไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่จากการกระทำแบบเดิมๆ ได้..
ขอให้โชคดี มีวินัยครับผม
______________________
 สำหรับไอ คำขอบคุณที่มีความสุขที่สุด ไม่ใช่แค่การกดไลค์หรือคอมเมนต์บอกว่า “ขอบคุณนะ” แต่คือการที่พี่ๆ มาแชร์ โมเมนต์การเทรด ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่พลาด หรือช่วงที่เอาชนะความกลัวของตัวเองได้
เพราะทุกเรื่องราวที่พี่ๆ แชร์ ไม่ใช่แค่บทเรียนของตัวเอง แต่ยังช่วยให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ไออยากฟังว่าพี่ๆ เคยเจออะไรบ้าง แล้วผ่านมันมาได้ยังไงเม้นเลย

54
เทรดตามสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป
“การเทรดคือ Reaction ไม่ใช่ Prediction” อ่านบทความนี้ให้จบแล้วผลการเทรดจะดีขึ้น 80%
สวัสดีครับพี่ๆช่วงนี้ไอสังเกตเห็นคอมเม้นท์ในกลุ่มเทรดต่างๆ ถามคำถามเดียวกันเยอะมากๆ
- ทองน่าจะ Buy หรือ Sell ดี เห็นราคาขึ้นมาเยอะ?
- ทองน่าจะขึ้นนะ Buy ดีมั้ย?
- ทองน่าจะขึ้นมาสูงแล้ว เริ่ม Sell ได้ไหม?
ในทุกประโยคมีคำว่า “น่าจะ” และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ไอเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะตอนเริ่มเทรดใหม่ๆ ไอก็เคยคิดแบบนี้... จนวันนึงเจอบทเรียนราคาแพงที่โดนแล้วโดนอีกจนต้องบังคับให้ตัวเองเปลี่ยนวิธีคิดไปเลย
 บทเรียนที่เปลี่ยนมุมมองไอไปตลอดกาล
ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิทระบาด ทองพุ่งไม่หยุดขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนๆ ข่าวร้ายออกมาเพียบและทุกสำนักวิเคราะห์บอกว่าต้องขึ้นต่อแน่นอน
ไอก็คิดเหมือนคนอื่นๆ ว่า...
"ขึ้นแรงขนาดนี้ ต้องไปต่อแน่ๆ"
"ข่าวร้ายขนาดนี้ ไม่ขึ้นได้ไง"
"รีบ Buy เลยดีกว่า เดี๋ยวจะตกรถ"
สารพัดความคิดที่ใช้เทรด มันแล่นเข้ามาในสมองรัวๆ
ผลลัพธ์ก็คือไอเปิด Buy ด้วย Lot ใหญ่ที่สุดในชีวิต... ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะ 17 lot พอร์ตส่วนตัวด้วยไม่ใช่พอร์ตกองทุน สิ่งที่ไอทำคือ
- ไม่ได้รอสัญญาณยืนยัน
- ไม่ได้ดูแนวต้านสำคัญ
- ไม่ได้วาง Stop Loss
แค่เทรดด้วยความรู้สึกว่า "น่าจะ"
และแล้ว... ราคาก็พลิกทันทีที่ไอเข้าเทรด
พอร์ตติดลบ Drawdown ทันที 30% ใน 30 นาทีแรก
จากนั้นก็พยายามถัวไม้จนติดลบเกือบ 50%
และต่อมาก็ระเบิด เงินหลักล้านหายไปในพริบตา...
นั่นคือผลของการเทรดด้วยการคาดเดาหรือคาดการณ์
 แล้วจริงๆเราควรเทรดยังไง?
การเทรดที่ดีต้องเป็น "Reaction" ไม่ใช่ "Prediction"
คือการเทรดตามสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เทรดแบบตอบสนองตลาด ไม่ใช่นำตลาดไปก่อนด้วยความคิดที่ว่า “น่าจะ”
มาดูตัวอย่างการเทรดแบบ Reaction กันครับ
 เทรดแบบ Reaction (ตอบสนอง)
- เห็นราคาวิ่งขึ้นแรง
- รอให้มาถึงแนวต้านสำคัญที่ 2050
- ดูว่ามี Pin Bar หรือ Evening Star ไหม
- ถ้าเห็นสัญญาณกลับตัว ค่อยเข้า Sell
- วาง SL เหนือ High ของแท่งกลับตัว
ซึ่งแตกต่างจากการเทรดแบบคาดเดา
 เทรดแบบ Prediction (คาดเดา)
- เห็นราคาวิ่งขึ้นแรง
- คิดว่าต้องย่อแน่ๆ
- รีบ Sell ทันทีโดยไม่รอสัญญาณ
- ไม่ได้วาง SL
- เจอราคาวิ่งต่อจนติดดอย
เห็นความต่างไหมครับ? คนนึงรอให้ตลาดพิสูจน์ตัวเองก่อน อีกคนรีบเทรดตามความรู้สึก
 เทคนิคเพิ่มเติมในการเทรดแบบ Reaction
1. รอให้ราคามาหาเรา ไม่ใช่ไล่ล่าราคา ซุ่มรอดั่งสไนเปอร์ ทริกเกอร์ดั่งนักแม่นปืน
ทริคที่ไอใช้
- ถ้าตลาดขาขึ้น = รอย่อตัวที่แนวรับ
- ถ้าตลาดขาลง = รอดีดที่แนวต้าน
เช่น ถ้าเห็นราคาวิ่งลงแรงๆ อย่าเพิ่งรีบ Sell
รอให้มันดีดกลับไปที่แนวต้านก่อน แล้วค่อยหาสัญญาณขาลงที่ชัดเจน
2. ตั้งเงื่อนไขก่อนเทรดทุกครั้ง
สิ่งที่ไอต้องเห็นก่อนเทรด
- Market Structure ต้องชัดเจน (Higher High/Lower Low)
- FVG หรือ Order Block รองรับ
- แท่งเทียนยืนยันทิศทาง (Pin Bar, Engulfing)
- MACD ยืนยัน (วิธีดูกลับไปอ่านบทความเก่าครับ)
ถ้าไม่ครบเงื่อนไข = ไม่เทรด
เพราะการรอโอกาสที่ดี ดีกว่าการรีบเทรดแล้วเจ็บตัว
 มาดูตัวอย่างการใช้ Reaction Trading จริงๆ
เมื่อวันก่อนไอเจอ Setup สวยๆ ในทองคำ
1. สถานการณ์ตลาด =
- ทองกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
- ราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับ 2841
- มี Order Block รองรับ
- ราคามีการกวาดสภาพคล่อง
2. เงื่อนไขที่ไอรอ =
- ต้องเห็น Price Action ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ
- MACD ต้องแสดง Bullish Divergence
- มีการยืนยัน ChoCh ใน LTF
- ต้องมี FVG
- ราคาเบรก Trendline
3. การเข้าเทรด =
- รอจนเห็นครบทุกเงื่อนไขตามระบบเรา
- เข้า Buy ที่ 2841
- SL ใต้  Order block
ผลลัพธ์ = กำไร 1,000 จุด โดยไม่ต้องเครียดเลย เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนและถึงแม้ไม่ได้เป็นไปตามแผนเราก็มีแผนรองรับ นั่นคือ SL เพื่อนรักของเรา
 3 เคล็ดลับเพิ่มเติมที่ทำให้ไอเทรดแบบ Reaction ได้ดีขึ้น
1. มอง Multi-Timeframe เสมอ
ไอใช้หลัก Top-Down Analysis ในการวิเคราะห์ คือการวิเคราะห์จากภาพใหญ่ไปหาภาพเล็กเสมอ
- H4 = ดูเทรนด์หลัก (HTF – Higher Timeframe)
- H1 = หาจุดเข้าเทรด (MTF – Middle Timeframe)
- M15 = Fine-tuning จุดเข้า (LTF – Lower Timeframe)
เช่น....
ถ้า H4 เป็นขาขึ้น
แต่ H1 ยังไม่มีสัญญาณ Buy ที่ชัดเจน
= รอต่อดีกว่า
2. ใช้ Confluence ให้มาก แต่ไม่มากเกินไปจน Over fitting 
หลักไอใช้เทคนิค
- Market Structure
- Order Block/FVG
- MACD Divergence
- Volume Analysis
- แนวรับ/แนวต้านสำคัญ
3. เขียน Trading Journal ทุกวัน
สิ่งที่ไอจดทุกครั้ง
- เหตุผลที่เข้าเทรด
- แคปหน้าจอก่อนเข้า
- อารมณ์ตอนเทรด
- ผลลัพธ์และบทเรียน
สิ่งที่ไอแชร์มันเหมือนจะเยอะ แต่แค่เราปรับวิธีคิด วิธีเทรด สร้างกระบวนการณ์ใหม่ๆ เพื่อคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างเพียงเท่านี้เราก็มีผลการเทรดที่ดีขึ้นแล้วครับ
 สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้
การเทรดที่ดีไม่ได้มาจากการเดาทิศทางตลาด แต่มาจากการรอให้ตลาดพิสูจน์ตัวเองหรือเฉลยทิศทางก่อน แล้วค่อยตอบสนองอย่างมีแผน “Trade what you see, not what you think!”
เทรดสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่คิด
 3 สิ่งที่ควรจำ
1. ตลาดเคลื่อนที่ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่เราคิด
2.การรอโอกาสที่ดี ดีกว่าการรีบเทรดแล้วเจ็บตัว ตกรถดีกว่าโดนลาก
3.เทรดตามแผนและระบบ ไม่ใช่ตามความรู้สึก เพราะเราคือนักเทรดไม่ใช่ผีพนัน
สุดท้ายนี้ ไอหวังว่าประสบการณ์และเทคนิคที่แชร์มาจะช่วยให้ทุกคนเทรดได้ดีขึ้นนะครับ
*จำไว้ว่า
ตลาดจะอยู่ที่เดิมเสมอ แต่เงินในพอร์ตเราอาจจะไม่อยู่ ถ้าเราไม่รู้จักการรอคอย
ใครอ่านจบถึงตรงนี้ คอมเม้นท์ “รอ” ครับ แล้วเราจะสำเร็จไปด้วยกันขอให้ทุกคนเทรดอย่างมีกำไรครับ
55
เรื่องราวนี้ไม่เคยเปิดเผยที่ไหน... เส้นทางจากเด็กอายุ 19 พอร์ตแตกยับเยิน สู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ยืนอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง เพราะไอเปลี่ยนตัวเองและตั้งกฎ 6 ข้อนี้ขึ้นมา ถ้าคุณอ่านจบมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปเลย
"เงินไม่ใช่ทุกอย่าง...แต่กระบวนการคือทุกสิ่ง"
ย้อนกลับไปวันแรก...
"ต้องทำกำไรวันละ 5,000 ให้ได้!"
นี่คือเป้าหมายแรกของไอตอนเริ่มเทรด
แค่คิดย้อนก็อายแล้ว... เพราะตอนนั้น
- อ่านหนังสือแค่ 2-3 เล่ม
- เปิดกราฟไม่ถึงเดือน
- ไม่มีระบบ ไม่มีแผน
- แต่ความมั่นใจล้นเกินเบอร์
 จุดพลิกผันครั้งแรก...
เริ่มจากกำไรนิดๆ หน่อยๆ ไอก็เริ่มเพิ่ม lot size:
"วันนี้กำไร 2,000... พรุ่งนี้ลองเพิ่มเป็น 0.5 lot ดูดีกว่า"
"เดี๋ยว! ถ้าเราเพิ่มเป็น 1 lot ล่ะ?"
ผลลัพธ์ = พอร์ตติดลบหนักจนต้องยืมเงินที่บ้าน จนต้องถอยกลับมามองตัวเอง เพราะมันเจ็บหนักจนกลไกป้องกันตัวเองตามจิตวิทยามนุษย์มันสั่งให้หยุด
 ทำไมผมถึงล้มเหลว?
ไอเจอกับดักใหญ่ๆ 3 อย่าง:
1. โรคบ้าเงิน
- คิดถึงแต่กำไรรายวัน
- ฝันถึงรถคันใหม่
- อยากใช้ชีวิตสบายๆ แบบไม่ต้องง้อใคร
แต่ลืมไปว่า... ยังไม่มีระบบเทรดด้วยซ้ำ
2. ความมั่นใจเกินร้อย
"ตลาดนี้ง่ายจัง! มีแค่ขึ้นกับลง"
และแล้ว... วันที่กำไร 20,000 ก็มาถึง
ไอคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว เลยเพิ่ม lot size:
"ถ้าเพิ่มอีกนิด พรุ่งนี้ต้องได้ 50,000!" ผมคิดในใจ
ผลลัพธ์:
- พอร์ตหาย 50% ในวันเดียว
- กำไรที่สะสมมาหายหมด
- ติดลบหนักกว่าเดิม
3. ไม่ยอมรับความผิด
- เห็นสัญญาณว่าผิดแล้วยังไม่ยอมตัดขาดทุน
- คิดว่าต้องเอาคืนให้ได้
- ยิ่งไล่ ยิ่งเจ็บ
จุดเปลี่ยนของชีวิต...
หลังจากล้มครั้งใหญ่ ไอได้เจอเทรดเดอร์รุ่นพี่คนนึง เขาบอกประโยคที่เปลี่ยนชีวิตไอ
"ผมใช้เวลา 2 ปี ศึกษาตลาดแบบไม่เข้าออเดอร์เลย"
ตอนนั้นไอหัวเราะในใจ คิดว่า "เสียเวลา"
แต่วันนี้... ไอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ
6 สิ่งที่ไอเปลี่ยนแปลงตัวเอง:
1. ลงทุนกับความรู้ก่อน
- อ่านหนังสือเทรดดีๆ
- เรียนรู้จากเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
- ทดสอบระบบจนเจอสิ่งที่ใช่
2. มีรายได้เสริม
รู้ไหม? ไอเคยขายของในตลาดนัดช่วงที่เริ่มเทรดใหม่
- ลดความกดดันเรื่องเงิน
- ทำให้เทรดได้ใจเย็นขึ้น
3. เปลี่ยนมุมมองใหม่
- มองการเทรดเป็นเกมหมากรุก
- สนุกกับการวิเคราะห์
- ไม่เครียดเรื่องตัวเลข
4. โฟกัสที่ความเสี่ยง
ก่อนเทรด ไอถามตัวเองเสมอ:
"ถ้าเทรดนี้ขาดทุน รับได้ไหม?"
ถ้าตอบไม่ได้ = ไม่เทรด
5. ใช้ชีวิตให้สมดุล
- ออกกำลังกาย
- เที่ยวต่างจังหวัด
- ใช้เวลากับครอบครัว
*เพราะการเทรดไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต*
6. โฟกัสที่กระบวนการ
- เงินเป็นแค่ผลพลอยได้
- ทำตามแผนอย่างมีวินัย
- เรียนรู้จากทุกออเดอร์
 ฝากถึงคนที่กำลังท้อ...
ถ้าคุณเคยพลาดเหมือนไอ อย่าเพิ่งยอมแพ้..
- ทุกความผิดพลาดคือบทเรียน
- ทุกการล้มคือโอกาสลุกขึ้นใหม่
- ทุกความเจ็บปวดคือครูที่ดีที่สุด
"ความเจ็บปวด + การไตร่ตรอง = ความก้าวหน้า"
----------------------
ใครอ่านจบคอมเม้นท์ "เปลี่ยนตัวเอง"
เพื่อสะกดจิตและเข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนชีวิต
และไอขอให้มันเป็นเส้นทางที่พี่ทุกคน...จะสำเร็จ!



56
Forex / Liquidity Grab เป็นแนวคิดในระบบ SMC (Smart Money Concepts)
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 07/05/25 »
Liquidity Grab เป็นแนวคิดในระบบ SMC (Smart Money Concepts) ที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาซึ่ง "Smart Money" (กลุ่มทุนใหญ่) ใช้เพื่อเก็บสภาพคล่อง (Liquidity) จากตลาด ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ตั้งใจไว้

หลักการของ Liquidity Grab
สภาพคล่อง (Liquidity) หมายถึงคำสั่งซื้อ/ขายที่รออยู่ในตลาด เช่น Stop Loss หรือ Pending Orders

Buy Stops: อยู่เหนือ High ก่อนหน้า

Sell Stops: อยู่ใต้ Low ก่อนหน้า

Smart Money มัก "ดึงราคา" ไปแตะจุดที่มีคำสั่งเหล่านี้ เพื่อเก็บสภาพคล่องก่อนที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต้องการ

ขั้นตอนการใช้งาน Liquidity Grab
1. ระบุบริเวณ Liquidity Zones
มองหาบริเวณที่มี Highs และ Lows ที่ชัดเจน:

จุดที่นักเทรดรายย่อยมักวาง Stop Loss

บริเวณที่ราคาเคยกลับตัวก่อนหน้านี้

สังเกตว่าบริเวณนั้นเป็นแนวรับหรือแนวต้านสำคัญใน TF ใหญ่ เช่น H1 หรือ H4

2. รอดูการดึงราคา (Grab)
รอให้ราคาพุ่งไปแตะ High/Low ที่ระบุไว้ เพื่อเก็บสภาพคล่อง

การดึงราคามักเกิดในลักษณะ "Wick" (เงาของแท่งเทียน) ที่ยาวและกลับตัวอย่างรวดเร็ว

3. การยืนยันการกลับตัว (Confirmation)
หลังจาก Liquidity ถูก Grab ให้สังเกตพฤติกรรมราคา:

โครงสร้างตลาดเปลี่ยน (Market Structure Shift - MSS) เช่น ราคาทำ Lower High (สำหรับ Sell) หรือ Higher Low (สำหรับ Buy)

แท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจน เช่น Engulfing Candle หรือ Pin Bar

4. เข้าเทรด
Buy: เมื่อราคาดึง Liquidity ใต้ Low และเริ่มกลับตัวขึ้น

Sell: เมื่อราคาดึง Liquidity เหนือ High และเริ่มกลับตัวลง

วาง SL ใต้/เหนือจุดที่ Liquidity ถูก Grab และตั้ง TP ตามแนวรับ/แนวต้านถัดไป

ตัวอย่างการใช้งาน
กรณี Buy (Long Position)
ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Bullish)

ใน TF H1 คุณเห็น Low ก่อนหน้าที่ $1800 ซึ่งเป็นจุดที่มี Sell Stops สะสม

ราคาพุ่งลงมาแตะ $1798 (ต่ำกว่า $1800 เล็กน้อย) แต่กลับตัวขึ้นทันที

ใน TF M15 หรือ M5 มีแท่งเทียน Bullish Engulfing ที่ชัดเจน

จุดเข้าเทรด:

Buy ที่ $1802 หลังราคายืนยันกลับตัว

SL ใต้ $1798

TP ใกล้แนวต้านถัดไปที่ $1820

กรณี Sell (Short Position)
ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง (Bearish)

ใน TF H1 คุณเห็น High ก่อนหน้าที่ $1900 ซึ่งเป็นจุดที่มี Buy Stops สะสม

ราคาพุ่งขึ้นไปแตะ $1902 (สูงกว่า $1900 เล็กน้อย) แต่กลับตัวลงทันที

ใน TF M15 หรือ M5 มีแท่งเทียน Bearish Engulfing ที่ชัดเจน

จุดเข้าเทรด:

Sell ที่ $1898 หลังราคายืนยันกลับตัว

SL เหนือ $1902

TP ใกล้แนวรับถัดไปที่ $1880

ข้อควรระวัง
อย่ารีบเข้าเทรดทันทีที่ราคาดึงไปแตะ High/Low:

รอให้ราคายืนยันการกลับตัวก่อนเสมอ

ฝึกในบัญชีทดลอง (Demo Account):

ใช้กลยุทธ์ Liquidity Grab ซ้ำ ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนใช้งานจริง

เช็คบริบทใน TF ใหญ่:

Liquidity Grab มักทำงานได้ดีเมื่อบริเวณ Liquidity Zones สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด

สรุป:
Liquidity Grab เป็นเทคนิคที่ช่วยให้คุณเข้าเทรดในจุดที่มีโอกาสสูงสุดและลดการไล่ราคา (Chasing Price) โดยใช้ความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมของตลาดและ Smart Money อย่างมีประสิทธิภาพครับ!
57
Break and Retest เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเข้าเทรดที่นิยมมาก โดยเฉพาะในระบบ SMC (Smart Money Concepts) แนวคิดนี้คือการรอให้ราคาทำลาย (Break) แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ จากนั้นรอดูว่าราคาจะดึงกลับมา (Retest) ทดสอบระดับนั้นอีกครั้งหรือไม่ ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม

วิธีการใช้งาน Break and Retest
1. ระบุจุดสำคัญที่ต้องติดตาม
Order Block (OB):

จุดที่ Smart Money เคยสร้างแนวรับหรือแนวต้าน เช่น บริเวณที่มีแท่งเทียนรวมตัวกันอย่างชัดเจนก่อนราคาพุ่งขึ้น/ลง

Fair Value Gap (FVG):

ช่องว่างของราคาที่เกิดจากแท่งเทียนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น ในกราฟ TF ใหญ่ คุณอาจเห็นแท่งเทียนวิ่งโดยไม่ทิ้งเงา (Wick)

2. การเบรกแนวรับ/แนวต้าน (Break)
สังเกตว่าแนวรับหรือแนวต้านถูกเบรกไปในทิศทางใด เช่น ราคาทำ Higher Highs (HH) หมายความว่าแนวต้านเดิมถูกเบรก

ให้รอราคาดึงกลับ (Retest) เพื่อยืนยันว่าระดับที่ถูกเบรกนั้นแข็งแรงและเป็นจุดที่ Smart Money สนใจ

3. การดึงกลับ (Retest)
รอให้ราคาดึงกลับมาที่บริเวณ OB หรือ FVG

สังเกตพฤติกรรมราคา (Price Action) ใน TF เล็ก เช่น M15 หรือ M5:

หากราคากลับมาทดสอบ OB แล้วมีสัญญาณกลับตัว (เช่น Bullish Engulfing สำหรับ Buy)

หรือหากราคากลับมาทดสอบ FVG แล้วมีการ Reject ทันที

4. ยืนยันการเข้าเทรด
เมื่อราคาทดสอบระดับสำคัญ (OB หรือ FVG) และมีสัญญาณกลับตัว:

ซื้อ (Buy): เมื่อราคาทำ Low ใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher Low - HL)

ขาย (Sell): เมื่อราคาทำ High ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม (Lower High - LH)

5. ตั้ง SL และ TP
วาง Stop Loss (SL) ใต้ OB (สำหรับ Buy) หรือเหนือ OB (สำหรับ Sell)

วาง Take Profit (TP):

เป้าหมายกำไรแรกอยู่ที่แนวต้าน/แนวรับถัดไป

หรือใช้ Risk-to-Reward Ratio (เช่น 1:2 หรือ 1:3)

ตัวอย่างใช้งานจริง
สถานการณ์: Break and Retest บริเวณ Order Block
กราฟ H1:

คุณสังเกตเห็นว่าราคาทำลายแนวต้านที่ $1800 แล้วพุ่งขึ้นไปถึง $1815

ใน TF H1 มี OB บริเวณ $1800-$1805 ซึ่งเป็นจุดที่ราคาน่าจะดึงกลับมาทดสอบ

กราฟ M15 หรือ M5:

รอดูว่าราคาจะดึงกลับมาทดสอบ OB ที่ $1800-$1805 หรือไม่

เมื่อราคามาถึงบริเวณ OB ให้ดูพฤติกรรมแท่งเทียน:

แท่งเทียนปิดในลักษณะ Bullish Engulfing

หรือราคาปฏิเสธไม่หลุด OB หลายครั้ง (Wick ยาวด้านล่าง)

จุดเข้าเทรด:

เข้าซื้อ (Buy) เมื่อราคายืนยันการ Reject บริเวณ OB

ตั้ง SL ใต้ OB เช่น ที่ $1798

ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป เช่น $1820

ข้อดีของ Break and Retest
เข้าเทรดในจุดที่ Smart Money สนใจ

ลดความเสี่ยงจากการไล่ราคา (Chasing Price)

เพิ่มโอกาสการเทรดในจุดที่มีความเป็นไปได้สูง

คำแนะนำ:
ฝึกฝนกลยุทธ์นี้ในบัญชีทดลอง (Demo Account) จนคุณมั่นใจในกระบวนการก่อนนำไปใช้จริง และจดบันทึกการเทรดเพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์ครับ!
58
ระบบ CCTV / กล้อง
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 30/04/25 »
กล้อง


rtsp://admin:Ge0v!sion@192.16831.13:554/CH001.sdp
rtsp://admin:Ge0v!sion@192.16831.12:554/CH001.sdp
59
การไม่ล้างพอร์ตใน Forex หมายถึงการรักษาสถานะการลงทุนให้คงอยู่และลดโอกาสที่เงินทุนจะหมด (Margin Call หรือ Stop Out) ซึ่งสามารถทำได้โดยการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยและการวางแผนที่ดี นี่คือวิธีที่คุณสามารถปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงในการล้างพอร์ต:

1. ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง
เลเวอเรจที่สูงอาจเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน

ใช้เลเวอเรจในระดับที่คุณสามารถรับมือได้ เช่น 1:10 หรือ 1:20 แทนที่จะใช้เลเวอเรจสูงสุดที่โบรกเกอร์เสนอ

2. บริหารขนาดการเทรด (Position Sizing)
ลงทุนเฉพาะจำนวนที่คุณสามารถเสียได้โดยไม่กระทบต่อพอร์ต

กฎทั่วไปคือเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

3. ตั้ง Stop Loss เสมอ
Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนในแต่ละการเทรด

วาง Stop Loss ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่ใกล้หรือไกลเกินไปจากจุดเปิดสถานะ

4. กระจายความเสี่ยง (Diversification)
อย่าลงทุนในคู่สกุลเงินเดียวทั้งหมด กระจายการลงทุนในคู่สกุลเงินต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง

5. ใช้การวิเคราะห์และแผนการเทรด
ยึดตามแผนการเทรดที่ชัดเจน (Trading Plan) ซึ่งรวมถึงจุดเข้า-ออกตลาด การตั้งเป้าหมายกำไร และการจัดการความเสี่ยง

ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

6. รักษาเงินทุนสำรอง (Margin Cushion)
อย่าใช้เงินทุนเต็มพอร์ต เปิดสถานะด้วยมาร์จิ้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call)

7. หลีกเลี่ยง Overtrading
การเปิดสถานะบ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการขาดทุนสะสม

เลือกเทรดเฉพาะเมื่อมีโอกาสที่มีความเป็นไปได้สูง

8. ติดตามข่าวและเหตุการณ์สำคัญ
ข่าวเศรษฐกิจและการประกาศตัวเลขสำคัญ เช่น Non-Farm Payroll (NFP) หรือการปรับดอกเบี้ย อาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงินอย่างรุนแรง

หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะขนาดใหญ่ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

9. ฝึกควบคุมอารมณ์
อย่าให้ความโลภหรือความกลัวมาควบคุมการตัดสินใจ

ยึดมั่นในแผนการเทรดและมีวินัยในการจัดการพอร์ต

10. ตรวจสอบพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจสอบสถานะการลงทุนเพื่อให้แน่ใจว่าพอร์ตยังคงอยู่ในสภาพที่สมดุล

ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อจำเป็น เช่น หากตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง

การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการล้างพอร์ต Forex และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว การเทรดอย่างมีวินัยและการบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในตลาด Forex
60
Forex / แจก Indy Free MT5
« กระทู้ล่าสุด โดย admin เมื่อ 25/04/25 »
แจก Indy Free MT5

1.BOS-CHoCH

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10